ตอนที่ 86 เยือนนครศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ
นี่ก็เป็นวันที่สี่แล้วของการเดินทางไปเยือนนครศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ
ขณะที่จักรพรรดินีและฟาร์มากำลังออกมาจากงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นภายในโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาได้ขึ้นรถม้าและให้รถม้าของทางศาสนจักรนำขบวนไปต่อ
ถนนที่เป็นเส้นทางมุ่งไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เนื่องจากนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในโครงการสาธารณูปโภคจักรวรรดิและด้วยถนนที่ดีเช่นนี้การเดินทางด้วยรถม้าก็จะสะดวกสบาย แน่นอนว่าก็มีเหล่าผู้คนในดินแดนที่พวกเขาผ่านออกมารอต้อนรับตามเส้นทางและเฝ้ามองจักรพรรดินีแม้จะอยู่ในระยะไกลก็ตาม เมื่อจักรพรรดินีเห็นราษฎรของเธอออกมาต้อนรับ เธอก็จำเป็นต้องแสดงภาพลักษณ์ในฐานะจักรพรรดินีอย่างเหมาะสม
แต่การเดินทางในครั้งนี้ก็ใช่จะราบรื่นไปเสียหมด ขบวนรถม้าได้หยุดหลายต่อหลายครั้งระหว่างการเดินทาง
ในวันแรกนั้นมีฝูงแกะขนาดใหญ่ขวางถนนเอาไว้อยู่ กว่าจะเดินทางกันต่อได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งวัน ในวันต่อมาก็ต้องมาพบกับดินถล่มปิดเส้นทางเอาไว้
มีกองทรายจำนวนมากกองขวางถนนเอาไว้ เนื่องจากผู้ติดตามของจักรพรรดินีในครั้งนี้ไม่มีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุดินอยู่มากนัก พวกเขาจึงประสบปัญหาระหว่างการทำงานเป็นอย่างมาก จนทำให้ฟาร์มาต้องออกมาจัดการกับดินและทรายเสียเป็นส่วนใหญ่
ส่วนเมื่อวานนี้ก็พบกับหญิงชราที่มีไข้ขึ้นสูงจนอาจจะเสียชีวิตได้บนถนนเส้นตัดกับภูเขา
ฟาร์มาไม่มีทางเลือกนอกจากรักษาหญิงชราผู้นั้น
เธอป่วยเป็นโรคติดเชื้อ เขาจึงทำการรักษาเธอด้วยยาปฏิชีวนะและพาเธอไปส่งให้กับครอบครัวของเธอ ซึ่งกำลังออกตามหาเธออยู่ ก่อนที่จะทิ้งยาไว้สำหรับการรักษาไปอีกสองถึงสามวัน
และในคืนเดียวกันนั้นเอง คนขับรถม้าของจักรพรรดินีคนหนึ่งล้มป่วย ฟาร์มาจึงถูกเรียกตัวให้มาดูอาการ จากที่เขาเห็นชายคนนี้มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอดลักษณะอาการเกิดเฉียบพลัน เขาจึงใช้ยาละลายลิ่มเลือด เฮพารินที่มีน้ำหนักโมเลกุนต่ำเข้ามาช่วย ก่อนจะใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดและตัวกระตุ้นพลาสมิโนเจนจากเนื้อเยื่อจนสามารถฟื้นสติชายคนนั้นได้ ก่อนที่ฟาร์มจะมอบเฮพารินให้ชายคนนั้นเผื่อไว้และแนะนำเขาว่าอย่านั่งในท่าเดิมเป็นเวลานานแล้วหาโอกาสยืดเส้นยืดสายในระหว่างช่วงพักบ้าง
(วันนี้หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ)
ฟาร์มาคิดเช่นนั้นขณะนั่งอยู่ภายในรถม้าที่โยกเยกไปมา
แน่นอนว่าเขายังจำเป็นต้องดูแลคลาร่าที่นั่งรถม้าแยกมาอีกคันซึ่งกำลังอาเจียนออกมาเป็นพักๆ โดยระหว่างนั้นเขาก็ทำการฆ่าเวลาด้วยการอ่านรายงานของเหล่านักเรียนไปพลางๆ
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ที่จะส่งคทาแห่งเทพโอสถกลับไปที่ศาสนจักร….เพราะถึงพวกมันจะได้ไปก็ไม่สามารถใช้ได้เสียหน่อย”
จักรพรรดินีรู้สึกเบื่อหน่ายจึงเปิดหน้าต่างรถม้าออกแล้วพับด้ามจับพัดไปมาก่อนจะถามฟาร์มา ใช่แล้วตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับฟาร์มา
นั่นก็หมายความว่าฟาร์มาและจักรพรรดินีนั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกัน
ถึงเขาจะอยากขอแยกรถม้า แต่คำเชิญของเธอก็ถือเป็นคำขาดที่ยากจะปฏิเสธได้
“ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่จำเป็นจริงๆ มีเพียงคริสทัลอยู่ที่กับตัวคทาเท่านั้น”
“สรุปคือเจ้าจะคืนคทางั้นสินะ ไม่ใช่ว่านั่นเป็นคทาแห่งเทพโอสถเพียงหนึ่งเดียวหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นก็ตามที่กระหม่อมกล่าว กระหม่อมจะส่งคทาแห่งเทพโอสถคืนให้พวกเขา แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้านี่ก็ช่างคิดเหลือเกินนะ แล้วเจ้าจะกลับเลยหรือเปล่า แน่นอนว่าถ้าถูกจับตัวขึ้นมาก็ไม่ต้องกังวลหรอกนะ”
จักรพรรดินีชำเลืองมองไปที่คทาแห่งเทพโอสถ ซึ่งถูกเก็บไว้ในกล่องที่ถูกปิดสนิท ก่อนจะถอนหายใจ มันเป็นคทาที่จักรพรรดินีไม่สามารถใช้ได้ ถึงเธอจะเก็บมันไว้เอง มันก็เป็นแค่ของประดับเท่านั้น
“แต่ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีของที่ทำสำรองเอาไว้แล้ว แถมหากเก็บมันไว้กับตัวนานจะเกิดปัญหาทางการทูตเอาได้ กระหม่อมก็ต้องมาตกที่นังลำบากในภายหลังอีก”
“งั้นหรือ แปลว่านั่นคือคทาใหม่ที่เจ้าพูดถึงสินะ เราขอดูหน่อยสิ มันมีชื่อว่าอะไรหรือ”
ดูเหมือนจักรพรรดินีจะสังเกตว่าฟาร์มากำลังพกคทาอันใหม่ไว้กับตัวอยู่
จากที่เขาได้ยินมาจากเอเลน เธอบอกว่าชนชั้นสูงนั้นมักจะสังเกตคทาแห่งเทพของฝ่ายตรงข้าม เพื่อตัดสินว่าพวกเขาใช้ศาสตร์แห่งเทพประเภทใด และมีความสามารถมากน้อยขนาดไหน เดิมที่จักรพรรดินีก็ไม่ใช่คนจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรอยู่แล้ว เธอไม่น่าจะเป็นคนที่สนใจในคทาแห่งเทพที่ใครพกไปมาด้วยเลยแท้ๆ
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีช่างฝีมือที่ทำคทาแห่งเทพในจักรวรรดิสามารถสร้างของที่ดีกว่าคทาที่เธอใช้อยู่ตอนนี้ด้วยก็ได้ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปเพราะเธอสนใจคทาแห่งเทพที่ฟาร์มาทำขึ้นพิเศษเป็นอย่างมาก
ฟาร์มาก็มอบมันให้เธอดูโดยไม่คิดอะไร แถมไม่ว่าใครก็ยังสามารถถือคทานี้ได้ไม่เหมือนกับคทาแห่งเทพโอสถ
คทาเรียวยาวสีดำสนิท ที่มีความเงางามและเป็นสง่า
จักรพรรดินีก็รับมันไว้ในมือและจ้องมองมันอย่างตั้งใจ
(ชื่อของมันคือ คทาแห่งเทพโอสถมัลติคอร์เวอร์ชัน 2.0 ปี 1147 แบบดั้งเดิมรุ่นแรก)
เพราะรู้สึกอายที่ต้องพูดอะไรแบบนั้นออกมาเขาก็เลยไม่ได้บอกไปและเลือกคำตอบที่ปลอดภัยมากว่าแทน
“เป็นคทาแห่งเทพที่กระหม่อมสร้างขึ้นมาเอง แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้พ่ะย่ะค่ะ”
“คทาที่เจ้าทำเองหรือ?”
“มันเป็นคทาที่แห่งเทพที่สามารถรองรับศาสตร์แห่งเทพทั้งสี่ธาตุได้ไม่ว่าจะเชิงรุกหรือรับ แถมยังมีความทนทานและสามารถกักเก็บพลังแห่งเทพไว้ภายในได้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ จะบอกว่ามันเป็นคทาที่มีไว้ทำหน้าที่แทนคทาแห่งเทพโอสถก็ว่าได้”
“ดูเหมือนจะทำอะไรได้ไปเสียทุกอย่างเลยนะ แล้วเจ้าสามารถนำพลังจากคทาแห่งเทพโอสถมาใส่ในคทาใหม่นี้ได้เช่นไรกัน”
“กระหม่อมก็แค่อ้างอิงจากสิ่งที่คทาแห่งเทพโอสถทำได้ก็เท่านั้นเอง”
“ก็ตรงนั้นแหละที่เราอยากรู้ว่าเจ้าทำได้เช่นไร”
เขาไม่ได้บอกถึงความลับของมัน ก่อนจะหัวเราะให้แล้วพูดว่า “กระหม่อมก็ทดลองหลายๆ อย่างเอามาประสานกันเท่านั้นเอง”
นั่นคือคำอธิบายโดยละเอียดที่สุดที่เขาจะมอบให้ได้ “หลายๆ อย่าง”
ก่อนที่จะนำคทาส่งกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์มาได้ตรวจสอบคทาแห่งเทพแล้วพบว่าส่วนด้ามจับของตัวคทาแห่งเทพสามารถถอดประกอบได้ โดยตัวคทาแห่งเทพโอสถนั้นประกอบไปด้วยวัสดุหลายชิ้น และพอเขาลองถอดประกอบไปเรื่อยๆ จนถึงปลายคทาก็พบว่ามีหินคริสทัลสีใสที่มีการสลักมนตร์คล้ายกับแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อยู่ตรงกลางนั้น ดูเหมือนกลไกการทำงานที่แท้จริงของคทาแห่งเทพโอสถจะอยู่ตรงจุดนี้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ฟาร์มาจึงนำหินสลักวงจรออกมา ก่อนจะไปเอาคริสทัลที่บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แล้วนำไปติดตั้งภายในคทาแห่งเทพอันใหม่ของเขา และเพื่อลดความเด่นของคทา ฟาร์มาจึงไปขอให้ช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงออกแบบให้มันดูเรียบง่ายแต่ก็สง่างาม แตกต่างจากคทาแห่งเทพโอสถที่ลักษณะคล้ายกับผลึกแก้วแสนงดงามและโดดเด่นเป็นอย่างมาก ฟาร์มารู้สึกชอบมันเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ฟาร์มายังเก็บบัตรประจำตัวพนักงานของเขาเอาไว้ในพื้นที่ส่วนพิเศษของคทา ผลที่ได้ก็คือเขายังสามารถรักษาผลของการบินเอาไว้ได้เช่นเดิม
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการที่ให้ซาโลม่อนเปลี่ยนมันเป็นคทาแห่งเทพที่สมบูรณ์ด้วยการทำพิธีกรรม จนได้คทาที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ครบสี่ธาตุ และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ซาโลม่อนวิเคราะห์ว่าความพิเศษของตัวคทานี้น่าจะเกิดมาจากคริสทัลที่บรรจุความทรงจำของเหล่าคนตายเอาไว้ภายใน คนเหล่านี้เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพซึ่งความแตกต่างกันในธาตุที่ใช้ได้ นั่นหมายความว่าหากนำคริสทัลเหล่านี้มาใช้ก็จะทำให้คทาดังกล่าวเป็นไปตามที่คิดได้ ส่วนฟาร์มาที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องศาสตร์แห่งเทพมากนักก็ทำหน้าที่รวบรวมของที่ซาโลม่อนต้องการมาแทน
ผลที่ได้ก็คือคทาแห่งเทพแบบมัลติคอร์ที่มีคุณสมบัติของสมบัติลับทั้งสามเอาไว้ภายในนั้นด้วย นั่นก็คือการรวมกันของบัตรประจำตัวพนักงาน คทาแห่งเทพโอสถ และใบมีดที่จูเลียน่านำมา
พอฟาร์มาลองใช้ศาสตร์ลับแห่งเทพโอสถกับคทาอันใหม่ ก็พบว่ามันสามารถใช้ได้เหมือนกับคทาแห่งเทพโอสถ แน่นอนว่าธาตุทั้งสี่ก็ยังใช้ได้เช่นเดิม เช่นเดียวกับอาณาเขตชำระล้างโรคของเขา นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติของใบมีดที่สามารถดูดซับเอาพลังของเขาเข้าไปภายในได้เป็นอย่างดี นี่จะเป็นการจัดการปัญหาในส่วนที่ตัวเขาโปร่งแสงได้ และหากคอร์ของตัวคทาเป็นศูนย์กลางการทำงานของคทาแห่งเทพ ก็แปลว่าหากมีแกนนี้มากยิ่งขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
(ถ้าเราลองติดตั้งสมบัติลับอื่นๆ เข้ามาได้ด้วยละก็…)
เขาจำเป็นต้องสร้างสล็อตอีกเป็นจำนวนมากเพื่อให้เขาสามารถติดตั้งคอร์ชิ้นอื่นเข้าไปได้ด้วย และหากเขาสามารถรวบรวมสมบัติลับที่กระจัดกระจายอยู่ทั้งโลกรวมไปถึงที่ห้องปฏิบัติการ เขาก็น่าจะทำอะไรได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อคิดได้แบบนั้นฟาร์มาก็เริ่มได้แนวทางในการปรับปรุงคทาแห่งเทพ
เขาไม่ใช่คนที่จะรักษาของชิ้นเดิมให้อยู่ในสภาพเดียวไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว มุมมองของเขาที่มีต่อเครื่องมือคือจำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอ
“ฝ่าบาท กระหม่อมที่เรื่องจะทูลให้ทราบ”
ในจังหวะนั้นเองมหาดเล็กของจักรพรรดินีก็เข้ามารายงานที่ข้างรถม้า ด้วยความรู้สึกร้อนรน
“สะพานบนเส้นทางเกิดพังทลายพ่ะย่ะค่ะ…ทั้งที่เมื่อวานนี้ผู้คนยังใช้สัญจรกันได้อยู่แท้ๆ แต่อยู่ดีๆ มันก็เกิดพังขึ้นเมื่อครู่นี้เอง ดังนั้นพวกกระหม่อมจะรีบจัดหาเส้นทางใหม่ให้โดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกแล้วเหรอ”
“ฮ่าๆ เป็นไปตามที่เจ้าคิดเลยสินะ”
เส้นทางที่จักรพรรดินีจะเดินทางไปนั้น จำเป็นต้องได้รับการรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดเส้นทางโดยเหล่าข้ารับใช้ที่ไปตรวจสอบเส้นทางไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีอันตรายเกิดขึ้น ดังนั้นมหาดเล็กที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องความปลอดภัยจึงรู้สึกเหงื่อตกเมื่อได้รับรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้
แถมปัญหาที่งอกขึ้นมายังมีได้ทุกวันอีกต่างหาก
(เอาอีกแล้วเหรอ อุบัติเหตุมันไม่ควรจะเกิดขึ้นมาบ่อยๆ แบบนี้สิ)
ความล่าช้าที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกำหนดการที่เขาต้องไปพบกับปิอุส จึงทำให้ฟาร์มาเก็บงำความสงสัยถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไว้ในใจ
“ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทั้งที่มีกระหม่อมนำทางให้โดยภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้อย่ามีอะไรผิดพลาดแท้ๆ เจตจำนงของสวรรค์นั้นช่างลึกซึ้ง”
หัวหน้านักบวชคอมพ์ ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มก็มาขอโทษจักรพรรดินีสำหรับความล่าช้าในการเดินทาง
เขามองดูสีหน้าของจักรพรรดินี แต่ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้บูดบึ้งหรือโวยวายอะไรออกมา
“เช่นนี้เจ้าก็จงฝึกฝนและมีศรัทธาต่อเทพให้มากกว่านี้ก็แล้วกันบางทีตอนนี้มันอาจจะยังไม่พอก็ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คอมพ์ตกใจเมื่อจักรพรรดินีพูดคำเหล่านี้ออกมา พอเฝ้ามองในระยะใกล้เช่นนี้ ฟาร์มาก็คิดว่าทางศาสนจักรอาจจะทำอะไรอยู่ก็ได้
“กระหม่อมสงสัยพ่ะย่ะค่ะ ว่าทำไมสะพานถึงพังลงมาเช่นนี้ บางทีมันอาจจะถูกใครทำลายไป หรือว่าความแข็งแรงของมันจะมีปัญหาแต่แรกแล้วนะ”
หลังจากที่คอมพ์ออกไปฟาร์มาก็เริ่มวิเคราะห์
“ไม่มีทางหรอกค่ะ ฝนก็ไม่ได้ตกด้วย….แถมสะพานก็มีความสำคัญต่อผู้คนและชีวิต จึงยากที่จะจินตนาการว่ามันขาดการซ่อมแซมและตรวจสอบไปได้ ยิ่งกับเส้นทางเช่นนี้”
จูเลียน่าที่รู้ดีถึงลักษณะของสะพานซึ่งเป็นเส้นทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ก็แสดงใบหน้าที่เคร่งขรึมออกมา
ทันใดนั้น รถม้าก็หยุดลง และคลาร่าก็เดินมาจากรถม้าคันถัดไปจากเขาและพูดคำด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
“แบบนี้…มันหายนะเกินคาดแล้วสิ”
“เกินคาดเหรอครับ คุณคลาร่าไม่รู้มาก่อนว่ารถม้าจะต้องหยุดเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้เหรอครับ?”
คลาร่าส่ายหัวไปมาราวกับเธอรู้ว่าฟาร์มาสงสัยในสิ่งที่เธอพูด แม้เธอจะเดินทางมาด้วยแต่อัตราการเกิดอุบัติเหตุกลับสูงเกินคาด
(หรือว่าเธอจะไม่สามารถทำนายภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้กันนะ?)
หากคำทำนายของเธอนั้นผิดพลาดและเธอพลาดเรื่องที่อันตรายไป การจะพาเธอไปยังทวีปใหม่ในฐานะคนนำทางก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลนัก เรื่องนี่ก็อาจจะเป็นเพราะฟาร์มาที่เป็นคนเปิดชีพจรแห่งเทพให้กับเธออย่างรุนแรง จนเขาคิดว่าหรือบางทีตนน่าจะปิดความสามารถที่ล่วงรู้อนาคตของเธอไปดี?
ขณะที่ฟาร์มากำลังทบทวนเรื่องเหล่านี้ คำพูดของคลาร่าก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง
“ฉันสามารถเห็นอุบัติเหตุและภัยพิบัติที่เกิดจากภัยธรรมชาติและชะตากรรมของผู้คนได้อย่างแม่นยำค่ะ….แต่ถ้าไม่ใช่ที่ว่ามา…..มองไม่เห็น”
“จะบอกว่าคุณไม่สามารถเห็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นมาสินะครับ”
แบบนี้เองสินะ ฟาร์มาเริ่มเข้าใจถึงหลักการ นี่สินะการมองอะไรมุมเดียวก็มักจะชวนให้เข้าใจผิดได้ นั่นก็หมายความว่าพลังของเธอมีประโยชน์ในการแยกระหว่างที่สิ่งที่มนุษย์กับธรรมชาติก่อขึ้น แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนการเสียเวลาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ฟาร์มาที่คิดได้แบบนั้นก็ออกไปถามกับคนขับรถม้า
“เราจำเป็นต้องอ้อมภูเขาลูกอื่นใช่ไหมครับ”
“ครับ คงจะต้องใช้เส้นทางอื่นอ้อมไปแทน เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนเส้นทางที่รถม้าจะไป ขอให้ท่านลงจากหลังรถม้ามาก่อนนะครับ”
ฟาร์มาต้องการไปที่นครศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วที่สุด จากนั้นก็กลับไปที่ร้านขายยาและมหาวิทยาลัย หากกำหนดการล่าช้า สมาชิกในครอบครัวและพนักงานที่ร้านขายยาจะต้องกังวล แถมเขาต้องยกเลิกคลาสการบรรยายในมหาวิทยาลัยด้วยมันไม่ควรจะมาเสียเวลาอะไรแบบนี้เลย
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเส้นทางนี้เอง ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางครับ”
ฟาร์มาลงจากรถม้าและหันหน้าไปทางหน้าผาที่มีหุบเขาสุดลึกอยู่ข้างใต้
เขาทิ้งตัวลงไปในหุบเหวโดยไม่ลังเล ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเขาตกลงไปข้างล่าง แต่มันกลับเป็นภาพที่เขากำลังยืนเหยียบอากาศราวกับเป็นทางเดิน ก่อนจะมีสะพานน้ำแข็งอันสวยงามก่อตัวขึ้น และทุกครั้งที่เขาก้าวเดินไปมันก็จะมีสะพานถูกสร้างขึ้นทอดยาวไปจนถึงอีกฝั่ง ท้ายที่สุดสะพานน้ำแข็งสำหรับข้ามฟากก็ถูกสร้างจนเสร็จ
จักรพรรดินีที่เปิดหน้าต่างรถม้าเพื่อดูว่าฟาร์มากำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็เริ่มหัวเราะ
“ช่างเป็นศาสตร์แห่งเทพที่สุดยอดเสียจริง…วิเศษมากศาสตร์แห่งเทพที่ถูกถักทอออกมาโดยไม่ต้องร่ายมนตร์ใดๆ ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพไร้ธาตุ ที่ไม่จำเป็นต้องมีบทร่ายใดๆ แทบจะจินตนาการไม่ออกจนได้มาเห็นนี่แหละ”
สิ่งที่ฟาร์มากำลังทำอยู่ห่างไกลจากสามัญสำนึกของศาสตร์แห่งเทพโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ซาโลม่อนและจูเลียน่าก็แสดงท่าทีตกใจเช่นกัน
หัวหน้านักบวชคอมพ์ที่ติดตามเขาจากเมืองหลวง นักบวชและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่มาด้วยกันก็ต่างขยี้ตาและพูดอะไรไม่ออก ลักษณะของมนตร์ที่คทาปลดปล่อยออกมานั้น มันเป็นศาสตร์แห่งเทพในอดีตที่สูญหายไปแล้ว
ฟาร์มาซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการสร้างสะพานก็ไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาของพวกเขาด้วยซ้ำ และยังส่งยิ้มให้พวกเขาอยู่อีกฝั่งของสะพานน้ำแข็งที่เขาทำเสร็จแล้ว
“เสร็จแล้วครับ แต่รถม้าอาจจะลื่นก็ได้ เดี๋ยวไปหาทรายมาโรยกันก่อนก็น่าจะดีนะครับ”
“ความแข็งแรงเป็นยังไงบ้างรับน้ำหนักได้ไหม?”
“ถ้าม้ายังผ่านไปได้ คนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกครับ”
ตามที่ฟาร์มาแนะนำ ซาโลม่อนและคนอื่นๆ ที่ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุดินได้ ก็ทำการนำทรายมาเกลี่ยให้เป็นชั้นๆ
หลังจากยืนยันความแข็งแรงโดยรถม้าหนึ่งคนให้ข้ามสะพานไปแล้ว รถม้าอีกหลายคันและเหล่าทหารก็เดินข้ามสะพานกันต่อไปโดยไม่ยากเย็นนัก แม้จะมีฝั่งของคนเดินเท้าที่มีอาการกระตุกระหว่างเดินเนื่องจากความกลัวว่าตัวเองอาจจะตกลงไปข้างล่างได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อข้ามถึงอีกฝั่ง
“ในเมื่อทุกคนข้ามกันมาหมดแล้ว เดี๋ยวผมจะทำลายสะพานนี้ทิ้งก่อนนะครับ มันคงจะอันตรายได้หากมีใครข้ามมาแล้วน้ำแข็งเกิดละลาย”
ฟาร์มาหมายจะลบสะพานน้ำแข็งหลังจากส่งเชือกไปเชื่อมยังฝั่งตรงข้ามเสร็จ เพื่อให้ช่างฝีมือสร้างสะพานใหม่ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฟาร์มาจะทันได้ลงมือ เปลวไฟที่ยิงมาจากด้านหลังได้หลอมละลายสะพานน้ำแข็งจนหายไปในพริบตา
พอฟาร์มาหันกลับไปหาผู้ที่ปล่อยเพลิงขนาดยักษ์ที่ทำลายสะพานน้ำแข็งดังกล่าว
ก็พบว่ามันเป็นฝีมือของจักรพรรดินี โดยหลักฐานก็คือเธอยืนพาดคทาของตัวเองเอาไว้บนไหล่
“ฝ่าบาท เยี่ยมยอดมากพ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของพระองค์แล้ว กระหม่อมคงจะต้องลำบากเป็นแน่”
ฟาร์มาที่ชมจักรพรรดินีเสร็จ เธอก็กระแอมแล้วเหวี่ยงคทาของเธอไปมาก่อนที่จะเสียบกลับไปที่เอวของเธอ
“เฮ้อ ชักเบื่อแล้วสิ เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรมาขวางทางเราอีก เดี๋ยวเราจะใช้ไฟนี้แผดเผามันให้หมดเอง”
ขณะที่พูด เธอก็หันไปมองยังกลุ่มคนของศาสนจักรด้วยสายตาที่เฉียบคมก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
นักบวชที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าปั้นยาก แล้วพูดทำนองว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”
บางทีอาจจะเป็นเพราะจักรพรรดินีทำแบบนั้นไป นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการเดินทางก็ไม่ได้พบกับอุบัติเหตุที่น่าสงสัยใดๆ อีกเลย และมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ตามกำหนดการ
“ในที่สุด..เราจะเข้าสู่นครศักดิ์สิทธิ์แล้วนะครับ”
คนขับรถม้าบอกฟาร์มาและคนอื่นๆ ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทิวทัศน์ของนครศักดิ์สิทธิ์ทำออกมาต้อนรับอย่างเป็นทางการจากทางเข้าด้านหน้านั้นงดงามมาก รูปลักษณ์ที่สง่างามของอาคารทางศาสนาขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ติดข้างกัน หลังคาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภาพนครศักดิ์สิทธิ์สีเงินสีขาวแสนลึกลับรวมเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำแข็งและหิมะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในขณะที่ผู้คนมากมายที่ร่วมเดินทางไปกับเขาถูกกระตุ้นด้วยความอลังการของนครศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์มากลับดูไม่ประทับใจเลย
(แย่แล้วสิ….พื้นพวกนี้ต้องส่องแสงออกมาแน่ๆ เลย ไม่ชอบเลย)
ขณะที่เขากำลังกังวลถึงเรื่องนี้ พอฟาร์มาลงมาจากรถม้าและก้าวเข้าสู่นครศักดิ์สิทธิ์มันก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ สิ่งที่สร้างทั้งหมดตอบสนองต่อพลังแห่งเทพของฟาร์มาและเปล่งแสงอ่อนๆ ออกมา
เหล่าข้ารับใช้ของจักรพรรดินีที่เห็นแบบนั้นก็เดากันว่าอาจจะเป็นสลักมนตร์ที่ถูกติดตั้งไว้เปิดใช้งาน ต่างก็พร้อมใจกันนำคทาของตนออกมา
และเนื่องจากคนของทางจักรวรรดินำคทาแห่งเทพออกมา เหล่าครูเซเดอร์ของนครศักดิ์สิทธิ์ก็เลยชักคทาของตนออกมาเช่นเดียวกัน
ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็โบกมือขอโทษ
“มันไม่ใช่มนตร์สลักหรอกครับ ไม่จำเป็นต้องระวังกันขนาดนั้นก็ได้ครับ ลดคทากันเถอะ”
“งั้นแสงพวกนี้คืออะไรกัน เป็นเพราะเจ้างั้นหรือ?”
จักรพรรดินีพูดออกมาเมื่อเห็นปรากฏการณ์ที่ดูเป็นไปไม่ได้นี้ “ก็น่าจะแบบนั้นพ่ะย่ะค่ะ…” ฟาร์มายอมรับเสียงอ่อย จักรพรรดินีก็พูดอะไรไม่ออกขณะจ้องฟาร์มาที่แสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
พวกนักบวชของทางศาสนจักรก็ดูเหมือนจะประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิหาร แต่ส่วนมากก็แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ บางทีพวกเขาน่าจะได้รับการนัดแนะล่วงหน้าแล้ว
ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ ก็มีกลุ่มนักบวชระดับสูงเดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้ามถนน
ชายคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะอันโดดเด่น เขาสวมชุดคลุมสีขาวหรูหราและถือคทาสีทอง มายืนอยู่ตรงหน้าจักรพรรดินีและทำท่าสวดมนต์อวยพรให้กับเธอที่เดินทางมาไกล ฟาร์มาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แสนผิดปกติจากชายผู้นี้ เขาดูเป็นคนที่ลึกลับอย่างมาก
“เอลิซาเบทที่สอง ฝ่าบาทก็เดินทางมาไกลมากแล้ว ทางเราได้เตรียมที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คงจะดีไม่น้อยหากพวกท่านได้พักผ่อนให้คลายความเหนื่อยล้าสักระยะหนึ่ง ไว้หลังจากนั้นเราค่อยมาเริ่มพิธีต้อนรับและงานเลี้ยงจากนั้นเถิด”
“ที่แท้ก็ท่านสันตะปาปาปิอุส เป็นอย่างไรบ้าง เจอครั้งล่าสุดก็เป็นตอนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสินะ เป็นเกียรติที่ได้พบกันอีก”
จักรพรรดินีทักทายตามมารยาท เป็นครั้งแรกที่ฟาร์มาเห็นจักรพรรดินีคำนับให้กับใครบางคน แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงพิธีการก็ตาม
แม้แต่จักรพรรดินีผู้ทำตัวเหมือนเป็นจ้าวโลก ก็ดูเหมือนจะมีคนที่เธอต้องยอมถอยให้
ฟาร์มาสงสัยว่าปิอุสซึ่งเป็นผู้มอบมงกุฎของจักรพรรดิให้กับจักรพรรดินีนั้น เป็นนักบวชที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาชนชั้นสูงที่ควบคุมศาสตร์แห่งเทพเอาไว้หรือไม่หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเขามีตำแหน่งที่สูงกว่าจักรพรรดินีเป็นแน่
หลังจากพักผ่อนอยู่หลายชั่วโมง จักรพรรดินีก็ได้สวมชุดพิธีการ ส่วนฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็อาบน้ำและเตรียมตัวให้พร้อม
ที่ชายแดนของนครศักดิ์สิทธิ์ นักบวชยกธงของนครศักดิ์สิทธิ์และธงของจักรวรรดิ ไว้ตามริมถนน มีวงดนตรีได้จัดขบวนพาเหรดต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ และจักรพรรดินีก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมิตรในฐานะอาคันตุกะ
งานต้อนรับและพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นที่จัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางมหาวิหาร จักรพรรดินีกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับการเยือนของเธอต่อนักบวชของนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งปิอุสก็ตอบรับและปรบมือให้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธี พวกเขาจับมือกันและแลกเปลี่ยนของที่ระลึก
มองผิวเผินดูเหมือนเป็นการทูตอย่างสันติระหว่างมิตรประเทศทั้งสอง
หลังจากพิธีกรรมอันยาวนานสิ้นสุดลง ฟาร์มาซึ่งต้องอยู่เคียงข้างจักรพรรดินีในฐานะแพทย์โอสถหลวงส่วนตัวก็รู้สึกหมดแรง
จูเลียน่าและซาโลม่อนที่ปลอมตัวอย่างแนบเนียนก็ไม่ถูกคนของศาสนจักรจับได้
จากนั้นเขาถูกเชิญให้ไปพิธีศีลระลึกที่ทางศาสนจักรเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเวลาในตอนนี้ก็เป็นช่วงดึกแล้ว
เนื่องจากเป็นงานเฉลิมฉลองทางศาสนา จักรพรรดินีจึงแต่งชุดเป็นชุดสีขาวบริสุทธิ์และมงกุฎจักรพรรดิสีเงิน และเพราะเป็นงานเช่นนี้บรรยากาศจึงมีความเคร่งในพิธีพอสมควร
“อืม อาหารอุ่นพร้อมแล้ว”
จักรพรรดินีเหมือนจะประสบปัญหากับสิ่งที่เจอ
ปีอุสก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะเพลิดเพลินอยู่กับไวน์
“ข้าสงสัยมาตลอดจริงๆ ว่า ฝ่าบาทมักจะเสวยอาหารเย็นๆ อยู่เสมอเลยหรือ”
“ก็เพราะการทดสอบพิษที่ต้องใช้เวลาน่ะสิ แต่เพราะแบบนั้นมันก็ทำให้เรามีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้เหมือนกัน พอเจออาหารอุ่นๆ แบบนี้เราก็รู้สึกแปลกใจน่ะ”
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก แน่นอนว่าฝ่าบาทก็คงจะมีเหตุผลที่ดีที่จะสงสัยพวกเรา จะให้ทางนักทดสอบพิษ ร่ายมนตร์ตรวจสอบก่อนก็ได้นะ”
ขณะที่ปิอุสพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ นักทดสอบพิษก็เข้ามาวิเคราะห์โดยใช้ศาสตร์แห่งเทพและชิมมันดู เมื่อรับประกันว่าไม่มีพิษอยู่ภายในนั้น ในที่สุดทั้งปิอุสและจักรพรรดินีก็เริ่มทานอาหาร จากนั้นคนที่เหลือถึงเริ่มเทน้ำใส่ในแก้วและทานอาหารกันบ้าง
จะมีก็แต่ทางฟาร์มาที่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มทานอาหาร ถึงมันจะดูเหมือนไม่แตกต่างจากมื้ออาหารทั่วไป…
(ไหงมีแต่เราคนเดียวที่ถูกเสิร์ฟของแบบนี้ล่ะ…)
ในใจของฟาร์มากำลังสับสนว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี สิ่งที่ถูกใส่เข้ามานั้นมันไม่ใช่พิษร้ายแรง แต่เป็นสารสกัดจากสมุนไพรแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาของโลกนี้ซึ่งมีฤทธิ์กล่อมประสาท นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของยานอนหลับด้วย
ตอนนี้ฟาร์มาจึงทำได้เพียงลบส่วนประกอบที่เป็นปัญหาออกไป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไงร่างกายของเขาก็มีภูมิต้านทานต่อสารพิษอยู่แล้ว ดังนั้นถึงจะมียาพิษกองอยู่เต็มจานของเขาก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร งานนี้ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่า
(ก็ไม่รู้หรอกนะว่าต้องการอะไร แต่ตั้งใจจะใช้พิษนี่มอมเราจริงเหรอเขาอยากจะได้ข้อมูลอะไรจากเรากันนะ ไม่สิบางทีอาจจะทดสอบเราโดยใช้พิษเล็กน้อยพวกนี้ก็ได้)
ที่ฟาร์มาจะสื่อก็คือบนโลกนี้มันไม่น่าจะมีสิ่งที่เรียกว่ายาพูดความจริงได้
แต่ไม่ว่าจะแบบไหน ฟาร์มาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมาจากหลายทิศทาง เขาจึงได้นำอาหารที่ “ปราศจากพิษ” เข้าปากไปโดยไม่บ่นอะไรเป็นพิเศษ
“ท่านเทพโอสถครับ ช่วงนี้หัวใจของข้าเต้นแรงมาก เลยสงสัยว่าจะมีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า”
นักบวชหนุ่มขี้เมามาขอคำปรึกษาด้านสุขภาพจากฟาร์มา ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างเหมาะสม
“ดูเหมือนคุณจะดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปนะครับ แบบนี้อาจจะทำให้ตับทรมานเอาได้ ผมแนะนำว่าควรหยุดดื่มก่อนนะครับ หากต้องการเดี๋ยวผมให้ยาไปด้วยก็ได้”
“อย่างนั้นเหรอครับ! ขอบคุณมากครับ ขอบคุณ”
ทางฝั่งคาร์ดินัลกลับไม่แม้แต่จะเข้าไปใกล้ฟาร์มา แต่ทางนักบวชระดับต่ำหรือที่ไม่ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของศาสนจักรกับฟาร์มา ก็เข้าไปพูดคุยกับเขาอย่างไร้เดียงสาในช่วงพักดื่มชาหลังรับประทานอาหารกันเสร็จ
ตราบใดที่รูปลักษณ์ของงานเลี้ยงทางการทูตยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ฟาร์มาจะยังคงรักษาตำแหน่งหัวหน้าแพทย์โอสถส่วนตัวของจักรพรรดินีต่อไปได้ ระหว่างอาหารค่ำ ปิอุสและจักรพรรดินีก็ยืนยันจุดยืนที่เป็นมิตรของทั้งสองประเทศไปแล้ว
ในช่วงกลางของการประชุม ทั้งสองประเทศไม่ได้พูดถึงเรื่องราวของ จูเลียน่าหรือเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่ศาสนจักรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฟาร์มา จักรพรรดินีมีท่าทีสงบตลอดการประชุม ฟาร์มาคิดว่าจักรพรรดินีมีความสามารถในการเจรจาต่อรองซึ่งต่างจากอดีต ที่ในมือหนึ่งจับมืออีกฝ่ายไว้ ส่วนอีกมือกำลังถือคทาไว้อยู่
ตราบใดที่ทางศาสนจักรยังพยายามหาทางออกที่เหมาะสมก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ก็ได้เวลาเข้านอน
คอมพ์หัวหน้านักบวชของเมืองหลวงจักรวรรดิได้มาทักทายจักรพรรดินี หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปใกล้ฟาร์มาเช่นกัน
“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากในการเดินทางไกลนะครับ งานวันนี้ของผมจบลงแล้ว ดังนั้นหากต้องการอะไรโปรดเรียกเหล่านักบวชระดับล่างได้ทุกเวลา แม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนก็ตาม”
“ขอบคุณครับ”
ฟาร์มาขอบคุณเขาอย่างจริงใจ จากนั้นคอมพ์ก็กล่าวตัดบทไปอีกเรื่อง
“จะเป็นอะไรไหมหากจะขอให้ท่านเข้าพบกับพระสันตะปาปาปิอุสในตอนพรุ่งนี้เช้า”
“ได้สิครับ แต่กว่าผมจะได้เข้านอนก็คงดึกแล้ว หากเป็นตอนบ่ายจะเหมาะกว่าไหมครับ”
“ขอเป็นช่วงเช้าจะดีกว่าครับ”
ฟาร์มาเข้าใจทันทีว่านั่นอาจจะเป็นเวลาที่ “ยาพูดความจริง” เสิร์ฟระหว่างมื้ออาหารควรจะออกฤทธิ์ แต่ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนเช่นนั้น ฟาร์มาก็ยังยอมเล่นไปตามเกม
(ปิอุสอาจจะอยากให้เราพูดอะไรบางอย่างออกมาก็ได้)
“เอาล่ะ งั้นก็ไปนอนกันเถอะ ฟาร์มาเข้าห้องนอนกันได้แล้ว”
หลังจากที่คอมพ์ออกไป จักรพรรดินีก็ดึงมือฟาร์มา เป็นไปได้ไหมว่า…เขาต้องไปนอนอยู่ห้องเดียวกับจักรพรรดินี ฟาร์มาชักสงสัย
ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะปฏิเสธด้วยความเคารพไป
“คือกระหม่อมมีห้องที่ถูกเตรียมไว้ให้แล้ว เดี๋ยวกระหม่อมจะไปนอนที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรออกมา รู้ใช่ไหมว่าเจ้าไม่ควรใช้เวลาอยู่คนเดียวเป็นอันขาดในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”
“แต่พวกเราก็มาพร้อมกับเหล่าอัศวินที่คอยคุ้มครองอยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าเราไม่ควรเป็นกังวลขนาดนั้น”
แม้ฟาร์มาจะมองว่าพวกเขาคงไม่น่าจะพึ่งได้มากนัก จักรพรรดินีก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะสบตากับฟาร์มาแล้ว พูดห้ามปรามเขา
“เจ้าเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่เหนือมนุษย์และพลังแห่งเทพที่เจ้ามีก็ไกลไปจากมนุษย์ธรรมดามาก แน่นอนว่าไม่มีใครเอาชนะเจ้าได้ในการเผชิญหน้าแบบตรงๆ แต่หากเจ้าโดนลอบทำร้ายหรือผนึกความสามารถเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีอะไรปกป้องเจ้าได้นะ”
(ถ้ามองอย่างเป็นกลางก็ใช่แหละนะ…มันคงอันตรายหากพิษก่อนหน้านี้ยังทำงานอยู่ เราก็ระวังไว้บ้างน่าจะดี แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ไม่อยากจะไปนอนกับเธอเลยจริงๆ อยากจะขอรับไว้แค่ความรู้สึกชะมัด)
“แล้วหากเป็นการต่อสู้ด้วยศาสตร์แห่งเทพจริงๆ ละก็ เราน่ะไร้เทียมทาน”
จักรพรรดินีแสดงความมั่นใจออกมาก่อนจะขยิบตาให้เขา
จากมุมของฟาร์มา ดูเหมือนเธอต้องการจะได้รับคำชมในเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้า เขาก็เลยต้องพูดไปตามน้ำ “ถ้าเป็นตามที่ฝ่าบาทกล่าว….กระหม่อมก็คงต้องทำตาม..”
(หากฝ่ายตรงข้ามก็รู้ว่าจะเป็นแบบนั้น เราก็ไม่คิดหรอกนะว่าพวกเขาจะเข้ามาสู่กันแบบตรงๆ …)
อันที่จริงแล้ว ห้องที่จักรพรรดินีกับฟาร์มาจะนอนด้วยกันนั้นทั้งซาโลม่อนและจูเลียน่าได้เตรียมสลักมนตร์เอาไว้สำหรับป้องกันอาชญากรรม อีกทั้งยังมีมนตร์ผนึกศาสตร์แห่งเทพเอาไว้ระหว่างงานเลี้ยงอาหารเรียบร้อยแล้ว
“ศาสตร์แห่งเทพที่จะป้องกันผู้บุกรุกที่เข้ามาภายในห้อง ส่วนนี่ก็เป็นสลักมนตร์ที่จะทำลายคทาของผู้ใช้ทันทีที่เขาร่ายมนตร์ค่ะ”
“ถ้ายกตรงนี้ขึ้นมา สัญญาณก็จะดังขึ้นนะคะ”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
จูเลียน่าบอกเขา ซึ่งของเหล่านี้น่าจะช่วยซื้อเวลาได้มาก
จักรพรรดินีหาวและเรียกสาวใช้มาเปลี่ยนชุดนอน ฟาร์มาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวเข้านอนเช่นกัน จากนั้นจักรพรรดินีก็ผลักฟาร์มาลงบนเตียงราวกับว่าเธอกำลังต้องการหมอนข้าง และกอดเขาไว้แน่น
ตกดึก จักรพรรดินีก็ละเมอพูดอย่างเช่น “เจ้าเป็นของเราคนเดียว” ไม่ก็ “เจ้านี่หยาบคายเสียจริง” ฟาร์มาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างจักรพรรดินีซึ่งนอนกอดเขาอยู่ สงสัยจริงๆ ว่า”เธอเข้าใจผิดว่าเราเป็นใครกันนะ?”
ราตรีนี้ได้ผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจจะเป็นเพราะมีจักรพรรดินีตัวติดอยู่กับเขาในระยะห่างที่แทบจะเป็นศูนย์เลยทำให้รอดพ้นการลอบโจมตีกลางดึกไปได้
ฟาร์มาจึงรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะระวังตัวมากเกินไปก็ได้
แต่พอเปิดประตูห้องนอนออกไป ก็พบว่าตัวสัญญาณที่บอกว่ามีคนอื่นที่ไม่ใช่คนรับใช้ของจักรพรรดินีเข้ามาในตอนกลางคืนเตือนขึ้น เลยทำให้รู้ว่าที่เขาระวังตัวนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ ทำไมเราไม่ไปฝึกศาสตร์แห่งเทพกันก่อนอาหารเช้าล่ะ? ศาสตร์แห่งเทพของเจ้าจะได้ถูกขัดเกลาด้วย”
ฟาร์มาที่ตื่นมาในตอนเช้า ก็พบว่าจักรพรรดินีก็ตื่นแล้วเช่นกัน แต่ฟาร์มาก็ปฏิเสธการฝึกนั้นไป แล้วขอเปลี่ยนไปเป็นเดินเล่นแทน ขณะที่เขากำลังเดินเล่นอยู่ภายในสวนกับจักรพรรดินีที่มีเหล่าข้ารับใช้เดินตามมาเป็นจำนวนมาก คลาร่าก็วิ่งข้ามสวนเข้ามาหาพวกเขา
ด้วยสภาพร่างกายที่มีความดันโลหิตต่ำ สภาพของเธอควรจะเหมือนกับศพเดินได้ในช่วงเช้า แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นใบหน้าอันแดงก่ำต่างจากปกติ
“ท่านแพทย์โอสถถถถถถถถ แอ๊ก!”
เธอล้มลงจนเอาหัวจุ่มไปในหิมะ จนฟาร์มาเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้กระโปรงที่ฉูดฉาดของเธอ ใบหน้าของคลาร่าแดงก่ำมากกว่าเดิม ก่อนจะรีบจัดท่าทางของเธอที่ล้มลงบนหิมะ ชุดชั้นในของเธอเป็นลายสีขาว เหล่าข้ารับใช้ที่เห็นก็รู้สึกไม่สบายใจแล้วหันหน้าหนีกันไป พอรู้สึกอายได้ไม่กี่วินาที คลาร่าก็รีบกระโดดตัวขึ้นมา
“วันนี้ ฉันฝันว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับท่านแพทย์โอสถค่ะ!”
“อรุณสวัสดิ์ คุณคลาร่า ตอนนี้ก็ใจเย็นๆ แล้วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนนะครับ”
“ฮึบ เฮ้ออออ …รู้สึกหนาว จนปากแข็งไปหมดแล้วค่ะ”
คลาร่าหลับตาแน่นและสวมฮู้ดกลับเข้าไปใหม่ ท่าทางที่เธอทำอยู่นั้นเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ เลย
“จะบอกว่าวันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดของผมในการเดินทางครั้งนี้หรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ จะทำยังไงดีคะ ดูเหมือนจะไม่มีทางเลี่ยงที่ดีเลย”
“งั้นก็แปลว่า ผมสามารถทำอะไรตามปกติต่อไปได้สินะครับ เพราะไม่ว่าจะอยู่ข้างในหรือนอกห้องก็น่าจะมีอันตรายไม่ต่างกัน…ขอบคุณที่มาเตือนนะครับ”
(วันนี้ถึงคราววิกฤตแล้วสินะ…เราจะเจอกับอะไรกันนะ)
ฟาร์มาตกอยู่ในห้วงความคิด
จักรพรรดินียังทำหน้าบูดบึ้งและบีบมือของฟาร์มา เธอดูเหมือนจะต้องการบอกเขาว่าอย่าทิ้งเธอไปไหนนะ
พอกลับเข้าไปที่มหาวิหาร พวกเขาก็รับประทานอาหารเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นจานของจักรพรรดินี ผู้ติดตามหรือกระทั่งฟาร์มาก็ไม่มีติดปะปนมาเหมือนเมื่อคืนแล้ว
หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็ถึงช่วงเวลาพัก ฟาร์มาและจักรพรรดินีได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมลับที่ปิอุสจัดขึ้น เหล่านักบวชระดับล่างไม่มีทางทราบได้เลยว่ามันถูกจัดขึ้นที่ไหน
คาร์ดินัลที่มีสถานะสูงสุดมารับฟาร์มาและคนอื่นๆ เข้าร่วมประชุมด้วยซึ่งประกอบไปด้วยจักรพรรดินี ฟาร์มา ชนชั้นสูงอีกหลายคน และอัศวินหลายนายที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน ในหมู่พวกเขา ซาโลม่อนก็ปลอมตัวและแอบเข้ามาด้วย
ฟาร์มาปลดปล่อยผนึกที่ติดอยู่กับสัญลักษณ์เทพโอสถซึ่งอยู่บนแขนทั้งสองข้าง
เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น พอผนึกถูกคลายออก เงาของเขาก็จะหายไปและร่างของเขาก็เริ่มโปร่งแสง จนทำให้เขาอดกังวลเรื่องต่างๆ นานาที่จะตามมาไม่ได้
“ได้เวลาแล้วครับ พวกเราจะนำทางท่านไปยังอีกสถานที่หนึ่งในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ โชคไม่ดีที่สถานที่ดังกล่าวอยู่ชั้นใต้ดิน แต่ก็ขอความกรุณาให้ตามกันมาด้วยนะครับ”
“พระสันตะปาปารออยู่ที่ใต้ผืนพิภพงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่ขึ้นมาคุยกันบนนี้แทนเล่า?”
เมื่อจักรพรรดินีถามด้วยความระแวง “คงไม่ใช่สถานที่อันตรายหรอกใช่ไหม” ก่อนจะเปิดประตูบานใหญ่ที่นำพาไปสู่ชั้นใต้ดินอันแสนมืดมิด
ฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็ก้าวเข้าไปในส่วนลึกของชั้นใต้ดินของมหาวิหารที่แสนลึกลับ
(เราต้องถ่ายภาพไว้)
ฟาร์มาหยิบสมาร์ตโฟนออกมาและถ่ายรูปประตูที่สวยงามนี้เพื่อบันทึกไว้
ในตอนนั้นเอง ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจจนเขาอยากจะกรีดร้องออกมาในทันที
นั่นก็เพราะสมาร์ตโฟนของเขาเชื่อมเข้ากับสัญญาณไวไฟอ่อนๆ ติด
———-
Note 1 : ตายละผมก็ว่าแปลกๆตอนอ่านๆว่ามันโดดมานี่เลยเหรอ ผมกดข้ามไปตอนหนึ่ง // กราบ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code