Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 86

ตอนที่ 86 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความอ้วนของลอตเต้ และการมุ่งหน้าสู้นครศักดิ์สิทธิ์

 

“จริงสิ นับจากนี้ไปผมถูกห้ามไม่ให้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งแล้วนะ”

 

“เอ๋? หมายความว่าไง”

 

ถึงเอเลนจะพอเข้าใจถึงเรื่องที่ฟาร์มาบอกแล้วบ้าง แต่ก็อยากถามเพื่อเป็นการยืนยัน

 

 

 

 

“หมายความว่ายังไงคะที่ว่าไม่ได้?”

 

 

ลอตเต้ถามด้วยความไร้เดียงสา เพราะเธอไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 

 

“จากเหตุการณ์ที่ผมไปให้คำแนะนำกับเหล่านักเรียน ผมก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในลานประลองของทางมหาวิทยาลัยอีกแล้วตามคำสั่งของคณบดี แถมเขายังบอกอีกว่าหากพยายามแม้แต่จะเข้ามาเหยียบก็จะถูก เตะออกไปทันที”

 

 

ฟาร์มาสารภาพออกมาด้วยความเศร้า

 

 

“ได้ยินแบบนี้ก็แปลกดีนะครับ แปลว่าจากนี้คุณเจ้าของร้านก็ไม่สามารถเข้าไปสอนศาสตร์แห่งเทพได้แล้วสินะครับ”

 

 

ที่โรเจอร์พูดเหมือนเป็นการโยนระเบิดเข้าไปกลางวงเลย เซเลสก็เลยตักเตือนว่า “นั่นไม่ตลกเลยนะ” ก่อนจะลากโรเจอร์ไปอีกห้องหนึ่ง ส่วนทอมที่กลับมาจากการทำธุระให้ทางร้าน ก็บอกว่า”วันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ” ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่อ่านบรรยากาศได้ดีจริงๆ

 

 

“ฉันก็บอกนายไปแล้วแท้ๆ นะว่าอย่าหาทำ ฟาร์มาคุง”

 

 

เอเลนดันแว่นที่มักจะหลุดอยู่เสมอขึ้น แม้ว่าการที่ฟาร์มาจะเข้ามาสอนในคลาสเรียนศาสตร์แห่งเทพแทนเอเลนได้เป็นอย่างดีจนนักเรียนชื่นชม แต่บรูโนก็เรียกเขาเข้าไปพบที่ห้องคณบดีเพื่อแจ้งถึงเรื่องที่เขาเอามาบอกพวกเธอให้ทราบ ศาสตร์แห่งเทพที่ถูกยกระดับด้วยความรวดเร็วจนเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีกมากมาย เพราะนั่นมันจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ยุติธรรมขึ้นระหว่างนักเรียนที่ได้เข้าเรียนในคลาสนั้นกับคนที่ไม่ได้เข้าเรียน

 

ทำให้จากนี้ไปเขาจะไม่สามารถเข้าไปในลานประลองและไม่สามารถสอนศาสตร์แห่งเทพให้กับเหล่านักเรียนได้อีก

 

เขาจำเป็นต้องเขียนหนังสือรายงานเรื่องที่เขาไร้ความรับผิดชอบในการสอนศาสตร์แห่งเทพในคลาสนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องแบกหน้าไปขอโทษคนอื่นด้วย

 

 

“แต่ถ้าเป็นนอกมหาวิทยาลัยก็ได้ใช่ไหมล่ะ”

 

 

“นี่คือตั้งใจจะมาตบหัวแล้วลูบหลังกันหรือไง”

 

พอเอเลนฟื้นตัวจากอาการไหล่หลุดก็แข็งแรงพอจะพูดแหย่เขาได้แล้ว

 

 

“ท่านแม่!?”

 

 

ลอตเต้ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่อยู่หน้าร้านขายยา เธอคือแคทเทอรีน โซเรล แม่ของลอตเต้ได้มาเยี่ยมเธอที่ร้านขายยาต่างโลก ซึ่งก็น่าแปลกเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอมาที่ร้านแห่งนี้

 

ดูเหมือนจะเดินทางตรงมาจากคฤหาสน์เสียด้วย

 

 

 

“ยินดีต้อนรับครับ คุณแคทเทอรีน ไม่ทราบว่าต้องการอะไรครับ”

 

 

“โอ้ คุณแม่ของลอตเต้จังนี่นา ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

 

 

ฟาร์มาและเอเลนทักทายเธอด้วยความร่าเริง

 

เอเลนนั้นเดินเข้าออกตระกูลเดอ เมดิซิสในฐานะครูสอนพิเศษเป็นประจำอยู่แล้วจึงทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับแคทเทอรีน

 

แล้วก็เป็นฝั่งของแพทย์โอสถพาร์ทไทม์เข้ามาทักทายต่อ

 

 

“สวัสดีนายน้อยค่ะ แล้วก็สวัสดีเหล่าพนักงานร้านขายยาด้วยนะคะ พอดีว่าวันนี้เป็นวันหยุดค่ะก็เลยมาทักทายสักหน่อย”

 

“มีอะไรหรือเปล่าคะท่านแม่ อยากมาดูร้านขายยาเหรอคะ จริงสิท่านแม่ยังไม่เคยมาเลยนี่นา”

 

“งั้นลอตเต้ช่วยพาคุณแคทเทอรีนเดินดูร้านหน่อยละกัน”

 

ฟาร์มามีพูดออกมาด้วยความเห็นใจสองแม่ลูก

 

 

“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาเยี่ยมชมเอง ทางนี้เลยค่ะท่านแม่!”

 

 

พอฟาร์มาอนุญาต ลอตเต้ก็รีบพาแคทเทอรีนเดินดูภายในร้านขายยา ถึงเธอจะดูสับสนอยู่บ้าง แต่ก็เดินตามลอตเต้ไป

 

 

“ท่านฟาร์มาคะดูเหมือนท่านแม่ไม่ได้อยากจะมาดูร้าน แต่อยากมาซื้อยาค่ะ”

 

 

หลังจากนั้นไม่นานลอตเต้ก็ลงบันไดมาพร้อมกับแคทเทอรีน

 

ดูเหมือนแคทเทอรีนมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่พูดไม่ได้เนื่องจากคนในร้านอยู่กันเยอะมาก ดังนั้นฟาร์มาจึงเดาว่ามันน่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เขาจึงพาเธอกับเอเลนไปที่ชั้นสองเพื่อเข้าห้องให้คำปรึกษา

 

ลอตเต้ก็เดินตามเขามาด้วยความเป็นห่วงก่อนจะแอบฟังบทสนทนานั้นด้วย

 

 

“หากเป็นที่นี่ละก็ไม่มีใครมาหรอกครับ ไม่ทราบว่ากำลังมองหายาตัวไหนอยู่เหรอครับ?”

 

 

 

แคทเทอรีนก้มหน้าลงอย่างเขินอายเมื่อฟาร์มาบอกให้เธอพูด

 

 

 

“คือว่า…มียาที่ทำให้ไม่อยากอาหารไหมคะ”

 

“คุณจะใช้มันทำอะไรเหรอครับ”

 

“ค่ะ…คือว่าเมื่อเร็วๆ นี้ฉันอ้วนขึ้นค่ะ เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็รัดแน่นขึ้นกว่าเดิม…จนกังวลว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะลับหลังฉันหรือเปล่าค่ะ”

 

 

คนอ้วนนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากบนโลกใบนี้ อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ร่ำรวยก็ว่าได้เพราะพวกเขาสามารถเลือกทานอะไรได้มากมาย และตราบใดที่พวกเขาเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพต่อให้จะอ้วนแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา การวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้างก็ไม่มีมากนัก แถมการฝึกศาสตร์แห่งเทพก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกด้วย

 

ที่พูดมาทั้งหมดก็ทำให้เห็นว่าการที่คนทั่วไปจะอ้วนได้นั้นช่างยากเหลือเกิน จะบอกว่าเธอเป็นคนเกียจคร้านก็ไม่น่าจะใช่ เพราะแคทเทอรีนเป็นข้ารับใช้ที่ทำงานหนักเสมอ ความสามารถในการทำงานก็ไว้ใจได้

 

 

“ท่านแม่…หนูไม่รู้ว่าก่อนเลยว่าท่านแม่จะกังวลขนาดนี้”

 

 

ลอตเต้ที่ฟังเรื่องราวอยู่ข้างๆ มีก็สีหน้าตกใจ

 

“ต้องเป็นเพราะหนูเอาขนมกลับมาที่คฤหาสน์เยอะแน่ๆ เลย ขออภัยด้วยค่ะ หนูไม่ได้คิดถึงท่านแม่ที่ต้องมาช่วยกินด้วยเลย”

 

 

“ไม่หรอก แม่ผิดเองที่ตามใจปากเหมือนหมูแบบนั้น”

 

 

แคทเทอรีนรู้สึกอายเป็นอย่างมากก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา

 

“ไม่เห็นต้องคิดแบบนั้นเลยครับ ผมว่าหากลองพยายามอีกสักหน่อยก็น่าจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไม่ยากนะครับ”

 

 

ฟาร์มาคิดว่าแคทเทอรีนดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเกินไปหน่อย จึงพยายามพูดให้กำลังใจเธอ

 

 

 

“จะเป็นไปได้เหรอคะที่จะลดน้ำหนักด้วยความพยายามเพียงน้อยนิดเช่นนี้”

 

 

“ค่อยๆ พยายามไปทีละหน่อยก็ได้ครับ อย่าเพิ่งไปคิดมากเลย”

 

 

ฟาร์มาซึ่งไม่เคยอ้วนมาก่อนเลยตั้งแต่เกิด แน่นอนว่าตอนเป็นยาคุทานิก็เช่นกัน แถมยังค่อนข้างออกไปทางผอมจนอยู่ในประเภทที่อยู่เฉยๆ น้ำหนักลดลงไปเรื่อยๆ จนทำให้ไม่เข้าใจความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าความอ้วนเลย แต่ในเมื่อแคทเทอรีนยืนยันด้วยตัวเองแบบนี้ก็แปลว่าเธอคงมั่นใจว่าเธออ้วนขึ้นจริงๆ

 

ขนาดตัวของเธอเมื่อปีที่แล้วยังไม่ถึงขนาดนี้ แต่ในช่วงที่ผ่านมาเธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนมาว่าใหญ่ขึ้น

 

แคทเทอรีนนั้นเป็นข้ารับใช้ที่มีอายุพอสมควรแล้ว ซึ่งแตกต่างจากลอตเต้ที่ต้องออกไปทำงานหลากหลาย มีกิจกรรมมากมาย งานที่เธอทำนั้นเป็นเพียงงานเบาๆ ภายในคฤหาสน์ของตระกูล การออกแรงจึงมีไม่มากพอ

 

 

“ช่วงหลังมื้อเย็น ขนมหวานที่ชาร์ล็อตนำกลับมาด้วยมันอร่อยมาก…จนฉันอดใจไว้ไม่อยู่เลยค่ะก็เลย…”

 

เห็นได้ชัดว่าสาเหตุมาจากขนมหวาน

 

ว่ากันว่าลอตเต้นั้นได้ซื้อมันกลับมาบ้านเกือบทุกวัน เธอจึงได้ทานส่วนหนึ่งที่ลอตเต้ซื้อมาเสมอ

 

 

“งั้นเราลองมาวัดดัชนีมวลกายดูกันก่อนว่าควรจะลดน้ำหนักดีไหมแล้วกันนะครับ”

 

 

เขาจำเป็นต้องประเมินด้วยมุมมองที่เป็นกลาง ฟาร์มาได้คำนวณดัชนีมวลกายจากน้ำหนักและส่วนสูงของแคทเทอรีน ก่อนจะนำมันผลไปให้เธอดู พบว่าดัชนีมวลกายของเธออยู่ที่ 30 และเธอมีน้ำหนักมากกว่า 15กิโลกรัมจากที่ควรจะเป็น ลอตเต้ที่นั่งฟังอยู่ก็รอดูการตัดสินใจของแคทเทอรีน

 

 

“เป็นไงบ้างคะ ตอนนี้ฉันอ้วนเป็นหมูเลยสินะคะ?”

 

“ไม่หรอกครับ ถึงจะตามใจปากไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นอ้วนจนเกินไป แต่ยังไงมันก็อยู่ในกลุ่มของคนเป็นโรคอ้วนดังนั้นเรามาหาทางลดน้ำหนักกันดีกว่าครับ”

 

 

เกณฑ์การแบ่งกลุ่มในแต่ละพื้นที่นั้นก็จะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะของญี่ปุ่น อเมริกา หรือองค์กรอนามัยโลก แต่นอกเหนือจากความอ้วนแล้วความเสี่ยงที่ไขมันจะเกาะภายในอวัยวะก็สูงตามไปด้วย แถมยังมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติตามมาอีกมากมาย

 

 

 

“ฝากด้วยนะคะ”

 

 

เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดและอื่นๆ อีกมากมายฟาร์มา จึงทำการวินิจฉัยด้วยดวงตาวินิจฉัยแทน และแม้ว่าแคทเทอรีนจะมีไขมันในช่องท้องสะสม แต่ดูเหมือนว่าค่าที่เหลือทั้งหมดจะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

 

 

 

“นายน้อยคะไม่ทราบเอามือไปทำอะไรที่ตาเหรอคะ ฉันสงสัยมานานแล้ว”

 

 

แคทเทอรีนเฝ้าดูฟาร์มาที่ใช้ดวงตาวินิจฉัยตรวจสอบเธออย่างใกล้ชิด ก็อดสงสัยท่าทางของฟาร์มาไม่ได้ ส่วนทางฟาร์มาก็ใช้มือของเขาสัมผัสหน้าท้องของแคทเทอรีนผ่านเสื้อผ้า ก็พบว่านี่เป็นเพียงไขมันใต้ผิวหนังไม่ใช่ไขมันภายในช่องท้อง พอเขาวัดรอบเอวดูมันก็ไม่ได้เกินมาตรฐานแต่อย่างใด

 

สรุปคือไม่ใช่โรคเมตาบอลิก แต่เป็นโรคอ้วนเฉยๆ

 

 

“แล้วเราต้องลดมันยังไงคะ พอจะมียารักษาไหม”

 

 

ที่เธอมาที่นี่ก็เพราะอยากจะได้ยาไปรักษา เพราะเธอคิดว่าคงจะดีหากทานยาแล้วน้ำหนักจะลดลงไปอย่างรวดเร็วเลย

 

 

“บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องทานยาครับ แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะมียาที่สามารถระงับความอยากอาหารหรือดูดซับไขมันออกไปได้ด้วย”

 

“งั้นฉันศีลอดดีไหมคะ”

 

“ถ้าร่างกายของเราเข้าสู่ภาวะอาหารเพราะการอดอาหาร กล้ามเนื้อของเราจะถูกสลายไปก่อนครับ แน่นอนว่าไขมันก็ลดเช่นกันแต่คงจะยากกว่ากล้ามเนื้อ นอกจากนี้ หากร่างกายขาดแคลเซียมไปเสริมสร้างกระดูก กระดูกก็จะเกิดการสลายตัวและทำให้มันเปราะบาง หักได้ง่าย อีกทั้งการอดอาหารยังมีผลเสียอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ดังนั้น เราควรมาดูแลเรื่องอาหารที่ทานควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นหลักจะดีกว่าครับ ทีนี้เราก็ต้องมาหาการออกกำลังที่เหมาะกับคุณแคทเทอรีน….ผมว่าอย่างการเดินก็ดีนะครับ”

 

 

“เอ๋ แค่ออกกำลังกายน้ำหนักจะลดได้เหรอคะ”

 

 

แคทเทอรีนกล่าวถึงแนวคิดในการลดน้ำหนักด้วยวิธีการออกกำลังกายดูเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ และยิ่งตกใจว่ากระทั่งอดอาหารก็ยังไม่เพียงพอ จากมุมของฟาร์มาแล้วนี่ก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับโลกที่ไม่มีใครกล้าจะลดน้ำหนักกันอย่างจริงจัง จากที่เขาเล่ามาก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

 

“แต่ถ้าเป็นแบบนั้น มันอาจจะไปรบกวนงานที่ฉันต้องทำในคฤหาสน์ก็ได้นะคะ เพราะฉันคงไม่อาจออกไปเดินเล่นระหว่างทำงานได้”

 

“งั้นคุณแคทเทอรีน ก็ลองผลัดหน้าที่ออกไปซื้อของกับลอตเต้ดูก็ได้นะครับ ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นร้านที่อยู่ไกลจากคฤหาสน์สักหน่อยเพื่อให้ได้ออกแรงในระดับหนึ่ง”

 

 

“โอ้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ถือเป็นการทำงานไปในตัวด้วย!!”

 

 

“ดังนั้นต่อมาเราก็ต้องมาหารองเท้าที่คุณจะใส่เดินได้สบายครับ”

 

ฟาร์มาแนะนำให้เธอตัดเย็บรองเท้ากีฬาขึ้นมา

 

 

เนื่องจากตระกูลเดอ เมดิชิสได้จ้างช่างทำรองเท้าที่เชี่ยวชาญมาด้วย ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้สั่งจากช่างฝีมือคนนั้นได้เลย

 

และแล้วแคทเทอรีนกลับบ้านด้วยความคาดหวังครึ่งหนึ่งและความวิตกกังวลครึ่งหนึ่งแทน

 

 

 

“ขอบคุณมากนะคะ ท่านฟาร์มา ดูเหมือนว่าฉันทำอะไรไม่ดีกับท่านแม่ไปเยอะเลยเห็นทีต้องมาคิดทบทวนแล้วสิคะ”

 

 

ลอตเต้บอกฟาร์มาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

 

เพราะฉันคิดว่าท่านแม่คงจะมีความสุข ก็เลยไปหาของที่หวานแปลกตาหรือน่ารักกลับมาฝากเยอะเลย

 

ลอตเต้รู้สึกเสียใจ เพราะเธอหวังจะทำให้แม่ของเธอยินดี แต่เธอกลับทำให้สุขภาพของแม่เธอพังแทน

 

 

“ทั้งพนักงานของร้านขายยาแล้วก็คนที่อยู่ในวังฉันก็ทำแบบเดียวกันหมด….ยิ่งท่านฟาร์มาแล้วด้วย หากฉันทำอะไรผิดพลาดไปอีกก็บอกได้เลยนะคะ”

 

 

น้ำใจในการแบ่งปันของลอตเต้ได้กลายมาเป็นความหนักใจบนบ่าเธอแทน แต่ฟาร์มาก็คิดว่าเขาสามารถจัดการกับตัวเองในเรื่องนี้ได้

 

 

นอกจากนี้ รูปร่างของเขายังไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยจนน่าประหลาดใจ

 

 

“หากให้ในปริมาณที่พอดี ก็ไม่เป็นไรหรอก ลอตเต้ก็เหมือนกันนะอย่าทานขนมมากเกินไป ถึงจะยังเป็นช่วงอายุนี้อยู่ แต่ถ้ากินของหวานมากเกินไปก็ป่วยได้นะ”

 

 

ฟาร์มาบอกลอตเต้อย่างละเอียด

 

 

“ค่ะ ฉันจะเริ่มงดทานขนมหวาน แล้วก็จะไปเดินกับท่านแม่เป็นครั้งคราวด้วย”

 

 

ลอตเต้ประสานมือเข้าหากันและตอบออกมาอย่างร่าเริง

 

 

 

หลังจากที่แคทเทอรีนกลับไปที่คฤหาสน์มือเปล่า ลอตเต้ก็กำลังทำความสะอาดห้องตรวจคนไข้อยู่

 

เหล่าพนักงานพาร์ทไทม์ก็เดินมาทำความสะอาดบริเวณชั้นหนึ่งของร้านขายยา ส่วนทางลอตเต้รับหน้าที่ของชั้นสองทั้งหมด

 

 

ทักษะการทำความสะอาดของเธอน่าชื่นชม แม้จะฮัมเพลงอย่างสดใสไปด้วยระหว่างงาน แต่พื้นที่เธอดูแลเป็นประกายอย่างงดงาม เครื่องชั่งได้รับการขัดเงาอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกและฝุ่นติดอยู่

 

 

“จะว่าไป รู้สึกเหมือนกระโปรงจะเริ่มรัดขึ้นมานิดหน่อยแล้วสินะ”

 

 

จู่ๆ ลอตเต้ก็ถอดรองเท้าและก้าวขึ้นไปบนเครื่องชั่งในห้องตรวจ ช่วงนี้เธอไม่ได้ชั่งน้ำหนักเลย แต่เพราะแม่ของเธอก็เป็นแบบนั้น แล้วตัวเธอล่ะ? ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

 

 

 

“กรี๊ด!!..แย่แล้ว”

 

 

 

ด้วยวิธีที่ฟาร์มาแนะนำ ลอตเต้พยายามคำนวณดัชนีมวลกายด้วยวิธีเดียวกับแคทเทอรีน

 

 

 

“แย่แล้ว!”

 

“มีอะไรเหรอลอตเต้จัง?”

 

 

 

เอเลนได้ยินเสียงกรีดร้อง เธอจึงตะโกนเรียกมาจากชั้นล่าง ก่อนที่ลอตเต้จะปฏิเสธโดยบอกว่าไม่มีอะไร

 

 

และในวันนั้นเองลอตเต้ก็เริ่มทานอาหารน้อยกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ดวงตาของเอลเลนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจราวกับว่าเกิดภัยธรรมชาติขึ้น

 

 

 

“ลอตเต้จัง ไม่กินของหวานหลังอาหารเย็นเหรอ เธอดูกินน้อยลงไปเยอะเลยนะ ถึงการงดของหวานมันจะดี แต่ถ้าทานอะไรน้อยไปร่างกายก็พังเอาได้นะ”

 

 

 

เอเลนถามอย่างเป็นห่วง

 

 

“วันนี้ฉันไม่รู้สึกไม่ค่อยอยากเฉยๆ ค่ะ”

 

 

 

ลอตเต้พึมพำเสียงอ่อยออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน

 

 

 

(หรือเพราะลอตเต้กังวลเรื่องนี้เหมือนคุณแคทเทอรีนกันนะ)

 

 

ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็อดอมยิ้มกับกับท่าทางของลอตเต้ที่ตอบกลับมาแบบเขินอายไม่ได้

 

 

 

ต่อมาแคทเทอรีนก็เริ่มทำตามคำแนะนำของฟาร์มาในการจำกัดอาหารของเธอ และเริ่มเดินซื้อของในระยะทางที่ไกลขึ้น เป็นผลให้น้ำหนักของแคทเทอรีนเริ่มลดลงเรื่อยๆ แม้จะใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยแต่มันก็ได้ผล

 

แคทเทอรีนเริ่มสนใจการจำกัดอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มการออกกำลังกาย

 

กระทั่งลอตเต้ก็ยังเริ่มตื่นเช้าและออกไปเดินรอบๆ คฤหาสน์

 

โดยเธอนั้นจะแอบออกไปอย่างลับๆ ในช่วงเช้ามืด และพอถึงเวลางานเธอก็จะไปที่ห้องของฟาร์มาด้วยท่าทางที่เป็นปกติ ฟาร์มาคิดว่านั่นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เหมือนลอตเต้ก็ยังคงเป็นกังวลอะไรบางอย่างอยู่

 

 

 

“อรุณสวัสดิ์ลอตเต้! เช้านี้อากาศดีนะ”

 

 

 

ในเช้าตรู่วันหนึ่ง เมื่อลอตเต้กำลังเดินเล่นในสวนของตระกูลเดอ เมดิซิส ตามปกติ จู่ๆ ดีๆ ฟาร์มาก็ออกมาจากหลังพุ่มไม้ในสวนและทักทายเธอ

 

พอเห็นว่ามีคนเรียกเธอ ลอตเต้ก็กระโดดวิ่งหนีออกไปประมาณ 50 เมตรได้

 

ดูเป็นคนขี้กลัวเหมือนกันนะ

 

 

“ตั้งใจมาทำอะไรเหรอ เห็นช่วงนี้เดินทุกเช้าเลย”

 

“โถ่ ท่านฟาร์มานี่เอง! คิดว่าหัวใจจะหยุดเต้นแล้วสิคะ คือว่า…ที่จริง…ฉันเริ่มอ้วนขึ้นก็เลยว่าจะลดน้ำหนัก โดยการมาเดินที่นี่ทุกวันค่ะ”

 

 

“เอ๋? เดี๋ยวก่อน ลอตเต้ไม่ได้อ้วนสักหน่อยนะ!”

 

 

ฟาร์มาตอบลอตเต้กลับมาเสียงแข็ง ดูเหมือนเธอกำลังจะเข้าใจอะไรผิดไปอยู่อย่างแน่นอน

 

แต่คำพูดของฟาร์มาก็ส่งไปไม่ถึงลอตเต้ผู้สูญเสียความมั่นใจในน้ำหนักและรูปร่างของเธอเสียแล้ว

 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงท่านจะไม่ได้รังเกียจฉันที่เป็นแบบนี้ก็เถอะ”

 

“คุณไม่จำเป็นต้องอดอาหารเพราะคุณมีร่างกายที่เหมาะสมอยู่แล้ว และคุณยังอยู่ในวัยกำลังโตด้วยมันแตกต่างจากผู้ใหญ่นะ ผมว่าควรเลิกทำแบบนี้จะดีกว่า”

 

“แต่ว่า พอขึ้นไปที่เครื่องชั่งน้ำหนักของฉันก็เลยไปเยอะเลยนะคะ…ฉันรู้สึกอายที่ต้องกลายเป็นลูกหมูนะคะ”

 

 

“แน่ใจแล้วเหรอ ว่าเครื่องชั่งนั้นมันแม่นยำน่ะ”

 

 

“แต่เครื่องนั้นเป็นของร้านขายยาเลยนะคะ ต้องแม่นยำอยู่แล้ว!”

 

 

ลอตเต้ยืนยันในความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยบอกว่าเครื่องชั่งของร้านนั้นแม่นยำที่สุด

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟาร์มาก็เอียงศีรษะ

 

 

 

“คิดดูให้ดีๆ สิ เมื่อวันก่อนหลังจากที่คุณทำความสะอาดแล้ว เครื่องชั่งมันเอียงไปทางแนวนอนใช่ไหม ผมกำลังซ่อมมันอยู่นะ คุณอาจจะไปขึ้นมันในตอนนั้นหรือเปล่า”

 

“เอ๊ะ?”

 

“ถ้าเป็นกรณีนี้ แสดงว่าผลที่ได้มันไม่ถูกต้อง”

 

 

ในวันนั้น ฟาร์มาได้ทำการตรวจสอบเครื่องชั่งที่ร้านขายยาอีกครั้ง ก่อนจะให้ลอตเต้ขึ้นไปชั่ง และก็เป็นไปตามที่ฟาร์มาคิด ลอตเต้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที แต่เธอก็ไม่ได้พยายามสรรหาขนมหวานมาทานเพิ่มแต่อย่างใด

 

 

 

“วันนี้ฉันจะหยุดกินเค้กผลไม้นี้ก็แล้วกันค่ะ”

 

แล้วเดือนธันวาคม ปี1147 ก็มาถึง

 

ฟาร์มาได้รับคำสั่งเรียกตัวไปยังพระราชวัง และเตรียมเก็บข้าวของสำหรับการเดินทางไกล

 

วันออกเดินทางไปนครศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว

 

 

 

“ท่านฟาร์มาขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะคะ”

 

ลอตเต้ยืนส่งในสภาพน้ำตาซึม จากเรื่องที่ฟาร์มาต้องรับมือเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้เขาเดาได้ว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่ราบรื่นเป็นแน่ จึงไม่อาจจะพาลอตเต้ไปด้วยได้

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก ฝ่าบาทก็ไปกับผมด้วยนะ ผมก็เพียงแค่ทำหน้าที่ข้ารับใช้ให้เหมาะสมเท่านั้นเอง”

 

 

“จริงเหรอคะ สัญญาได้ไหมคะ!”

 

“ได้สิผมสัญญา”

 

 

ลอตเต้ยื่นมือออกไปก่อนที่ฟาร์มาจะจับมือของเธอไว้แน่น

 

 

ความแข็งแกร่งของพลังใจนั้นถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของฟาร์มาไปยังลอตเต้แล้ว

 

 

นอกเหนือจากคนคุ้มกันของจักรพรรดินีและผู้ที่ดูแลทรัพย์สินส่วนตัวของเธอแล้ว ผู้ติดตามหลายคนจากตระกูลเดอ เมดิซิสก็มาพร้อมกับฟาร์มาด้วย พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ยินว่าตนสามารถไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วย

 

 

 

จากความรู้สึกของมนุษย์ยุคใหม่ มันคงคล้ายกับการเดินทางไปวาติกัน

 

 

“ฟาร์มา จงรู้สึกเป็นเกียรติเสียที่ได้ร่วมเดินทางไปกับฝ่าบาท แล้วก็อย่าทำอะไรหยาบคายต่อหน้าพระองค์ด้วยนะ”

 

“พี่ฝากซื้อคัมภีร์กับเครื่องรางของแท้จากที่นั่นมาด้วยนะ”

 

 

“นี่หนูจะไม่ได้เจอกับท่านพี่ไปอีกพักใหญ่เลยเหรอคะ พาหนูไปด้วยสิ”

 

 

เบียทริช ปาลเล่ และ บลานช์ไม่ได้ทราบถึงรายละเอียดของสถานการณ์ ต่างก็กล่าวอำลาเขา เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่เขาจะไม่บอกครอบครัวถึงเรื่องการประชุมระหว่างเขากับนครศักดิ์สิทธิ์

 

ดังนั้นจึงลงเอยที่ เขาบอกว่าตนจะไปกับจักรพรรดินีในฐานะแพทย์โอสถส่วนตัวของจักรพรรดินี ครอบครัวของเขาจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้

 

 

 

(ไม่ต้องห่วงยังไงเราก็จะกลับมาให้ได้)

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเขาไม่สามารถเจอคนพวกนี้ได้อีก

 

 

 

 

หลังจากบอกเอเลนและพนักงานที่ร้านขายยาว่าเขาจะไม่อยู่เป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ ฟาร์มาก็รีบไปที่พระราชวัง ที่ซึ่งจักรพรรดินีอยู่ โดยมีซาโลม่อนและจูเลียน่าอยู่เคียงข้าง

 

จักรพรรดินีอยู่ในชุดธรรมดาที่เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง เป็นชุดที่มีความสง่างามแต่ยังคงความคล่องตัวเอาไว้ ฟาร์มาคิดว่าหมวกปีกกว้างที่เธอใส่อยู่คล้ายแบบสมัยใหม่เลย

 

 

“กระหม่อม ฟาร์มาได้เดินทางมาถึงแล้ว ขอบพระคุณในความกรุณาครั้งนี้ของฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“อื้ม เราก็ตกลงจะไปกันช่วงนี้นี่นา ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว”

 

 

 

เหตุผลในกำหนดการสำหรับการเยือนนครศักดิ์สิทธิ์คือเพื่อเข้าเยี่ยมคารวะนักบวชชั้นสูง ก่อนจะจัดการประชุมสันติภาพ และเยือนประเทศรอบ ๆ นครศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นการฉลองครบรอบการครองราชย์ 10ปี ของจักรพรรดินี

 

 

หนังสือพิมพ์และจักรวรรดิรายสัปดาห์ยังคงรายงานเกี่ยวกับการเสด็จไปต่างประเทศของจักรพรรดินี

 

แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของฟาร์มาก็คือการส่งคืนคทาแห่งเทพโอสถและเจรจาไม่ให้พวกเขามารบกวนการใช้ชีวิตของฟาร์มาอีก

 

 

“เราไม่รู้ว่าปิอุสจะมาไม้ไหน และเราก็ไม่ค่อยสันทัดกับศาสตร์แห่งเทพของพวกนักบวชด้วย แต่อย่างน้อยเราก็มีพลังที่พอจะทำให้พวกเขาเงียบได้ ดังนั้นก็อุ่นใจได้เลย”

 

 

จักรพรรดิทุกองค์จำเป็นต้องเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ในช่วงพิธีบรมราชาภิเษก จักรพรรดินีก็เช่นกัน เธอบอกว่าเคยพบกับปิอุสช่วงพิธีบรมราชาภิเษกและตอนนั้นเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีอะไรกับพระสันตะปาปาที่แต่งตั้งตำแหน่งจักรพรรดิให้กับเธอ

 

แต่พอได้ทราบว่านครศักดิ์สิทธิ์กำลังแทรกแซงชีวิตของฟาร์มา เธอก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังได้จูเลียน่าที่แปรพักตร์มากับซาโลม่อนเดินทางไปด้วย

 

ถึงจูเลียน่าอาจจะตกอยู่ในอันตรายหากเธอกลับไป และซาโลม่อนที่น่าจะหายสาบสูญไปโผล่ขึ้นมาจะมีภัย แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ยืนยันว่าจะตามไปด้วยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจักรพรรดินีจึงได้สร้างตัวตนปลอมพวกเขาขึ้นมาและให้พวกเขาปลอมตัวด้วย

 

 

(ถึงเราจะขู่ไปว่าจะลบใต้ดินของมหาวิหารออก จนอีกฝ่ายไม่น่าจะทำอะไรแย่ๆ อีก…แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะเป็นไปตามที่คิดไหม)

 

 

 

คลาร่าซึ่งมีเทพแห่งการเดินทางเป็นเทพผู้พิทักษ์ ได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการให้ติดตามพวกเขาไปด้วย คลาร่าเองก็เตรียมตัวสำหรับการเดินทางเช่นกัน เนื่องจากเธออยู่ต่อหน้าจักรพรรดินี เธอจึงค่อนข้างประหม่า

 

 

 

“นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของกระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการฝึกซ้อมการเดินทางข้ามทวีปด้วยเพคะ”

 

 

“คลาร่า แล้วคำทำนายของเจ้ายังคงไม่ต่างไปจากเดิมหรือ?”

 

 

 

เมื่อจักรพรรดินีถาม คลาร่าก็ก้มศีรษะลงอย่างเศร้าสร้อย เป็นการยืนยันผลนั้นโดยปริยาย

 

ตามความสามารถในการหยั่งรู้ของคลาร่าซึ่งได้มาจากเทพแห่งการเดินทาง เธอกล่าวว่าเธอสามารถเห็นลางร้ายของฟาร์มาที่จะเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน

 

 

 

“แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเหลือแต่โครงกระดูกสินะครับ?”

 

 

ฟาร์มาถามก่อนออกเดินทาง

 

จากเรื่องที่คลาร่าบอกตอนข้ามทวีปเธอเห็นภาพของมนุษย์ที่เสียชีวิตจนเหลือแต่โครงกระดูกด้วย

 

 

 

 

“ค่ะ เราทุกคนสามารถกลับมาโดยยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ลางร้ายก็ยังคงอยู่…และฉันมองไม่เห็นชัดเท่าไรนัก”

 

 

อย่างน้อยฟาร์มาก็รู้สึกโล่งใจที่ทุกคนยังสามารถกลับมาแบบเป็นๆ ได้

 

 

เขาไม่อยากจะให้ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องรับผลกระทบไปด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ฟาร์มาจึงเรียกประชุมก่อนออกเดินทางเพื่อสรุปเพิ่มเติมโดยหวังเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ติดตาม

 

 

“ก่อนออกเดินทางผมมีบางอย่างอยากจะให้ทุกคนเตรียมพร้อมครับ”

 

 

 

 

ฟาร์มาซึ่งเป็นผู้เปิดชีพจรแห่งเทพให้กับผู้คน

 

ชีพจรแห่งเทพที่ถูกเปิดโดยฟาร์มานั้นไม่จำเป็นต้องมีบทร่าย และไม่มีใครสามารถปิดมันลงได้อีกแม้กระทั่งนักบวช

 

แม้ว่าจะมีการร่ายมนตร์ปิดชีพจรแห่งเทพตอนอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าฟาร์มาเป็นคนเปิดชีพจรแห่งเทพของพวกเขาทุกคนไว้ล่วงหน้า ก็น่าจะไม่เป็นไร

 

“บางทีอาจจะเกิดปัญหาเอาได้ ระหว่างการเดินทาง ดังนั้นนี่เป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้ชีพจรแห่งเทพของทุกคนโดนปิดไปนะครับ”

 

หลังจากที่ฟาร์มาได้รับการยิมยอมจากทุกคนที่เข้าประชุม ฟาร์มาก็ได้ซาโลม่อนและจูเลียน่าเข้ามาช่วย ในการเปิดชีพจรแห่งเทพของพวกเขา

 

และพอถึงคิวของจักรพรรดินี เขาก็นำคทาแห่งเทพโอสถแตะไปที่ร่างของเธอก่อนจะเปิดชีพจรออกโดยไม่มีคำร่ายใดๆ

 

จักรพรรดินีรู้สึกตัวสั่น ก่อนจะเห็นภาพลวงตาคล้ายกับพลังแห่งเทพเริ่มแผ่กระจายออกมาจากร่างของเธอ

 

 

“โห…ดูเหมือนพลังที่ถูกกักเก็บเอาไว้ภายในจะไหลเวียนสะดวกขึ้นนะ เราขอทดสอบหน่อยก็แล้วกัน!”

 

จักรพรรดินีแสดงให้เห็นถึงผลจากการเปิดชีพจรแห่งเทพนั้นโดยการปล่อยเปลวไฟขนาดใหญ่ขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังของมันเห็นได้ชัดว่ามากกว่าครั้งไหนๆ ที่เธอเคยทำมา

 

 

 

 

ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจกับปริมาณความร้อนที่ดูเหมือนจะปกคลุมท้องฟ้าได้ทั้งโลกเลย

 

 

 

“เป็นไงบ้าง ท้องฟ้าในฤดูหนาวเริ่มอุ่นขึ้นหรือยัง”

 

 

“ตามที่ฝ่าบาทกล่าว มันเป็นศาสตร์แห่งเทพที่งดงามมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

ฟาร์มารู้สึกทึ่งในด้านความเป็นชายของจักรพรรดินีที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ในขณะที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยความพอใจ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาราวกับจะบั่นทอนกำลังใจของเธอ

 

 

 

“ทำไม ฝนถึงตกได้ล่ะ!”

 

“ด้วยปริมาณความร้อนดังกล่าว เป็นเรื่องปกติที่ฝนจะตกพ่ะย่ะค่ะ”

 

“โถ่ อย่ามาอธิบายแบบใจเย็นเช่นนั้นสิ เจ้านี่ไม่คล้อยตามไปกับศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมของเราเลยหรือไง”

 

 

ตราสัญลักษณ์แห่งเทพอัคคีที่สลักอยู่บนน่องของจักรพรรดินีนั้นดูทรงพลังและมีลวดลายที่มากขึ้นราวกับถูกกระตุ้นขึ้นมา

 

เมื่อวัดพลังแห่งเทพของเธอด้วยมาตราวัด ปริมาณก็เพิ่มขึ้นเกือบเป็นเท่าตัว จูเลียน่าและคนอื่นๆ ก็เห็นพลังแห่งเทพของตนเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน และต่างก็ประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้

 

ส่วนคลาร่าดูจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แม้ว่าพลังแห่งเทพของเธอจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอบอกว่าเธอง่วงนอนมากขึ้นกว่าเดิมอีก

 

 

ส่วนของที่ฟาร์มาพกมาด้วยนั้นก็มี คทาแห่งเทพโอสถ บัตรประจำตัวพนักงานที่ซ่อน แล็บท็อป สมาร์ตโฟน และของอื่นๆ อีกเล็กน้อย

 

เขาตั้งใจจะเอาคทาแห่งเทพโอสถไปคืนและจัดการเรื่องทั้งหลายให้เสร็จ

 

 

 

“กระหม่อมจะเป็นผู้นำทางท่านไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เองพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คณะทูตจากนครศักดิ์สิทธิ์ได้เดินทางมารับจักรพรรดินี

 

นี่ก็เป็นการเดินทางของฟาร์มาและคนอื่นๆ ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เพื่องานประชุมระหว่างจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟและพระสันตะปาปาปิอุส

 

——–

Note 1 : เผลอแปลข้าม แถมๆละกันนะครับ ถึงจะมึนๆง่วงๆไปบ้าง

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

 

 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset