Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 93

ตอนที่ 93 การเตรียมยาอายุวัฒนะและความลับของตระกูลเดอ เมดิซิส

 

“เอาละทีนี้ก็ต้องไปหาวัตถุดิบสำหรับทำยาอายุวัฒนะ ไปที่เก็บยากันเถอะ”

 

 

บลานช์ถูกไล่ออกจากห้องพักของลอตเต้แล้ว ส่วนปาลเล่ก็หอบตำราต้องห้ามไว้ในมือข้างหนึ่ง

 

เอเลนเหมือนจะรู้สึกกังวลหลังจากได้ยินเสียงเข้ามาภายในห้องเป็นระยะเช่น “ท่านปาลเล่เปิดประตูเถอะ!” “กรุณานำตำราต้องห้ามคืนมาเถอะค่ะ ไม่งั้นฉันจะถูกคุณท่านดุเอาแน่ค่ะ” และอื่นๆ อีกมากมาย

 

 

“ดูเหมือนข้ารับใช้ของตระกูลเดอ เมดิซิสจะรวมตัวกันข้างนอกเยอะเลยนะ เราจะผ่านคนพวกนั้นไปที่เก็บยากันไหวเหรอ”

 

“ไม่เห็นต้องห่วงเลย ฉันออกจากที่นี่ได้ก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ อัจฉริยะเกินไปก็เป็นปัญหาได้แฮะ”

 

 

ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่มุมหนึ่งของห้องพัก ก่อนจะวางมือลงไปที่กำแพงแล้วร่ายอะไรบางอย่าง

 

 

จากนั้นวงเวทก็ปรากฏขึ้นบนผนังแล้วกลายเป็นช่องทางเดินไปยังห้องถัดไป

 

 

 

“ประตูลับเหรอ!?”

 

“ห้องของเราทั้งหมดเชื่อมต่อกับทางลับไว้เพื่อป้องกันการก่อจลาจลของผู้บุกรุกและเหล่าข้ารับใช้ แถมหากต้องการออกไปข้างนอกก็สามารถใช้ทางนี้ได้สบาย”

 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะคฤหาสน์ตระกูลบอนฟัวที่มีความเก่าแก่น้อยกว่าตระกูลปาลเล่นั้นไม่มีของอะไรแบบนี้อยู่

 

หากมองดูจากภายนอกก็น่าจะพอทราบได้ว่าตระกูลเดอ เมดิซิสนั้นเป็นคฤหาสน์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน รูปทรงและการจัดวางของคฤหาสน์นั้นจะเป็นไปตามหลักทางพิธีกรรมและประเพณีในอดีต จนทำให้เธอสงสัยว่าคฤหาสน์หลายแห่งในเมืองหลวงหากอยู่ในช่วงสงครามจะมีการเตรียมพร้อมอะไรแบบนี้กันหมดเลยไหมนะ

 

 

“แล้วจะดีเหรอที่นายมาบอกความลับคฤหาสน์ตัวเองให้ฉันฟัง เพราะขนาดฟาร์มาคุงยังไม่เคยบอกฉันเลยนะ”

 

“ถึงเธอจะรู้ ก็ใช่ว่าเธอจะใช้งานมันได้เสียหน่อย นอกจากนี้ถึงความสัมพันธ์ของเรามันจะชวนปวดหัวไปบ้าง แต่อย่างน้อยพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกัน แล้วเธอก็คงไม่เอาไปพูดที่ไหนด้วย”

 

 

“อ๋อเหรอ”

 

“งั้นก็ยินดีต้อนรับสู่ตระกูล เดอ เมดิซิสของฉัน ที่สืบเชื้อสายของแพทย์โอสถมาหลายชั่วอายุคน!”

 

 

ปาลเล่เปลี่ยนน้ำเสียงและผายมืออย่างองอาจ ราวกับนักแสดงละคร ก่อนจะลากเอเลนเข้าไปที่ประตูลับ เมื่อเอเลนค่อยๆ ผ่านแต่ละห้องไปด้วยความระมัดระวัง ก็พบว่าปลายทางส่วนที่ลึกสุดนั้นเป็นห้องเก็บยาของตระกูลเดอ เมดิซิส

 

 

 

“ล็อกซะหนาแน่นเลยนะ”

 

“ก็ต้องงั้นสิ ยาที่อยู่ภายในนี้ล้วนอยู่ในระดับสมบัติลับของชาติ และวัตถุดิบที่หาได้ยาก”

 

 

ประตูห้องเก็บยานั้นเป็นเหล็กหนาที่มีลักษณะต่างออกไปจากห้องเก็บยาที่เห็นได้ทั่วไป แถมเธอก็ไม่เห็นถึงที่เสียบรูกุญแจภายในประตูนั้นด้วย

 

 

“แล้วต้องเปิดมันยังไงล่ะเนี่ย”

 

 

ปาลเล่นำคทาของเขาเข้าไปแตะกับประตูเหล็กก่อนจะร่ายมนตร์บางอย่างที่เอเลนไม่เคยได้ยินมาก่อน จากนั้นประตูก็เปิดออก ปาลเล่และเอเลนจึงเดินเข้าไปข้างใน การตกแต่งภายในห้องนั้นเหมือนกับห้องเก็บสมบัติ ชั้นวางที่ติดอยู่กับผนังก็เรียงรายไปด้วยขวดยาที่มีราคาแพง

 

เป็นห้องเก็บยาที่แสนล้ำค่าของตระกูลเดอ เมดิซิสซึ่งบรูโนได้เตรียมทั้งยาและวัตถุดิบที่จำเป็นในการทำยาเอาไว้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ สารเร่งปฏิกิริยาที่หาได้ยากก็สามารถเห็นได้ที่นี่ อย่างเช่น เครื่องรางของเหล่าเทพผู้พิทักษ์ วัตถุดิบทำยาในตำนาน หินคริสทัล และของที่ไม่สามารถหาได้ตามเส้นทางจัดจำหน่ายทั่วไป

 

 

“นี่มีเป็นร้อยๆ กว่าอย่างเลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ….นี่ท่านอาจารย์มียาระดับนี้อยู่ถึงขนาดนี้เลยเหรอ..”

 

“พ่อของฉันเป็นแพทย์โอสถหลวงนะ ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่เอามาพูดได้แต่เขาเคยพยายามปรุงยาอายุวัฒนะกับยาเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่นะ”

 

 

“นี่แปลกนะ ฉันนึกว่าจะมีแต่อดีตท่านดยุกเทรมอยที่คิดเรื่องแบบนี้ซะอีก”

 

 

“หือ ท่านดยุกเทรมอยนี่ใครเหรอ”

 

“อ๋อ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ”

 

 

“พ่อฉันเคยบอกว่าหลังจากที่เขารู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายกับการปรุงยานั่นแล้ว เขาก็เลยปิดตายห้องลับนี้ไปน่ะ ฉันก็เพิ่งจะได้รับช่วงต่อไม่นานนี้เอง”

 

“เกิดอะไรขึ้นกัน?”

 

 

ปาลเล่แกะเอาฉลากของตัวยาจากบนชั้นวางออกมาแล้วอธิบายให้เอเลนฟัง

 

 

 

“อันที่จริง ฉันต้องมีน้องสาวอีกคนหนึ่งที่จะเกิดมาก่อนฟาร์มา แต่เธอตายก่อนจะได้ลืมตาน่ะ ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องอะไรมากก็เถอะ อาจจะเป็นเพราะร่างกายของเธอไม่แข็งแรงก็ได้ แต่พ่อของฉันก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้นแหละเท่าที่ฉันสังเกตเห็น”

 

 

“ที่เปลี่ยนไปนี่หมายความว่าไง?”

 

 

“เขาเริ่มขยายพื้นที่ของสวนสมุนไพรและเริ่มหันหน้าเข้าหาศาสตร์การร่ายรำแห่งเทพมากขึ้นกว่าเดิมก่อนจะหันหลังให้กับศาสตร์ต้องห้าม”

 

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ…”

 

ในฐานะอาจารย์ของเอเลน บรูโนใช้สมุนไพรที่สามารถปลูกได้ในจักรวรรดิเป็นส่วนผสมหลักและใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ปลอดภัยและหลากหลายในการปรุงยาขึ้นมา โดยมักจะสั่งห้ามให้เธอไม่ผสมวัตถุดิบต้องห้ามที่อันตรายเข้าไปด้วย

 

 

 

พอพูดถึงศาสตร์เฉพาะตัวที่มีเพียงบรูโนเท่านั้นที่ทำได้แล้วก็ต้องพูดถึง ศาสตร์ร่ายรำแห่งเทพ มันเป็นศาสตร์แห่งเทพที่ดูแปลกประหลาดมาก

 

และเพราะผู้ที่ใช้ศาสตร์นี้ได้จำเป็นต้องมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถ เอเลนจึงไม่เคยได้เรียนศาสตร์ดังกล่าว

 

 

 

 

“แล้วนายใช้ศาสตร์ร่ายรำแห่งเทพได้หรือเปล่า”

 

ก็ต้องได้สิ ถึงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วนะ แม่ของฉันก็รู้เรื่องประตูลับเหมือนกัน เธออาจจะตามมาก็ได้ อ๊ะยาอยู่ตรงนั้นไง “ปลดผนึก” “

 

ปาลเล่ใช้คทาร่ายศาสตร์แห่งเทพปลดล็อกวัตถุดิบที่ถูกเก็บเอาไว้ในตู้พิเศษอีกที ก่อนจะนำมันออกมาทีละอันแล้วมอบให้เอเลน

 

 

 

 

“ว่าแต่ เจ้าฉลากบนของพวกนี้มันภาษาอะไรกัน”

 

 

เอเลนซึ่งเป็นศิษย์เอกของบรูโนและเป็นนักเรียนเกียรตินิยมระดับสูง ย่อมได้รับการศึกษาภาษาโบราณมากกว่าหนึ่งภาษาอยู่แล้ว แต่ภาษาที่เธอเห็นนี้มันไม่มีอยู่ภายในความทรงจำของเธอเลย

 

 

“มันเป็นภาษาที่สาบสูญซึ่งสืบทอดต่อกันมาภายในตระกูลน่ะ ตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว เธออ่านไม่ได้ก็ไม่แปลก ส่วนฉันกว่าจะอ่านได้ก็โดนพ่อเคี่ยวเข็ญพอตัวเลย”

 

 

“แล้วฟาร์มาคุงอ่านมันได้ไหม”

 

“หมอนั่นไม่ได้ถูกสอนด้วยหรอก เพราะมันเป็นของที่ผู้นำตระกูลจะส่งมอบให้กับผู้นำรุ่นต่อไป ดังนั้นก็มีแค่ฉันกับพ่อเท่านั้นแหละที่อ่านได้”

 

 

พอได้ยินเช่นนั้น เอเลนก็รู้ได้ทันทีว่าบรูโนให้การศึกษาที่เหมาะสมกับตำแหน่งของลูกศิษย์เขาทุกคนอย่างเหมาะสม เหมือนกับที่เขาสอนศาสตร์แห่งเทพและการรักษาทั่วไปให้กับฟาร์มาเท่านั้น เอเลนก็เหมือนกัน

 

ส่วนทางปาลเล่ที่ต้องทำหน้าที่สืบทอดตระกูลต่อไปก็จำเป็นต้องเรียนศาสตร์ที่ลึกลับยิ่งกว่านั้น

 

“แปลว่านายเป็นคนเดียวเลยนะที่ได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์มากที่สุด”

 

“เอาเถอะน่า ฉันเป็นถึงผู้นำตระกูลคนต่อไปเลยนะ ก็จำเป็นต้องรู้ทุกซอกทุกมุมที่เจ้าฟาร์มาไม่รู้ด้วย มันก็เพื่อการเตรียมการหากเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของฉัน ฉันก็ได้จะดูแลคฤหาสน์นี้ต่อไปได้ ฉันเรียนบทร่ายเป็นสิบๆ อย่างเลยนะสำหรับการเปิดเส้นทางลับและการใช้งานบางสิ่งทั่วคฤหาสน์ได้ แต่ถ้าตอนนั้นฉันตายเพราะลูคิเมียฟาร์มาก็คงได้รู้เรื่องพวกนี้แทนฉันแล้วล่ะนะ”

 

“ถึงนายจะบอกแบบนั้น แต่ก็ดูเหมือนนายจะไม่รู้ถึงเรื่องการอ่านตำราต้องห้ามนะ”

 

“ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เกี่ยวกับกลไกหรือการทำงานบางอย่างของห้องนี้หมดหรอก เพราะฉันยังอยู่ในช่วงการสืบทอดความรู้ต่อจากพ่อด้วย”

 

 

มันเหมือนกับแพทย์โอสถหลวงหรืออาจารย์ของเธอเห็นถึงชะตากรรมอะไรบางอย่างแล้ว

 

หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปได้ทันที

 

ปาลเล่ที่เป็นผู้สืบทอดของเขา เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่าบรูโนพยายามบอกให้เขาเตรียมพร้อมกับสำหรับการสืบทอดตระกูลไว้เสมอ

 

 

 

“นายเองก็แบกรับอะไรไว้เยอะเหมือนกันนะ”

 

 

“ก็แบบนั้นแหละน้า ฮ่าๆๆ!”

 

“แปลว่าคฤหาสน์แห่งนี้ยังมีความลับอยู่อีกเยอะเลยสินะ?

 

 

“ก็ใช่แหละ หากฟาร์มาที่ครอบครองพลังแห่งเทพโอสถสามารถใช้ของพวกนี้ได้ละก็ การปรุงยาเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันก็ได้นะ”

 

ยาเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นยาระดับขั้นสูงที่สุดที่ศาสตร์แห่งเทพสามารถทำขึ้นมาได้และสูตรการทำยาของมันนั้นก็ไม่เคยถูกเปิดเผยที่ไหนมาก่อน

 

ว่ากันว่ามันเป็นยาครอบจักรวาลที่สามารถรักษาทุกโรคได้แม้กระทั่งความตาย

 

 

“คงจะมีแค่เทพโอสถเท่านั้นแหละที่จะสร้างยาเทพศักดิ์สิทธิ์ได้…..ถ้าเป็นฟาร์มาคุงละก็อาจจะทำสำเร็จก็ได้”

 

 

 

ฟาร์มาซึ่งมีตราสัญลักษณ์เทพโอสถถึงสองจุด คงสามารถปรุงยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นโดยเทพโอสถได้อย่างแน่นอน นั่นคือสิ่งที่เอเลนเชื่อ

 

 

“ไอ้เรื่องยาเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะเพ้อกันเยอะไปหน่อย แถมฟาร์มาคงไม่ทำหรอก”

 

 

ปาลเล่พูดเช่นนั้น แน่นอนว่าเอเลนก็เห็นด้วย

 

 

“ยุคที่เราจำเป็นต้องใช้ยาลึกลับและศาสตร์แห่งเทพที่ต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนให้กับมันด้วยตัวผู้ปรุงยาเองมันจบลงแล้ว คนที่สามารถทำมันได้ก็มีไม่มากด้วย และเพื่อจะช่วยชีวิตใครสักคน กลับต้องใช้ชีวิตอีกคนเพื่อสังเวย อนาคตแบบนั้นพ่อของฉันไม่ต้องการมัน ดังนั้นเขาก็เลยตั้งเป้าที่จะสร้างยาที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ฉันก็เลยไม่ได้เรียนศาสตร์ต้องห้ามที่ว่ามานั่นแหละ แถมยิ่งเจอกับฟาร์มาที่นำวิวรณ์ของเทพโอสถมายังโลกของเราแล้ว ยาแผนปัจจุบันที่เกิดขึ้นตอนนี้ฉันว่ามันก็ดีกว่าของในอดีตหลายขุมเลย”

 

 

ปาลเล่พูดออกมาเอเลนก็คิดแบบเดียวกันกับเขา แต่มันก็มีความรู้สึกขัดแย้งเพราะเรื่องของยาเทพศักดิ์สิทธิ์ ยาแผนโบราณ และยาแผนปัจจุบันมันตีกันเองภายในหัว

 

“เพียงแต่ ก็รู้สึกเสียดายนะที่ยาของฟาร์มาไม่มีความสามารถในการต่อสู้กับพวกวิญญาณร้าย ดังนั้นฉันก็คงจะทิ้งศาสตร์พวกนี้ไปทั้งหมดไม่ได้หรอก”

 

ปาลเล่ยังคงพยายามถอดรหัสภาษาโบราณบนฉลากที่เก็บวัตถุดิบเอาไว้เพื่อให้รู้ถึงความสามารถของมัน ทางด้านเอเลนก็ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของตัวยาที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในนี้

 

 

 

“ดูเหมือนจะยังเป็นของที่ใช้ได้ทั้งหมดนะ”

 

 

“เพราะพ่อของฉันได้สร้างวงเวทขึ้นมาสำหรับเก็บของภายในนี้ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแม้จะผ่านไปหลายปีน่ะสิ อ๊ะ แย่ละสิเหมือนอเมทิสต์จะหมดแฮะ”

 

“งั้นคงต้องใช้ “พันธะแห่งเทพผู้พิทักษ์” ไม่ก็ “ขี้เถ้าของนักบุญ” แทนสินะ”

 

 

เอเลนตรวจสอบของขณะอ่านตำราต้องห้ามเทียบไปด้วย หากไม่ทำเช่นนั้นมันอาจจะล้มเหลวแล้วต้องกลับไปจุดเริ่มต้นเลยก็ได้

 

 

 

“ไอ้นั่นน่าจะใช้ได้แฮะ..”

 

 

แว่นตาของเอเลนสะท้อนแสงออกมา

 

 

 

 

 

 

 

“ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าทำไมเส้นผมของฟาร์มาถึงใช้แทน “พันธะแห่งเทพผู้พิทักษ์” ได้ล่ะ? “

 

“ถึงนายจะไปถามฟาร์มาคุง หมอนั่นก็คงตอบว่าไม่รู้อยู่ดีนั่นแหละ”

 

 

“โชคดีจริงๆ ที่ยังเหลืออยู่ เพราะชาร์ล็อตทำความสะอาดได้ดีจนเกินไปแท้ๆ เลยนะ”

 

ต้องขอบคุณการทำงานของลอตเต้ ที่ทำให้พวกเขาต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะหาเส้นผมที่ร่วงอยู่ภายในห้องของฟาร์มาได้ พวกเขาใช้เวลานานมากกว่าจะพบเส้นผมสีบลอนด์สักสามเส้น พอเอเลนนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะเอาลงไปในเบ้าหลอมแทนส่วนผสมพิเศษ ก็ปรากฏว่ามันสามารถทำงานได้เหมือน “พันธะแห่งเทพผู้พิทักษ์”

 

 

“วันหลังถ้าหมอนั่นตัดผม ฉันน่าจะต้องเป็นคนไปจัดการแล้วสิ”

 

 

“อย่างกับวัตถุดิบลึกลับเดินได้เลยแฮะ”

 

 

ปาลเล่และเอเลนชำระร่างด้วยเองด้วยศาสตร์แห่งวารี จากนั้นก็ทำการผสาน แร่ศักดิ์สิทธิ์ หินสีแดงเข้ากับน้ำจากศาสตร์แห่งเทพที่ทำการกรองมาแล้วอีกที จากนั้นก็ใช้ศาสตร์แห่งเทพสร้างผลึกน้ำแข็งแล้วนำสารทั้งหมดที่ได้รวมเข้าด้วยกันก่อนจะทำให้มันลอยขึ้นไปภายในอากาศ

 

มันคือแกนศักดิ์สิทธิ์

 

ส่วนบริเวณกลางห้อง ก็มีการใช้หินจุดไฟที่ได้มาจากคริสทัลวางเอาไว้ก่อนจะใช้ศาสตร์แห่งเทพจุดไฟขึ้นมา แล้ววางเบ้าหลอมไว้ข้างบนนั้น

 

ด้วยเบ้าหลอมที่วางอยู่ตรงใจกลาง ปาลเล่ได้ทำการวาดวงเวทศักดิ์สิทธิ์ขึ้นที่พื้นของห้องเพื่อชำระสถานที่นี้ให้บริสุทธิ์ ก่อนจะนำลอตเต้มานอนภายในวงเวทนั้น และทำการสร้างเฉลียงทางเดินพลังแห่งเทพที่สามารถส่งพลังแห่งเทพไปที่ร่างของลอตเต้ได้

 

“วัตถุดิบเตรียมพร้อมแล้ว การเตรียมการก็เสร็จสิ้น สามารถเริ่มการปรุงยาได้ ขั้นแรกคือการร่ายมนตร์เบื้องต้นสำหรับน้ำอมฤตสีแดงฉานบัทเทร่า”

 

 

“มาเริ่มกันเลย! ไม่อนุญาตให้ล้มเหลว พูดให้ชัดเจนทุกคำร่าย”

 

 

 

ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพทั้งสองสบตากันและเสียงของพวกเขาก็ประสานกัน

 

 

 

『 “ไอ อภาเรฟ อิอุส รูฟฟู เรย์โต อิมูโตะ……” 』

 

 

นอกเหนือจากวัตถุดิบที่สามารถหาได้ยาก กับข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้ปรุงยาแล้ว กระบวนการปรุงยาอายุวัฒนะนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องง่าย เมื่อเทียบกับการปรุงยาชนิดอื่น แถมยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย

 

ใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ต้มจนเดือดเป็นตัวทำละลาย ก่อนจะนำวัตถุดิบต่างๆ ที่หาได้ยากใส่ลงไป แล้วใช้พลังแห่งเทพถ่ายเทเข้าไปในแกนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จนมันละลายหมด

 

จากนั้นก็นำเลือดของผู้ร่ายมนตร์ลงไป หลังจากการกรองแล้ว

 

 

ด้วยบทร่ายที่ยาวและพลังแห่งเทพของผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีสองคน วัตถุดิบลึกลับเหล่านั้นก็เริ่มละลาย

 

และตามชื่อของมันน้ำอมฤตสีแดง ภายในเบ้าหลอมตอนนี้มันได้เรืองแสงสีแดงออกมาแล้ว

 

ถึงจุดนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว

 

 

 

“แล้วนายคิดว่าผลจะเป็นยังไง?”

 

“หมายถึงคำสาปของอายุวัฒนะเหรอ?”

 

“ไม่รู้ว่าคำสาปที่ส่งผล “ร่างกาย” โดยตรงเราจะถอนมันได้ไหมนะ?”

 

 

สิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นคำสาปนี้ยาของฟาร์มาอาจจะช่วยได้ เอเลนนึกถึงความเป็นไปได้นั้นออกมา

 

 

 

“ถ้าจะให้พูดเธอจะบอกว่านี่อาจจะเป็นการติดเชื้อสินะ”

 

 

“ฉันคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้นนะ บางทีเราน่าจะวิเคราะห์ยานี่ดูว่ามันส่งผลให้ติดเชื้อได้ไหม ตอนนี้ก็ละลายเกือบหมดแล้ว เดี๋ยวก็มาเริ่มการเทเลือดเป็นลำดับถัดไป”

 

 

“ก็ดีนะ ไว้มาไขปริศนาหลังปรุงยานี่เสร็จเถอะ”

 

พอปาลเล่พูดจบ เอเลนก็หรี่ดวงตาสีฟ้าของเธอลง และใช้มีดที่ทำมาจากคริสทัลซึ่งเธอนำมาด้วย กรีดเข้าที่ปลายนิ้วเป็นทางยาวของเธอจนเลือดออกมาในปริมาณที่มากพอสมควร

 

 

“เดี๋ยวเธอจะทำอะไรน่ะ เอามีดมาให้ฉันนี่!”

 

“มันก็เขียนไว้ในนั้นไม่ใช่หรือไงยะว่าผู้ที่ใช้ศาสตร์ต้องห้ามนี้จะสูญเสียอายุขัยที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งไป ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็จะทำให้ผู้ปรุงถูกสาปตาย”

 

“ก็เพราะแบบนั้นไง! เธอถึงต้องเอามีดมาให้ฉัน หากเธอพลาดขึ้นมาเธออาจจะตายเพราะคำสาปเลยก็ได้นะ!”

 

 

ปาลเล่ตะโกนใส่เอเลน

 

 

“ฉันแค่คนเดียวก็พอแล้วที่จะให้เลือดกับยานี่ ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าบนโลกนี้มีแพทย์โอสถไม่กี่คนที่มีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถน่ะ ส่วนเทพวารีแบบฉันน่ะหาได้ไม่ยากหรอก แต่นายน่ะมีศาสตร์แห่งเทพที่มีแค่นายสามารถใช้ได้อยู่อีกเยอะ ฉันไม่ยอมให้นายถูกสาปด้วยหรอกนายเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเดอ เมดิซิสคนถัดไปนะ”

 

“เพราะแบบนี้ไงเธอถึงเป็นแค่ยัยโง่เง่า! ถ้าไม่ใช้ของพวกเราทั้งสองคน มันจะไปตรงตามเงื่อนไขได้ยังไงเล่า!”

 

 

 

ปาลเล่คว้ามีดของเอเลนเอาไว้ แล้วเลือดของเขาก็ไหลออกมา ก่อนจะจับข้อมือของเอเลนแล้วนำมือของทั้งคู่จุ่มลงไปที่เบ้าหลอม

 

“แบบนี้แผลก็ติดเชื้อกันทั้งคู่แล้วสิ…นายไม่ควรจะโดนอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ”

 

“อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักสิ ถ้าหากเราทำการสองคนบางทีผลของมันอาจจะเอาอายุเราไปแค่ หนึ่งในสี่แทนก็ได้”

 

 

คำพูดของปาลเล่เหมือนจะเป็นการให้กำลังใจเอเลน

 

 

 

“ไม่รู้ว่าลอตเต้จังจะติดเชื้อด้วยไหมนะ”

 

“เนื่องจากมันเป็นกระบวนการที่ต้องกลั่นออกมาในตอนท้าย ชาร์ล็อตไม่น่าจะติดเชื้อได้นะ”

 

 

 

น้ำอมฤตที่ได้รับเลือดของทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงใส เมื่อปาลเล่กวนมันด้วยปลายคทาของเขา แสงสีแดงก็ระเบิดออกมาทำให้เกิดระลอกคลื่นไปรอบห้อง

 

ก่อนที่มันจะถูกนำออกมาจากเบ้าหลอมที่ร้อนและกลั่นตัวยาด้วยความระมัดระวัง แล้วปิดท้ายด้วยการร่ายศาสตร์แห่งเทพเข้าไป ทั้งสองร่ายมนตร์ด้วยความมุ่งมั่น

 

 

 

『”บัทเทร่า เมดิซีน”』

 

 

ปริมาณที่ได้หลังจากการกลั่นของบัทเทร่านั้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียว สิ่งที่ออกมาเป็นน้ำข้นหนืด ที่เรื่องแสงสีแดง ลักษณะคล้ายกับน้ำผึ้ง

 

 

“หากเราทั้งคู่ยังรอด…ก็แปลว่า….สำเร็จสินะ”

 

 

 

เอเลนประทับใจอย่างมากกับความสำเร็จของการปรุงยาอายุวัฒนะ ซึ่งจะส่งผลให้โดยคำสาปตายทันทีหากล้มเหลว ไม่ก็เงื่อนไขของปรุงไม่ตรงตามที่กำหนด

 

 

 

“ไม่อยากเชื่อว่าจะเสร็จ…”

 

“รีบเอาไปใช้กับชาร์ล็อตซะ ปริมาณแค่นี้คงได้แค่ครั้งเดียว”

 

“เข้าใจแล้ว!”

 

 

เอเลนใช้ไม้พายตักยาอายุวัฒนะขึ้นมา ก่อนจะนำไปทาและนวดมันบนหน้าผากของลอตเต้ที่กำลังนอนอยู่ภายในวงเวท

 

ก่อนจะเคลื่อนไปบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทั้งบริเวณส่วนทางขวาเหนือหัวใจไปเล็กน้อย แล้วเลื่อนลงมาเป็นเส้นยาวไปจนถึงสะดือ ศาสตร์แห่งเทพที่ทำเป็นเฉลียงทางเดินพลังแห่งเทพเอาไว้ก็ผ่านเข้าไปที่ร่างของลอตเต้ จนทำให้ยาอายุวัฒนะถูกดูดเข้าไปในร่างกายของลอตเต้ในท้ายที่สุด

 

 

ผิวของเธอค่อยๆ มีสีแดงขึ้นอีกครั้ง

 

เอเลนและปาลเล่มองหน้ากันและพยักหน้าด้วยความโล่งใจ

 

 

 

“ขอให้ชีพจรดีขึ้นมาเถอะ”

 

 

 

ปาเล่นั่งลงบนพื้นและตรวจดูสัญญาณชีพของลอตเต้

 

 

 

“ชีพจรและอุณหภูมิร่างกายของเธอดูเหมือนจะสูงขึ้น สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือรอให้เธอตื่น ดูเหมือนว่าเราจะสามารถดึงวิญญาณของชาร์ล็อตกลับมาได้นะ”

 

 

“เห้อแทบจะเป็นลม…จนทนไม่ไหวแล้ว แต่ยังไงก็ต้องรอให้เธอได้สติก่อนสินะ”

 

 

ทั้งสองได้รับการปลดปล่อยจากความตึงเครียดขั้นสุด แต่แล้วรอยยิ้มของพวกเขาก็ต้องหายวับไป

 

 

 

 

“พวกเธอ! มาทำอะไรกันที่นี่!”

 

 

 

ด้วยเสียงแหลมสูง เบียทริชพังสิ่งกีดขวางประตูด้วยศาสตร์แห่งเทพและก้าวเข้ามาในห้อง ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้ประตูห้องกลายเป็นรูไปแล้ว

 

 

“ว่าไงท่านแม่สบายดีไหมครับ…”

 

 

ถึงปาลเล่จะเคยบอกไว้ว่า แม่ของเขาสามารถเข้ามาที่ห้องนี้ผ่านเส้นทางลับได้ แต่ดูเหมือนเธอจะลืมไปสนิทเลย แน่นอนว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับห้องยานี้นัก แต่ด้วยลางสังหรณ์ของเธอที่รู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ เธอก็ส่งเสียงร้องออกมา

 

 

 

“เป็นไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าลูกใช้ศาสตร์ต้องห้ามกัน!?”

 

“มันเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยชาร์ล็อตได้ครับ”

 

 

ปาลเล่ประหลาดใจกับสัญชาตญาณที่ดีของเบียทริช ก่อนจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

 

“ให้ตายสิ! ช่างโง่เขลากันเสียจริง ลูกรู้หรือเปล่าว่ามันต้องเอาอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน!?”

 

“ไม่ใช่สิ่งที่ท่านแม่จำเป็นต้องกังวล ก็อย่างที่เห็นทั้งผมและเอเลโอนอร์ปลอดภัยกันดีครับ”

 

 

“โถ่ คุณนาย ท่านปาลเล่ ท่านบอนฟัว…ฉันไม่รู้จะขอโทษท่านอย่างไรดีจริงๆ …”

 

 

แคทเทอรีนแม่ของลอตเต้ร้องไห้ออกมาอยู่นอกห้องเมื่อไม่รู้เลยว่าพวกเขาต้องแลกอะไรบ้างเพื่อลอตเต้ พอนึกถึงใบหน้าของแม่ที่กำลังเห็นลูกตัวเองตกอยู่ในอันตรายแล้ว เบียทริชก็มองหน้าปาลเล่กับเอเลนก่อนจะถอนหายใจออกมา

 

 

” เอาเถอะ…มันเกิดขึ้นแล้วก็ให้มันแล้วไป ศาสตร์ต้องห้ามมันเป็นศาสตร์ที่น่ากลัวนะ แต่แม่ก็ดีใจที่พวกเธอยังปลอดภัยกัน”

 

 

“ครับ/ค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

 

 

ปาลเล่และเอเลนกล่าวขอโทษ

 

เบียทริชพยายามระงับอารมณ์เศร้าโศกของเธอ ก่อนจะพูดบางอย่างขึ้นมาราวกับนึกขึ้นได้ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ

 

 

“เราต้องรีบออกจากที่นี่กันแล้ว วิญญาณร้ายกำลังจะกลืนกินเมืองหลวง ทางโบสถ์ได้สูญเสียพลังไปแล้วด้วย แม้จะรวมผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพทั่วเมืองหลวงก็ไม่สามารถต้านเอาไว้ได้แล้ว ดูเหมือนคำสั่งอพยพจะให้พวกเราไปกันที่แลมบลูนะ จากประกาศของราชสำนักในขณะเดียวกันจักรวรรดิก็ได้มีการแจกฮาบัลลิเทอร์ให้ผู้คนที่อยู่ศูนย์อพยพหลักกันแล้ว พวกเธอก็เอายานี่ไปแล้วรีบอพยพกันได้แล้วนะ”

 

“ฮาบัลลิเทอร์นั่นคืออะไรหรือท่านแม่!?”

 

 

ปาลเล่รู้สึกประหลาดใจก่อนจะถามออกมา สารบางอย่างที่อยู่ภายในขวดซึ่งเบียทริชนำมาด้วยนั้นมีสีเขียวสดใส ว่ากันว่าหากดื่มเข้าไปจะสามารถทำการปัดเป่าวิญญาณร้ายให้ออกจากตัวผู้ดื่มได้เป็นเวลาหลายวัน

 

แต่หากดื่มในปริมาณที่ไม่มากพอ มันก็จะไม่แสดงผล เป็นยาที่สามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวนั่นเอง

 

เบียทริชให้ปาลเล่และเอเลนดื่มยาดังกล่าวทั้งสองก็รับมันมาดื่มอย่างไม่เต็มใจนัก

 

 

“ขมชะมัด”

 

“ก็มันเป็นยาอายุวัฒนะนี่นา ดูแล้วน่าจะเป็นของท่านพ่อสินะครับ เพราะคงมีแพทย์โอสถในจักรวรรดิไม่มากหรอกที่จะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้”

 

“ก็หมายความว่าท่านอาจารย์ก็ใช้ศาสตร์ต้องห้ามงั้นเหรอ”

 

“ดูเหมือนท่านพ่อก็จะจนมุมแล้วเหมือนกันสินะ”

 

“การปรุงฮาบัลลิเทอร์จะต้องใช้พลังแห่งเทพในปริมาณที่มากจนขนาดทำให้พลังแห่งเทพของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพต้องสูญสิ้นไปน่ะ”

 

“ค่าแลกเปลี่ยนสินะ”

ชนชั้นสูงที่ปราศจากศาสตร์แห่งเทพก็จะต้องกลายเป็นเพียงสามัญชน มันคือยาอายุวัฒนะที่มีค่าแลกเปลี่ยนเท่ากับความตายในฐานะของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ

 

หากพิจารณาในช่วงเวลาปกติแล้ว เอเลนนึกภาพไม่ออกเลยว่าบรูโนจะยอมใช้ศาสตร์ต้องห้ามแบบนี้โดยทำให้คนอื่นต้องสูญเสียสิ่งที่แสนล้ำค่าไปได้อย่างไร นั่นย่อมหมายความว่าตอนนี้สถานการณ์มันเลวร้ายสุดๆ แล้ว

 

“แม่เตรียมรถม้าไว้ให้แล้ว พวกข้ารับใช้ของคฤหาสน์กับคนธรรมดาที่อยู่รอบๆ ก็เตรียมอพยพกันแล้วด้วย ดังนั้นพวกเธอรีบพาชาร์ล็อตหนีไปกันได้แล้ว”

 

 

“แล้วท่านแม่ล่ะ?”

 

“แม่เป็นถึงภรรยาของผู้นำตระกูลเดอ เมดิซิสนะ สิ่งที่แม่ต้องทำก็คือปกป้องคฤหาสน์แห่งนี้จนกว่าคุณสามีจะกลับมาสิ แล้วแม่ก็ดื่มยาอายุวัฒนะนั่นแล้วด้วย ไม่มีปัญหาหรอก”

 

“ไม่มีทางที่ผมจะทิ้งท่านแม่เอาไว้แล้วหนีไปคนเดียวหรอก ได้โปรดอย่าประเมินผมต่ำเหมือนผมเป็นเด็กอีกเลย หากเป็นเรื่องศาสตร์กับพลังแห่งเทพแล้ว ผมเก่งกว่าท่านแม่อีกนะครับ”

 

 

 

ปาลเล่โต้แย้งเบียทริช

 

 

“ไม่ได้ แม่ต้องให้ลูกกับบลานช์หนีไป แล้วก็ลูกต่างหากที่ประเมินแม่ต่ำไป แม่จะปกป้องที่แห่งนี้เองจนกว่าสถานการณ์จะสงบลง ขอแค่ถึงตอนนั้นได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว อีกทั้งลูกยังจำเป็นต้องใช้ศาสตร์แห่งเทพเพื่อปกป้องบลานช์กับคนของเราด้วยระหว่างเดินทางด้วย”

 

 

“โถ่เอ้ย ทำไมท่านแม่ต้องดื้อขนาดนี้ด้วยนะ..!”

 

 

 

ความมุ่งมั่นของเบียทริชดูจะไม่สั่นคลอนเลย

 

ปาลเล่ไม่รู้จะรับมือกับเธออย่างไรดี ส่วนทางด้านเอเลนก็ดูเหมือนจะรีบออกไปทำอะไรบางอย่าง

 

 

 

“ฉันต้องรีบแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องทำ”

 

“คุณบอนฟัว ได้โปรดอพยพไปพร้อมกับตระกูลเราเถอะ เราคิดว่าทางตระกูลคุณก็ต้องทำเช่นเดียวกันแน่ ตอนนี้พวกเขาคงจะเริ่มอพยพกันแล้ว”

 

เบียทริชพยายามหยุดเอเลนเอาไว้ แต่เธอก็หันกลับมาแล้วบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนจริงๆ

 

“ขอโทษนะคะ”

 

“เอเลโอนอร์ เธอจะไปไหน”

 

“ร้านขายยา”

 

“ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ ของมันจะไปขายออกหรือยังไงกัน!”

 

 

“มีบางอย่างที่ฉันต้องปกป้องเอาไว้อยู่ต่างหากย่ะ ช่วยดูแลลอตเต้จังกับบลานช์จังด้วย”

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าโจมตี ร้านขายยาต่างโลกก็เหมือนจะปิดไม่สนิทเพราะประตูถูกทำลายไปแล้ว นั่นหมายความว่าวิญญาณร้ายสามารถเข้าออกร้านได้ตามสะดวก แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ร้านขายยา แต่เป็นสารทำปฏิกิริยาที่ฟาร์มาบอกว่าไม่สามารถหาได้อีกแล้ว รวมไปถึงเวชระเบียนที่เขาเก็บมาจนถึงตอนนี้ ทั้งประวัติการรักษาและใช้ยาของผู้ป่วย

 

 

 

หากสิ่งเหล่านี้สูญหายไป สิ่งที่ฟาร์มาทำมาจนถึงตอนนี้ และสิ่งที่เขากำลังพยายามทำในอนาคตจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป จนกว่าเขาจะกลับมาเธอจะต้องปกป้องสิ่งสำคัญของเขาด้วยชีวิตของเธอ

 

 

“ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองที่ถูกตัดสินเอาไว้แล้ว ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง”

 

“เดี๋ยวก่อนเอเลโอนอร์!”

 

“ฉันเชื่อว่าเราจะได้พบกันใหม่ด้วยรอยยิ้มนะ”

 

 

เอเลนยิ้มออกมา ก่อนจะสลัดพันธนาการของปาลเล่และวิ่งออกไป

 

——–

Note 1 : ท่าเต้นประหลาดของบรูโนมันไม่ธรรมดา 

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code 

 

 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset