Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 85

ตอนที่ 85 ข้อไหล่หลุดซ้ำ การฝึกกายวิภาคศาสตร์ และการฝึกศาสตร์แห่งเทพ

 

เดือน พฤศจิกายน ปี 1147

 

ในช่วงเช้าของวันหนึ่ง ลอตเต้และฟาร์มาแอบเข้ามาที่ห้องของบลานช์ซึ่งอยู่ภายในคฤหาสน์ของตระกูลเดอ เมดิซิส โดยไม่มีการบอกกล่าวก่อน

 

 

“เป็นยังไงบ้าง?”

 

 

“ขอโทษที่เข้ามารบกวนนะคะ ท่านเอเลโอนอร์ ฉันเอาขนมมาเสิร์ฟค่ะ”

 

ภายในห้องนั้นมีบลานช์และเอเลนกำลังนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ที่โต๊ะไม้ โดยมีแบบทดสอบที่เอเลนมอบหมายให้เธอกระจายอยู่บนนั้น

 

เอเลนที่นั่งอยู่ข้างๆ บลานช์ก็ได้สอนหนังสือให้กับบลานช์ด้วยความกระตือรือร้น

 

 

“เอ๋ เอาขนมมาให้เหรอ เราเพิ่งจะเริ่มกันเองนะ อยากจะรู้ความคืบหน้ากันขนาดนั้นเลยหรือไง?”

 

เอเลนที่กำลังสอนบลานช์อยู่ยิ้มออกมาเหมือนรู้ความต้องการของฟาร์มา

 

 

“การเรียนบลานช์เป็นยังไงบ้าง”

 

 

ดูเหมือนบลานช์จะไม่ค่อยเข้าใจในบทเรียนจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดีจึงหมุนปากกาไปมาด้วยนิ้วของเธอ

 

ไม่ว่าจะมองยังไงฟาร์มาก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังพยายามปั้นหน้าเหมือนว่าตนไม่กังวลเกี่ยวกับบลานช์ต่อหน้าเอเลน

 

 

“อื้อ ก็พยายามเรียนดีนะ ถึงจะยังไม่เข้าใจอะไรอีกหลายเรื่องแต่ก็พยายามมากเลยทีเดียว”

 

“คุณหนู แบบทดสอบการคำนวณเป็นอย่างไรบ้างคะ คุณหนูได้แสดงความสามารถออกมาให้ท่านเอเลโอนอร์เห็นหรือเปล่าคะ?”

 

ลอตเต้ที่เก่งในด้านของการคำนวณ ได้สอนเรื่องพวกนี้กับบลานช์เมื่อวันก่อนเพราะบลานช์มาบ่นให้เธอฟังเรื่องแบบทดสอบ

 

 

“ไม่ไหวแล้ว”

 

 

บลานช์หลับตาแน่นและกางแขนเป็นรูปกางเขน แม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

 

“ยังไม่ไหวสินะคะ? งั้นมาทานของว่างกันก่อนค่อยกลับไปทำดีไหมคะ จากตำราที่ท่านฟาร์มาเขียนสมองของคุณหนูน่าจะต้องการน้ำตาลมาช่วยนะคะ”

 

ลอตเต้เสิร์ฟของว่างพร้อมกับให้กำลังใจบลานช์ไปด้วย

 

ถึงจะเป็นตำราที่ฟาร์มาเขียน แต่หากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาหารแล้วดูเหมือนลอตเต้จะสามารถจดจำมันได้เป็นอย่างดี

 

“สรุปคือที่ฟาร์มาคุงกับลอตเต้จังเข้ามานี่ เพราะอย่างรู้ว่าบลานช์จังเป็นยังไงบ้างแล้วสินะ”

 

เอเลนถามขณะหยิบขนมขึ้นมาทาน

 

“ก็บลานช์เป็นน้องสาวของผมนี่นา จะสงสัยบ้างก็ไม่แปลก แต่ก็รู้สึกวางใจที่เป็นเอเลนซึ่งมีความรู้เรื่องศาสตร์แห่งเทพกับศาสตร์พวกนรีเวชวิทยามากกว่าผม คงจะสอนเธอได้อย่างไม่มีปัญหา”

 

“หืม ที่จริงเรื่องพวกนี้ให้ฟาร์มาคุงจัดการเองก็ได้นี่นา เรื่องการศึกษาของบลานช์จังเขาน่ะ”

 

ถึงครึ่งหนึ่งจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เอเลนก็มีความคิดแบบนั้นจริงๆ

 

“ไม่ไหวหรอก แบบนั้นงานผมคงจะเยอะขึ้นด้วย ดังนั้นก็ช่วยดูแลน้องสาวของผมต่อไปด้วยนะเอเลน”

 

ด้วยคำสั่งจากบรูโนบลานช์จึงกลายลูกศิษย์ของเอเลนอย่างเป็นทางการ

 

จะบรูโน ฟาร์มา หรือ ปาลเล่ต่างก็สามารถสอนบลานช์กันได้แท้ๆ แต่หากเอาคนภายในครอบครัวมาเป็นอาจารย์สอนกันเองมันอาจจะมีความรู้สึกส่วนตัวนอกเหนือจากความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์เข้ามาปนด้วยก็ได้

 

ดังนั้นความตั้งใจของบรูโนก็คือการหาคนอื่นเข้ามาสอนแทนเพื่อที่จะไม่เป็นการกดดันตัวผู้เรียนมากจนเกินไป

 

นอกจากนี้ เพื่อที่จะสร้างแพทย์โอสถที่สามารถจัดการกับโรคเฉพาะทางของผู้หญิงได้ต่อจากนี้ เขาจึงเห็นว่านี่เป็นการดีที่จะให้แพทย์โอสถฝึกหัดหญิงตัวน้อยได้เรียนกับผู้ที่มีธาตุวารีแบบเดียวกันกับเธอ

 

“บลานช์จัง งั้นวันนี้จะเอาแค่นี้ก่อนก็ได้นะ หลังจากทานของว่างเสร็จเราไปฝึกศาสตร์แห่งเทพกันต่อดีกว่า วันนี้เอาเป็นการฝึกร่ายมนตร์พื้นฐานของธาตุน้ำกัน”

 

เอเลนถามบลานช์

 

“ได้เลยค่ะ!”

 

ถึงเรื่องเรียนจะไม่ค่อยไหว แต่ความสามารถในการใช้ศาสตร์แห่งเทพของบลานช์นั้นถือว่าเหนือกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป ดังนั้นเธอจึงยินดีและพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

 

“นี่ก็นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้สอนศาสตร์แห่งเทพเป็นการส่วนตัวให้กับลูกศิษย์ตัวเอง”

 

เอเลนเหมือนมีอะไรที่อยากจะสอนบลานช์อยู่เต็มไปหมด ทำให้รู้ว่าเธอเอาใจใส่แค่ไหน

 

 

“เดี๋ยวสิ ลูกศิษย์ที่ว่าก็มีผมแล้วไม่ใช่หรือไง”

 

เมื่อฟาร์มาที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าเอเลนลืมตัวเขาไปเสียสนิท เขาจึงพยายามชี้มาที่ตัวเองแล้วบ่น

 

เอเลนที่เห็นก็ส่ายหัวไปมา

 

“ไอ้คนที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ด้วยไม่ต้องร่าย แถมใช้มนตร์ได้เหมือนใจนึกแบบนั้น ฉันไม่นับเป็นลูกศิษย์หรอกย่ะ แถมสิ่งที่ฉันสอนนายเอาจริงๆ แทบนำมาปรับใช้กับศาสตร์แห่งเทพที่นายมีอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

 

เอเลนปฏิเสธตัวตนของอดีตลูกศิษย์อย่างฟาร์มา

 

 

“แต่ผมก็ยังคิดเสมอนะว่าเอเลนเป็นอาจารย์ของผมน่ะ”

 

เอเลนดูเหมือนจะประหลาดใจกับคำพูดของฟาร์มา

 

*—————*

 

“เดี๋ยวเป็นอะไรไปเนี่ย เอเลน ทำไมเอามือกุมไหล่ไว้แบบนั้นล่ะ?”

 

 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ในขณะที่ฟาร์มากำลังทำงานที่ร้านขายยาตามปกติ เอเลนก็กลับมาที่ร้านขายยาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ผิดไปจากตอนปกติ ใบหน้าของเธอดูซีดและมีเหงื่อซึมออกมา

 

 

“รู้สึกเจ็บไหล่งั้นเหรอ”

 

ฟาร์มาหยุดมือและถามเธอ

 

“ท่านเอเลโอนอร์ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ”

 

 

“ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า เอาชาไหมครับ”

 

แพทย์โอสถพาร์ทไทม์ที่กำลังจ่ายยาอย่างโรเจอร์และเซเลสก็แสดงความเป็นห่วงและพยายามเข้ามาดูแลเอเลน

 

เอเลนกัดฟันราวกับจะทนต่อความเจ็บปวดที่มี

 

“ขอบคุณทุกคนมากนะ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ ฟาร์มาคุง ตอนฉันฝึกศาสตร์แห่งเทพกับบลานช์จังอยู่น่ะ ดูเหมือนพลังของบลานช์จังจะหลุดการควบคุมไป พอฉันพยายามจะเข้าไปหยุด ก็กลับรู้สึกแปลกๆ จนไหล่หลุดออกมาเฉยเลย ถึงจะลองพยายามปฐมพยาบาลเบื้องต้นดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล”

 

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่มีอาการไหล่หลุดหรือเปล่า?”

 

“เมื่อก่อนก็เคยมีบ้าง…”

 

ดูเหมือนเธอจะพยายามฝืนทนเอาไว้อยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอเจ็บปวดขนาดไหน

 

 

“บางทีอาจจะเป็นข้อไหล่หลุดซ้ำก็ได้นะ?

 

ฟาร์มาตรวจสอบสภาพไหล่ของเอเลนด้วยดวงตาวินิจฉัย และเมื่อเขายืนยันว่ามันเป็นอาการข้อไหล่ขวาหลุด เขาก็พาเธอขึ้นไปชั้นบนให้เธอคว่ำหน้าลงที่เตียงเพื่อรักษา

 

 

“แล้วให้ฉันทำยังไงบ้าง”

 

เอเลนอยากได้คำอธิบาย

 

 

“ลองห้อยแขนคุณลงไปข้างล่างเตียงได้เลย”

 

เอเลนยื่นแขนออกไปข้างล่างขนานกับเตียงตามที่ฟาร์มาบอกด้วยความสงสัย

 

 

“เดี๋ยวนะ..มันยังไม่จบเหรอ?!”

 

เอเลนเหมือนจะคิดไปต่อแล้วว่าการจะทำให้ไหล่ของเธอกลับเข้าที่อาจจะต้องใช้กำลังประมาณหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นมาถามฟาร์มาเหมือนกังวล ฟาร์มาก็ได้แต่ปลอบเอเลน

 

 

“กำลังได้ที่แล้ว เดี๋ยวทำตามที่ผมบอกก็พอ ค่อยๆ ผ่อนคลายนะ”

 

 

“โอ๊ย…เจ็บจนตัวแข็งไปหมดแล้วเนี้ย”

 

พอฟาร์มาลูบไปบริเวณส่วนกระดูกสันหลังของเอเลน เขาก็ได้ติดที่ถ่วงน้ำหนักซึ่งมีลักษณะเหมือนสร้อยข้อมือไว้ที่แขนของเอเลน

 

ซึ่งมันมีน้ำหนักพอสมควรเลยทีเดียว

 

 

“เดี๋ยวก่อน ฟาร์มาคุง นี่นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?

 

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร”

 

ฟาร์มาขอให้เอเลนนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิมสักพักหนึ่ง

 

หลังจากที่เวลาผ่านไปนานกว่า 10 นาที

 

เมื่อฟาร์มามั่นใจแล้วว่าสภาพแขนของเอเลนน่าจะเริ่มเข้าที่เขาก็พยักหน้าออกมา

 

“ค่อยๆ ลุกนะตอนนี้น่าจะไม่เป็นไรแล้ว”

 

“อ๊ะ กำลังได้ที่เลยเชียว!”

 

“วิธีการนี้สามารถทำได้ด้วยตัวเองนะจำไว้บ้างก็น่าจะดี จริงสิ ดูเหมือนว่าเส้นประสาทของคุณจะเสียหายด้วยนะ ลองยื่นไหลออกมาหน่อยสิ”

 

ฟาร์มายกนิ้วชี้ขึ้นมาก่อนจะวางลงไปที่ไหล่อันเปลือยเปล่าของเอเลน แล้วปล่อยพลังแห่งเทพเข้าไปภายในเส้นประสาทของร่างกายเธอเพื่อทำการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บภายใน หลังจากนั้นเขาก็ใช้ยาแก้ปวดที่ช่วยต้านการอักเสบซึ่งไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มารักษาเธอ

 

 

“เฮ้อ ขอบคุณนะ ทั้งที่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ แต่พอมีนายอยู่ด้วยนี่อะไรก็เป็นเรื่องเล็กไปซะหมดเลยนะ”

 

“ไม่หรอก ร่างกายของเอเลนเป็นคนจัดการเองทั้งหมดต่างหาก ผมยังไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย ถึงการปฐมพยาบาลจะเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่มันก็ใช่จะหายสนิทนะ ดังนั้นควรพักสักระยะจะดีกว่า”

 

เอเลนถอนหายใจออกมา

 

“นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันยังต้องมีคลาสสอนศาสตร์แห่งเทพอีกนะ แถมยังเป็นการจำลองการต่อสู้จริงด้วย ดังนั้นยังไงพรุ่งนี้มันก็ต้องหายสิ”

 

 

“ยังไงคุณก็ควรหยุดนะ เดี๋ยวผมไปสอนแทนเอเลนก็ได้”

 

เป็นเพราะงานการสอนบลานช์ที่เอเลนรับมาทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ ฟาร์มาจึงอยากจะชดเชยเธอในส่วนนี้ให้

 

“การจำลองต่อสู้จริงน่ะคือพวกเด็กๆ ต้องมาสู้กับอาจารย์ประจำคลาส ขอโทษที่ต้องพูดนะ แต่ฟาร์มาคุงนะไม่ได้หรอก แค่คิดฉันก็จะเป็นลมแล้ว”

 

เอเลนนึกถึงบางสิ่งที่เธอไม่อยากจดจำเลยขึ้นมา และเตือนฟาร์มาไว้

 

มูลค่าความเสียหายกว่า 33 ล้านฟูรูน หรือ ประมาณ 600 ล้านเยนญี่ปุ่น นั่นคือค่าซ่อมแซมจากความเสียหายที่เขาก่อนขึ้น มันยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของฟาร์มา บทเรียนราคาแพงที่เขาได้รับ

 

“ไม่เป็นไรน่า แทนที่จะไปประลองกับพวกนักเรียน เดี๋ยวผมจะเป็นคนฝึกพวกเขาใช้ศาสตร์แห่งเทพแทนก็แล้วกัน”

 

 

“นั่นก็ไม่ทำให้ฉันหายเป็นห่วงได้หรอกนะ นายจะไหวเหรอ”

 

เอเลนเบิกตากว้าง

 

 

“ฮ่ะๆ เดี๋ยวมันก็ออกมาดีเอง เชื่อผมสิ”

 

มันจะไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นน่ะสิ เอเลนบ่นออกมา

 

“ถ้าพูดถึงเรื่องยา การรักษาฉันไว้ใจนายเสมอแหละ แต่พอเป็นเรื่องศาสตร์แห่งเทพทีไร นายมักจะยั้งมือไว้ไม่อยู่ตลอดเลย”

 

 

“ผมจะพยายามให้เต็มที่เอง”

 

ฟาร์มาตอบรับคำพูดของตนอย่างมั่นใจ

 

*—————*

 

ในช่วงเช้าของวันต่อมา ณ มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ คลาสเรียนกายวิภาคของมนุษย์แบบใหม่กำลังเกิดขึ้นโดยมี คล็อด เดอ โชลิแอค คณบดีสาขาแพทยศาสตร์และหัวหน้าแพทย์โอสถหลวงเป็นผู้ดูแล

 

ทั้งนี้ฟาร์มาก็ได้เข้าร่วมบรรยายและลงภาคปฏิบัติร่วมกับคล็อดในปีแรกนี้ด้วย โดยที่ฟาร์มาจะเป็นผู้บรรยายและให้ทางคล็อดเป็นผู้คุมงานฝึกกายวิภาคศาสตร์ แถมยังไม่ได้มีแค่นักเรียนเท่านั้นที่อยู่ในคลาส แต่ยังมีศาสตราจารย์อีกหลายท่านเข้ามาเยี่ยมชมด้วย นอกจากนี้ยังมีทั้งเหล่าแพทย์ แพทย์โอสถ วิศวกรจากภายนอกเข้ามารับฟังการบรรยายด้วย

 

ฟาร์มาได้ขึ้นไปยืนบนแท่นสำหรับดูร่างที่มีไว้เพื่อฝึกกายวิภาคซึ่งฉีดฟอร์มาลีนเอาไว้แล้วบนโต๊ะผ่าศพซึ่งเป็นใจกลางของชั้นเรียน ที่รายล้อมไปด้วยที่นั่งชมแบบขั้นบันได และมีคล็อดในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ใกล้ๆ

 

เขาเดินมาพร้อมกับแพทย์สาวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้กับเขา

 

 

“ผมเคยบรรยายเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์หลายครั้ง แต่นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบทุกท่านในห้องเรียนนี้นะครับ”

 

คล็อดถือคทาสำหรับกระจายเสียงพูดขึ้น ก่อนจะมองไปยังเหล่านักเรียนและศาสตราจารย์คนอื่น

 

 

“เป็นไงล่ะครับห้องเรียนใหม่นี้ ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ”

 

คล็อดผายมือออกแล้วอวดห้องเรียนใหม่ของเขาให้คนอื่นดู มันเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ซึ่งมีที่นั่งล้อมแบบขั้นบันได โดยการปรับโครงสร้างต่างๆ ของทางมหาลัยเพื่อออกแบบให้เป็นมิตรกับเหล่าผู้เรียนมากที่สุดและแตกต่างออกไปจากห้องเรียนที่อื่น

 

และก็ตามที่เขาได้กล่าวไป ห้องบรรยายกายวิภาคศาสตร์เป็นห้องเรียนแบบล้อมขั้นบันไดที่มีลักษณะคล้ายกับสนามกีฬาขนาดเล็ก

 

 

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งกระจกพาราโบลาคู่หนึ่งซึ่งสามารถฉายภาพโต๊ะผ่าศพจากเพดานหอประชุม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการบรรยายสามารถเห็นรายละเอียดของอวัยวะที่กำลังผ่า และปรับขนาดของภาพโดยใช้ความแตกต่างความยาวโฟกัส ของกระจกแต่ละบาน ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกคิดค้นเพื่อขยายภาพให้เหล่าผู้ฟังสามารถมองเห็นโต๊ะผ่าศพได้ดีขึ้นเมื่อมองไปบนเพดาน นอกจากนี้ พื้นที่รอบโต๊ะผ่าศพยังรับแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างในโถงใหญ่ด้วยกระจกได้เป็นอย่างดี

 

อุปกรณ์ที่ว่ามาทั้งหมดฟาร์มาเป็นคนออกแบบและให้ทางสถาปนิกเป็นผู้สร้าง แถมยังให้ห้องเรียนนี้สร้างติดกับห้องฝึกปฏิบัติอีกด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกกับนักเรียนที่ต้องเดินทางไปฝึกภาคปฏิบัติ

 

“งั้นก็มาเริ่มคลาสกายวิภาค ทั้งคลาสบรรยายและคลาสฝึกต่างก็เป็นวิชาบังคับนะตั้งใจกันให้ดีล่ะ”

 

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนจากสาขาแพทยศาสตร์ สาขาโอสถวิทยา สาขาเทคนิคการแพทย์ต่างก็ไม่สามารถหลีกหนีคลาสดังกล่าวไปได้

 

“ผมจะมีหน้าที่ในส่วนการฝึกภาคปฏิบัติ ส่วนทางด้านการบรรยายส่วนใหญ่คลาสเราจะมีศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสเป็นผู้สอนนะครับ เพราะเขามีความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์อยู่มากเลยทีเดียว”

 

คล็อดชี้คทาไปที่ฟาร์มา

 

“ขอบคุณครับ”

 

ฟาร์มายกมือขึ้นโบกบนแท่นและตอบด้วยกลับรอยยิ้ม

 

(เราก็ไม่ได้เก่งเป็นพิเศษอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ก็ไม่มีใครมาพูดแทนเราได้จริงๆ ตอนนี้)

 

พูดตามตรง ฟาร์มาที่เป็นเภสัชกรไม่มีความรู้เรื่องกายวิภาคของมนุษย์นัก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถสร้างเอกสารการบรรยายที่เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ได้ค่อนข้างแม่นยำตามความรู้ที่เขาสั่งสมมาจากการทดลองในสัตว์และอวัยวะในร่างกายมนุษย์ที่เขาได้จำลองมันลงในแล็บท็อปของเขาซึ่งนำออกมาจากห้องปฏิบัติการ

 

จากนั้นเขาก็ยกหน้าที่การผ่าร่างกายมนุษย์จริงๆ ให้กับคล็อดซึ่งจะเป็นผู้นำพาเหล่านักเรียนดูภายในร่างของมนุษย์และเห็นการทำงานของมัน

 

นอกจากนี้เพราะชื่อขององค์กรและสาขาจึงทำให้เขามีสิทธิ์ในการทำเช่นนั้นอย่างอิสระมากกว่า

 

ต้องรีบเอามันออก! ต้องผ่ามันออกมาเดี๋ยวนี้!! จังหวะนี้แหละ เดี๋ยวผมจะรีบถอนฟันองค์ชายให้เสร็จในทันทีเลย! แม้ตอนแรกฟาร์มาจะหวาดกลัวคล็อดที่เป็นหัวหน้าแพทย์หลวงในฐานะหมอโรคจิตก็ตาม

 

แต่กับเขาที่ผ่านและดูภายในร่างกายของมนุษย์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ประสบการณ์ในการรักษาฟาร์มาก็เทียบกับเขาไม่ได้เลย ดังนั้นฟาร์มาจึงโล่งใจพอที่จะฝากหน้าที่นี้ให้กับคล็อดได้

 

“งั้นตอนนี้เรามาเริ่มทบทวนโครงสร้างภายในร่างกายของมนุษย์กันดีกว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยกะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง และแขนท่อนบน ท่อนล่าง และจากส่วนนี้ไปคือลำตัว ตรงนี้จะเป็นกระดูกช่วงขาท่อนล่างครับ”

 

 

ฟาร์มาวางค่อยๆ โครงกระดูกและตัวอย่างร่างกายมนุษย์ไว้ข้างๆ ก่อนจะอธิบายโครงสร้างและโครงร่างของร่างกายมนุษย์พร้อมกับชี้คทาไปยังจุดที่ตนบรรยายด้วย

 

“ร่างที่อยู่ตรงหน้าของศาสตราจารย์โชลิแอคซึ่งอยู่ในท่านอนหงายนี้จะเห็นว่า เมื่อทุกท่านทำให้ศพนอนหงายอยู่ในสภาพที่นิ้วหัวแม่มือกางออกไปนอกลำตัว หากเรามองจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา หรือด้านหน้าไปด้านหลัง ก็จะพบว่าร่างกายของมนุษย์นั้นมีความสมมาตรกันทั้งสองฝั่งโดยระนาบของแกนสมมาตรดังกล่าวเราจะใช้มันกำหนดเป็นตัวกลางที่ใช้แบ่งระหว่างสิ่งที่อยู่ใกล้ให้เป็นโซนภายในและไกลเป็นโซนภายนอก”

 

 

ฟาร์มาพูดขณะแสดงตัวอย่างให้ดูและบางครั้งคล็อดก็จะแทรกขึ้นมาบ้าง

 

“ตามที่ว่ามา ในระหว่างการฝึกภาคปฏิบัติ เราจะให้นักเรียนจัดการกับศพสองคนต่อหนึ่งร่าง ซึ่งนี่ก็ได้พระกรุณามาจากองค์จักรพรรดินีเอลิซาเบท ที่จัดหาศพเหล่านักโทษประหารมาให้ แน่นอนว่าก็มีศพของผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุด้วย ดังนั้นก็จงให้เกียรติกับศพ และตั้งใจศึกษากันให้ดีล่ะ”

 

 

คล็อดเป็นคนขอให้จักรพรรดินีจัดหาศพให้นักเรียนหนึ่งคนต่อหนึ่งศพ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องยากที่จะหาศพมาได้สักศพหนึ่งดังนั้นจึงจบที่นักเรียนคนสองหรือสามคนจะทำการผ่าศพหนึ่งศพ

 

 

“ศพเหล่านี้ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีตามวิธีการเก็บรักษาแบบใหม่ของศาสตราจารย์เดอ เมดิชิส ก่อนจะทำนำมาทำเป็นตัวอย่างการศึกษาได้ แถมยังทำให้การผ่าของพวกคุณสามารถทำได้อย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย”

 

คล็อดกล่าวอย่างหนักแน่นว่าพวกนักเรียนของเขาจะพบกับกายวิภาคของร่างกายด้วยแนวคิดที่ต่างไปจากอดีตอย่างแน่นอน

 

 

หลังจากที่นักเรียนทุกคนพอจะรู้พื้นเพของร่างกายแล้วบ้างจากที่ฟาร์มาบรรยาย ตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนการสาธิตกายวิภาคของมนุษย์ให้เห็นจริงๆ แล้ว

 

คล็อดให้กำลังใจนักเรียน

 

“พวกเราทุกคนในที่นี้ไม่อาจจะตอบพวกคุณเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ได้ทั้งหมดหรอกนะ ตำราของพวกแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตน่ะ ทิ้งมันไปเสียให้หมด ของแบบนั้นมันก็แค่เศษกระดาษ คำตอบมันไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่คำตอบของกายวิภาคศาสตร์จริงๆ น่ะ มันอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ต่างหาก ดังนั้นเราจึงต้องทำการผ่ามันออกมาเพื่อให้เห็นถึงความเป็นจริงนั้น”

 

คล็อดเริ่มผ่าผิวหนังของศพด้วยมีด

 

ขั้นแรกคือการผ่าชั้นหนังกำพร้าออก

 

“ในฐานะนักเรียนชั้นปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ ภารกิจแรกของพวกคุณก็คือการสร้างแผนภูมิกายวิภาคของร่างกายมนุษย์ภายในทั้งหมดให้สำเร็จเป็นแห่งแรกของโลก นี่เป็นเรื่องที่ยากมากดังนั้นก็ตั้งใจให้ดีๆล่ะ”

 

 

เหล่านักเรียนต่างกลั้นหายใจขณะดูการสาธิตการผ่าศพของคล็อด

 

*——-*

 

“ด้วยเหตุนี้เองผมจึงมารับผิดชอบการฝึกแทนอาจารย์บอนฟัวที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณไหล่ครับ”

 

 

“หลังจากเสร็จสิ้นการบรรยายกายวิภาคศาสตร์ในตอนเช้า ฟาร์มาได้ประกาศให้นักศึกษาโอสถศาสตร์หลายสิบคนมารวมตัวกันในลานประลองหลังจากเปลี่ยนชุดสำหรับการฝึกศาสตร์แห่งเทพเสร็จ แน่นอนว่าไม่มีสามัญชนที่นี่เพราะมีผู้สอนอีกคนรับผิดชอบการฝึกร่างกายของสามัญชนไปแล้ว ส่วนเอเลนที่ไม่สามารถมาทำหน้าที่การฝึกภาคปฏิบัตินี้ได้ ก็รับงานในส่วนของฟาร์มาไปทำแทน”

 

“นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม…..”

 

เหล่านักเรียนโอดครวญออกมาเมื่อเห็นว่าฟาร์มามาถึงในฐานะอาจารย์ฝึกภาคปฏิบัติ

 

 

“ศาสตราจารย์ฟาร์มา จะมาสอนคลาสศาสตร์แห่งเทพเนี่ยนะ?”

 

 

“ชักเริ่มปวดท้องแล้วสิ”

 

บางคนเริ่มถอยหนี

 

 

“หรือวันนี้จะมีคนต้องตายแล้วกันนะ!?”

 

 

“เดี๋ยวฉันไปโรงพยาบาลเพื่อตามหมอมาก่อนนะ!”

 

เลวร้ายสุดๆ ฟาร์มารู้ได้ทันทีถึงผลกระทบจากการประลองศาสตร์แห่งเทพกับนักเรียนในคราวก่อน

 

 

“มีแพทย์หลายคนที่อยู่ตึกวิจัยนั้นนะ ไปตามมาสักคนน่าจะดี!”

 

นักเรียนที่เคยเห็นฟาร์มาเอาชนะเอ็มเมอริคในอดีตต่างก็แตกตื่นเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น ส่วนฟาร์มาก็ยังคงเดินนำพวกเขาต่อไป แม้จะโดนขุดแผลเก่าออกมาพูดแค่ไหนก็ตาม

 

“ตามที่อาจารย์บอนฟัวบอก วันนี้จะเป็นการฝึกต่อสู้จริง ดังนั้นเราจะทำการจับคู่กันแล้ว เริ่มอุ่นเครื่อง…”

 

 

“ศาสตราจารย์ครับ ได้โปรดให้ผมจับคู่กับท่านในการประลองด้วยเถอะครับ”

 

เอ็มเมอริคซึ่งอ่านบรรยากาศรอบข้างไม่ออกเลย ได้ขอให้ฟาร์มาเป็นคู่ประลองตน อย่างไม่ย่อท้อ

 

 

“แปลว่าคุณเบาเออร์อยากจะได้โอกาสอีกครั้งสินะครับ”

 

ฟาร์มาที่ไม่อยากจะทำร้านเอ็มเมอริคอีก จึงพยายามหาทางปฏิเสธ

 

 

“ได้โปรดเถอะครับศาสตราจารย์!”

 

 

“คุณรู้ใช่ไหมครับว่า เทพผู้พิทักษ์ของคุณแพ้ทางผมอยู่?

 

เทพผู้พิทักษ์ของเอ็มเมอริคนั้นคือเทพโอสถ ดังนั้นหากเขารับมือกับฟาร์มาได้ไม่ดีพอ พลังแห่งเทพของเขาก็จะถูกฟาร์มาดูดไปจนหมด จนท้ายที่สุุดเขาก็จะหมดแรงจนล้มลงไป

 

“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะครับ! ครั้งนี้ผมคิดกลยุทธ์ได้ประมาณ20 อย่างเพื่อรับมือกับท่านไว้แล้ว”

 

ดวงตาของเอ็มเมอริคเป็นประกาย ราวกับว่าเขากำลังคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์มาใช้ระหว่างที่ตนใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องปฏิบัติการของฟาร์มาเพื่อการค้นคว้ายาตัวใหม่สำหรับโรคนอนไม่หลับมรณะ ดังนั้นกลยุทธ์ที่เขาคิดมาระหว่างนั้นน่าจะเป็นการกระตุ้นให้เขาได้มาออกแรงนอกจากการหมกอยู่แต่ในห้องปฏิบัติการ

 

 

“รอเดี๋ยวสิ!”

 

นักเรียนหญิงที่มีจิตใจอันแน่วแน่ผลักเอ็มเมอริคออกไปราวกับจะบอกว่า

“ต้องเป็นฉันต่างหาก!”

 

“เบาเออร์คุง ครั้งก่อนนายก็ได้สิทธิ์นั้นไปแล้วนี่ ศาสตราจารย์คะ ฉันมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพอัคคีค่ะ ถึงแม้จะไม่ใช่เทพโอสถก็ตาม แต่ก็ให้โอกาสฉันได้จับคู่ประลองกับท่านด้วยเถอะค่ะ!”

 

“โถ่เอ้ย โดนตัดหน้าไปแล้ว….ทางฉันก็อยากได้คำแนะนำจากศาสตราจารย์เหมือนกันนะ”

 

ถึงจะมีนักเรียนบางคนที่สั่นกลัวฟาร์มา แต่ก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปรุมล้อมฟาร์มาด้วยความรู้สึกอันเร่าร้อน ฟาร์มาที่เจอแบบนั้นก็พยายามโบกมือตั้งรับพวกเขา

 

“คือว่า ผมคงจับคู่กับพวกคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะครั้งก่อนผมสร้างปัญหาไปแล้ว เกิดผมทำลายลานประลองนี้อีก พ่อของผมอธิการบดีเมดิซิสอาจจะไล่ผมออก แถมเลขาของผมคุณโซอี้อาจจะซวยไปด้วยก็ได้”

 

“แต่ว่า……”

 

พอเป็นแบบนั้นพวกนักเรียนก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนควรจะได้รับในคลาสเรียนภาคปฏิบัติเช่นนี้ ฟาร์มาจึงจ้องมองไปที่หน้าของเหล่านักเรียนแต่ละคน

 

“เนื่องจากวันนี้ ยังคงเป็นการฝึกต่อสู้จริง ผมว่าผมจะให้คำแนะนำในส่วนต่างๆ ที่พวกคุณขาดไปในวิชาศาสตร์แห่งเทพครับ”

 

จากนั้นเขาก็ทำการให้ทุกคนจับคู่คนที่มีความสามารถใกล้เคียงกันมาฝึกด้วยกัน ก่อนจะถามครั้งสุดท้ายว่ามีปัญหากับคู่ที่ตนได้หรือไม่

 

 

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเริ่มจับคู่ให้เป็นตามนี้นะครับ คุณเบาเออร์กับคุณอัลฟาน คุณออริคกับคุณเบเนโต้”

 

หากฝ่ายตรงข้ามฝีมือไม่สูสีกัน อาจจะนำพามาซึ่งอาการบาดเจ็บร้ายแรงได้

 

 

ฟาร์มาตัดสินใจเลือกคู่หลังจากดูหนังสือประเมินที่เอเลนส่งมาให้เขา ซึ่งสรุปคุณลักษณะและทักษะแห่งเทพที่นักเรียนมี

 

การจะใช้ลานประลองในการต่อสู้นั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยกัน 4 กรณี 3กรณีแรกคือการประลองกันระหว่างผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพจริงๆ ซึ่งก็แบ่งเป็นกรณีย่อยไป ส่วนอีกอย่างก็คือการฝึกซ้อมภาคปฏิบัติของเหล่านักเรียน หลังจากยืนยันกฎและข้อบังคับของการประลองแล้ว นักเรียนแต่ละคนก็เริ่มฝึกซ้อมกันทันที และเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ พวกเขาจึงทำการร่ายมนตร์ไว้ที่คทาของตนเพื่อลดความรุนแรงของมนตร์ที่พวกเขาจะปลดปล่อยออกมา

 

 

มนตร์ที่สลักไว้ภายในลานประลองนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยวิศวกรที่เชี่ยวชาญ เมื่อการประลองเริ่มขึ้นบาเรียที่เป็นเหมือนสิ่งกีดขวางก็ถูกสร้างขึ้น ฟาร์มาที่เห็นก็รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

 

(ถ้าเรายังจะไปประลองศาสตร์แห่งเทพกับลานประลองของทางมหาวิทยาลัยคงจะไม่เหมาะ ทั้งในแง่ของพื้นที่แล้วก็มนตร์ที่ใช้ หากไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกว่านี้ คงไม่จบแค่คำว่าการฝึกเฉยๆ แน่)

 

ฟาร์มาทำการดูแลการประลองของเหล่านักเรียน พร้อมกับชื่นชมสมุดประเมินของเอเลน เขาก็นึกถึงเรื่องนี้ไปด้วย

 

เพราะตอนนี้ยังไม่มีนักเรียนคนใดสามารถทำลายบาเรียนี้ลงได้จึงทำให้สถานการณ์ตอนนี้ยังปลอดภัยอยู่

 

(เด็กคนนั้นเหมือนจะยังร่ายมนตร์ไม่เก่ง ส่วนตรงนั้นติดปัญหาหลังร่ายชอบยืนเป็นเป้านิ่งให้ยิงสินะ)

 

แล้วเขาก็เห็นถึงปัญหาภาคปฏิบัติของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งความรู้ทั้งหมดของฟาร์มาก็ได้มาจากปาลเล่และเอเลนทั้งสิ้น ดังนั้นเขาคงจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ไม่ได้ แต่ถึงจะเป็นมือสมัครเล่นแบบเขาก็ยังสามารถมองเห็นบางสิ่งได้อยู่ดี ท้ายที่สุดฟาร์มาก็โล่งใจที่เขาสามารถจบคลาสนี้ได้โดยไม่มีใครบาดเจ็บอย่างรุนแรง

 

 

“เหนื่อยกันหน่อยนะครับสำหรับการฝึกต่อสู้จริงแบบนี้ เอาละตอนนี้ผมจะบอกถึงสิ่งที่ผมเห็นในการต่อสู้ของแต่ละคนนะครับ ได้โปรดเดินออกมาเมื่อถูกเรียกชื่อนะครับ”

 

 

“โจเซฟีน แบริเออร์”

 

“ค่ะ ศาสตราจารย์”

 

เธอพุ่งออกมาข้างหน้าพร้อมกับคทาขนาดใหญ่ซึ่งไม่สมกับรูปร่างอันเล็กกะทัดรัดของเธอเลย

 

“ปัญหาของคุณคือ ตัวคุณมีความเข้าใจในพื้นฐานของศาสตร์แห่งเทพดีอยู่แล้ว แต่คงจะดีหากคุณมีความหลากหลายในมนตร์ที่ใช้มากกว่านี้นะครับ หลังจากได้ฟังแล้วรู้สึกกังวลบ้างหรือเปล่าครับ”

 

ในระหว่างการต่อสู้จริง ทักษะการโจมตีของโจเซฟีนนั้นมีเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น

 

เธอสามารถป้องกันและตอบโต้คู่ต่อสู้ด้วยศาสตร์แห่งเทพที่เธอเชี่ยวชาญและเทคนิคที่ตนมีได้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนความหลากหลายในมนตร์นั้นจะยังไม่มากพอ

 

“ค่ะ ฉันก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นจริงๆ …ไม่ใช่ว่าฉันไม่สามารถใช้มนตร์อื่นได้หรอกนะคะ แต่เป็นเพราะพลังแห่งเทพของฉันมันอ่อนแอมากจนไม่สามารถใช้มนตร์อื่นในการต่อสู้จริงได้ค่ะ….เลยรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะใช้มันดีไหม”

 

แน่นอนว่ามีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่มีความสามารถในการใช้ศาสตร์แห่งเทพเข้ามาร่วมกับการปรุงยา แต่กลับไม่เก่งในด้านการต่อสู้ด้วยศาสตร์แห่งเทพ

 

 

โจเซฟีนก็เป็นนักเรียนประเภทนั้น ฟาร์มาไม่จำเป็นต้องฝึกแพทย์โอสถเพื่อออกไปต่อสู้ เขาคิดในใจแต่เนื่องจากมันเป็นหลักสูตรบังคับของทางมหาวิทยาลัย เครดิตสำหรับคลาสการฝึกศาสตร์แห่งเทพจึงเป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้

 

“อาจารย์บอนฟัวบอกว่าให้ฉันฝึกเพิ่มเพราะฉันไม่เก่งในการใช้ควบคุมพลังแห่งเทพนัก แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ค่ะว่าต้องทำเช่นไร”

 

เธอดูเหมือนจะมีปัญหาบางอย่างในใจ

 

 

“เข้าใจแล้วครับ งั้นลองแสดงมนตร์อื่นให้ผมเห็นทีสิครับ”

 

โจเซฟีนเป็นสัตวแพทย์ผู้ใช้ศาสตร์แห่งวายุและมีเทพแห่งวายุเป็นเทพผู้พิทักษ์

 

 

“น่าอายจังเลยค่ะ เพิ่งจะสู้มาเสร็จด้วย”

 

ถึงจะดูอายๆ บ้างแต่เธอก็ยกคทาขึ้นมา แล้วผมกับเสื้อผ้าของโจเซฟีนก็ปลิวไสวไปตามลม

 

 

“คลื่นวายุเทพ”

 

ดูเหมือนพลังแห่งเทพของโจเซฟีนจะอ่อนแอจริงๆ เพราะบาเรียที่ป้องกันลานประลองสามารถดูดซับพลังของเธอได้ทั้งหมดเลย

 

ถึงจะเรียกว่าคลื่นวายุ แต่ผลที่ได้กลับเป็นเพียงสายลมอันอ่อนเบา ใบหน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นมาเห็นสายตาของนักเรียนคนอื่น ฟาร์มาที่สังเกตเห็นทักษะของเธอแล้วก็พยักหน้าให้

 

“คุณกลัวที่จะปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากไม่ก็คุณกลัวที่จะหมดพลังศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า มันทำให้คุณรู้สึกเหมือนตัวเองไม่สามารถส่งพลังไปยังคทาได้เต็มที่สินะครับ”

 

 

ฟาร์มาถามคำถามสองสามข้อ เพราะจากที่เขาเห็นพลังแห่งเทพของโจเซฟีนนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย แถมชีพจรแห่งเทพของเธอก็ไหลเวียนเป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนเธอจะมีความลังเลที่จะใช้พลังแห่งเทพที่ตนมีอยู่

 

 

“ค่ะ อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้นจริงๆ เลยทำให้ฉันไม่มั่นใจว่าจะควบคุมมันในปริมาณที่เหมาะสมได้ไหม”

 

“ถ้าอย่างงั้น เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมพลังแห่งเทพกันดีกว่าครับ ลองถือคทาไว้ให้ดีๆ นะครับ”

 

ฟาร์มาปลดมนต์สะกดคทาออกแล้วชูคทาขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะวางมือลงบนหลังของโจเซฟีน

 

 

หลังจากที่เขาวางมือบนหลังของเธอเขาก็ถ่ายเทพลังแห่งเทพเข้าไปในชีพจรแห่งเทพของเธอ

 

 

 

“ลองดูสิครับ”

 

ฟาร์มากระตุ้นชีพจรแห่งเทพของโจเซฟีน เพื่อให้เธอสามารถดึงพลังแห่งเทพของตัวเองออกมาได้เต็มที่โดยการถ่ายเทพลังแห่งเทพของเขาเข้าไปดันมันออกมา

 

 

 

“คลื่นวายุเทพ”

 

 

 

หลังจากเธอร่ายมนตร์ออกมาด้วยความแม่นยำ ชีพจรแห่งเทพของเธอก็ถูกกระตุ้น ฟาร์มาได้ทำการควบคุมพลังทั้งหมดที่ใช้กระตุ้นแปรเปลี่ยนเป็นมนตร์ธาตุวายุที่เธอกำลังร่าย แล้วปลดปล่อยมันขึ้นไปบนฟ้า พลังทำลายล้างของมันช่างสมบูรณ์แบบ คลื่นเสียงคำรามของลมพายุที่พุ่งขึ้นไปนั้นได้ฉีกกระชากหมู่เมฆครึ้มออกไปจนสิ้น แสงตะวันของฤดูหนาวได้ส่องเข้ามาแทนที่ ผู้คนที่เห็นก็ต่างอ้าปากค้างกัน

 

 

 

“น่ะ……!”

 

 

โจเซฟีนทำคทาหล่น

 

 

“เข้าใจความรู้สึกของการใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับนี้บ้างหรือยังครับ นั้นเป็นวิธีการดึงพลังแห่งเทพออกมาจากชีพพรแห่งเทพครับ คิดว่าน่าจะช่วยแก้ไขในส่วนที่คุณไม่มั่นใจได้”

 

หลังจากพูดจบ เธอก็พยักหน้าให้กับเขา ก่อนจะนำคทาของเธอขึ้นมาอีกครั้งแล้วลองปลดปล่อยมนตร์อันทรงพลังที่เธอไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน

 

ภาพที่เห็นย่อมมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดนับพัน ยิ่งไปกว่านั้นหากได้มีประสบการณ์ดังกล่าวด้วยตัวเองแล้ว มันจะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก

 

“เห็นไหมครับ พลังในชีพจรแห่งเทพของคุณก็ยังคงเป็นปกติอยู่เลย ถึงจะปลดปล่อยมนตร์ระดับนี้ออกมา หากเป็นวันละครั้ง พลังแห่งเทพของคุณคงจะไม่หมดหรอกครับ”

 

นักเรียนที่เห็นแบบนั้นก็แทบจะหุบปากที่อ้าอยู่ไม่ลง

 

 

“ศาสตราจารย์! ได้โปรดแนะนำพวกเราต่อด้วย!”

 

เหล่านักเรียนรีบวิ่งไปรอบๆ ฟาร์มาทันที

 

เหนือสิ่งอื่นใด มีบางอย่างที่น่ากลัวเกี่ยวกับเอ็มเมอริคผู้ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นศิษย์หมายเลขหนึ่งของฟาร์มา

 

“ศาสตราจารย์ครับ! ศาสตราจารย์! มีมนตร์ที่ผมต้องการใช้ให้ได้อยู่ครับ!”

 

“ใจเย็นๆ ครับ คุณเบาเออร์ ผมไม่หนีไปไหนหรอก”

 

เอ็มเมอริคถูกนักเรียนคนอื่นต่อว่าหลังจากนั้น จากนั้นฟาร์มาก็ได้ทำการแนะนำนักเรียนแต่ละคนต่อไป

 

“ฝากด้วยนะครับ!”

 

 

“ได้สิครับ แต่ว่าทุกคนถอยออกกันไปก่อนนะครับ ค่อยๆ เข้ามาทีละคน ยังไงเราก็มีเวลาจนกว่าจะหมดคลาส”

 

ฟาร์มาไม่ละความพยายามในการสอนเลยสักนิด

 

 

“ผมอยากใช้มนตร์ระดับสูงที่มีชื่อว่าพฤกษาเหมันต์ดูครับ”

 

“อ๋อ มนตร์ของเอเลนนี่เอง งั้นถือคทาเอาไว้นะครับ แล้วผมจะส่งผ่านพลังแห่งเทพแล้วร่ายมนตร์โดยใช้ร่างของคุณเป็นตัวส่งผ่านมนตร์”

 

“ครับ ฝากด้วยนะครับ!”

 

นักเรียนแต่ละคนก็อยากจะได้เทคนิคมนตร์ใหม่ๆ ที่สูงกว่าที่ตนมี ฟาร์มาจึงได้ให้พวกเขาสัมผัสกับการปลดปล่อยมนตร์ออกมา เพื่อให้พวกเขาสามารถจำลองภาพการปลดปล่อยและฝึกใช้มันให้เชี่ยวชาญได้ทีละนิด การฝึกฝนดำเนินไปได้ด้วยดี

 

 

“ในที่สุดฉันก็ได้มนตร์บทใหม่เสียที! น่าทึ่งมากเลยค่ะศาสตราจารย์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฝึกมาเป็นปีๆ ก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย”

 

“มนตร์ที่ผมพยายามฝึกมาถึงห้าปีแล้วไม่ไหวจนต้องยอมแพ้ไป….”

 

ดูเหมือนจะเป็นทางฟาร์มาที่ประหลาดใจกับสิ่งที่เจอมากที่สุด เพราะเขาเห็นใบหน้าอันเปี่ยมสุขของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างชัดเจน

 

 

“ทุกคนน่าทึ่งมากเลยนะครับ ทั้งที่มีเวลาเพียงสามชั่วโมงเท่านั้นเอง”

 

ฟาร์มารู้สึกประทับใจกับการเติบโตของเหล่านักเรียน

 

 

“ฉันว่าที่น่าทึ่งที่สุดก็คือศาสตราจารย์ที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพทุกธาตุได้ต่างหากล่ะคะ เพราะแบบนั้นท่านก็เลยใช้มนตร์ทุกมนตร์ได้อย่างอิสระเลยด้วย”

 

โจเซฟีนแอบกระซิบออกมา

 

ก็ประมาณนั้นแหละครับ …. ฟาร์มาหัวเราะกลบเกลื่อนไป

 

 

ดูเหมือนเขาจะถูกบูชาในเหล่านักเรียนอีกแล้ว

 

 

เมื่อระฆังบอกเวลาดังขึ้น นักเรียนส่วนใหญ่ในคลาสก็เริ่มเชี่ยวชาญมนตร์ที่พวกเขาไม่เคยร่ายสำเร็จมาก่อนได้

 

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขามีความสุขมาก พวกเขาเลยไม่ออกไปไหนแม้เสียงระฆังจะดังขึ้นเพื่อบอกถึงเวลาเรียนจบลงแล้วก็ตาม

 

 

“คลาสเรียนต่อไปก็อย่ามาสายกันนะครับ”

 

“ครับ/ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ!”

 

เหล่านักเรียนแสดงความขอบคุณซึ่งกันและกัน

 

 

“สงสัยว่าเอเลนจะดีใจไหมนะที่ทักษะของทุกคนพัฒนาขึ้นแบบนี้”

 

ฟาร์มาคิดเช่นนั้นในขณะที่เขียนข้อมูลใหม่ลงไปในสมุดประเมินนักเรียนของเอเลน

 

เมื่อเขากลับไปที่ร้านขายยาและรายงานเอเลนเกี่ยวกับเนื้อหาของการฝึกและความก้าวหน้าของนักเรียน

 

“แบบนี้ก็หมายความว่า ฟาร์มาคุงเหมาะที่จะเป็นอาจารย์สอนศาสตร์แห่งเทพมากกว่าฉันอีกไม่ใช่หรือไงกัน?”

 

เอเลนพูดขณะลดแว่นตาลง ก่อนจะยิ้มแบบอมทุกข์ออกมา

———–

Note 1 : แอบแปลยาก แล้วดันยาวกว่าเพื่อนด้วยนะ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset