ตอนที่ 231 พี่หลี
บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วง ณ อาคารจินฮุย
ภายในออฟฟิศ เหยียนเฉิงอี้ปิดหน้าเว็บที่อยู่บนเบราว์เซอร์ แล้วถอนหายใจอย่างหนัก
สิ่งที่เขาเพิ่งปิด ก็คือหน้าเว็บของบล็อกล่างฉาว
และสิ่งที่ทำให้ผู้กำกับคนนี้ถอนหายใจ ก็คือข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วบล็อกเมื่อสองวันก่อน นั่นก็คือเฉินเฟยเอ๋อร์จะถ่ายละครโทรทัศน์แล้ว และพระเอกที่เธอร่วมงานด้วย ก็คือลู่เฉินที่เคยมีข่าวซุบซิบด้วยกัน
ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ยังไม่ได้เริ่มถ่ายทำก็กลายเป็นกระแสที่ร้อนแรงมาก และคนเขียนบทก็คือลู่เฉิน เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่โผล่ขึ้นมาในวงการเพลงป็อปอย่างฉับพลันคนนี้ ได้แสดงความทะเยอทะยานในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ออกมาแล้ว
เดิมทีเอ้าช่วงฟิล์มสามารถเซ็นสัญญากับเขาได้!
พอนึกถึงเรื่องนี้ เหยียนเฉิงอี้จนปัญญาจริงๆ เขาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเตรียมงานถ่ายทำละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ซีซั่นสอง การเลือกลู่เฉินเป็นตัวประกอบชายที่สำคัญที่สุดในละครใหม่ชุดนี้ นอกจากองค์ประกอบเรื่องหน้าตาความสามารถเป็นต้นแล้ว ยังเป็นเพราะมองเห็นว่าฝ่ายหลังได้รับความนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวด้วย
แฟนคลับนับสิบล้านคนในบล็อกล่างฉาวของลู่เฉิน อย่างน้อยก็สามารถเรียกเรตติ้งขึ้นมาได้สักศูนย์จุดสองหรือศูนย์จุดสามเปอร์เซ็นต์
แต่ดันคาดไม่ถึงว่า ตอนที่แคสติ้งฝ่ายนายทุนกลับเมินใส่ ปฏิเสธลู่เฉินเปลี่ยนเป็นเจียงตงจวิ้นหนุ่มวัยละอ่อนมารับบทเฉินเย่าหยางแทน
เหยียนเฉิงอี้รู้สึกว่าหน้าตัวเองถูกตบจนบวมฉึ่ง!
ตอนถ่ายทำละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ซีซั่นหนึ่ง เขาก็มีปัญหาขัดแย้งกับฝ่ายนายทุนอยู่นิดหน่อย เดิมทีคิดว่าความเห็นต่างในการทำงานไม่มีผลกระทบอะไรต่อการร่วมงานกันของทั้งสองฝ่าย แต่เขากลับไร้เดียงสาเกินไป
สำหรับเจียงตงจวิ้น พูดตามจริงเหยียนเฉิงอี้ไม่สนใจเลยจริงๆ ยกเว้นใบหน้าที่สวยเหมือนผู้หญิงแล้ว ก็ไม่มีความสามารถอะไรเลย ทักษะการแสดงแย่ แล้วจะแสดงบทตำรวจสุภาพบุรุษผู้กล้าหาญ มีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างเฉินเย่าหยางให้ดีได้อย่างไร
พอคิดว่าตัวเองต้องฝืนถ่ายทำละครเรื่องนี้ต่อไป เขารู้สึกท้อใจจริงๆ
ส่วนเรื่องที่ลู่เฉินจะถ่ายละครโทรทัศน์ ผู้กำกับเหยียนก็ยิ่งแอบยิ้มเยาะ
เขารู้ว่านี่คือการโจมตีกลับอย่างรุนแรงของลู่เฉินต่อเจียงตงจวิ้นและคนที่อยู่เบื้องหลังพวกนั้น
อย่าเห็นว่าเหยียนเฉิงอี้อายุมากแล้ว ระดับความสนใจในอินเทอร์เน็ตของเขาไม่ด้อยไปกว่าคนหนุ่มสาวเลยสักนิด ตอนแรกที่เจียงตงจวิ้นกับบริษัทเอเจนซี่เป็นคนสร้างกระแสข่าวลบบดขยี้ลู่เฉินตามสื่อต่างๆ เขาก็รู้ดี
วงการบันเทิงมันช่างเลวร้ายและอุบาทว์เช่นนี้แล
ลู่เฉินไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาเงียบมาตลอด ไม่มอบโอกาสให้พวกเขาได้สร้างกระแสมากกว่านี้
แต่ความเงียบของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การหดหัวกล้ำกลืนฝืนทน แต่เป็นการดึงหมัดกลับไปก่อน
จากนั้นก็โจมตีกลับมาอย่างหนักหน่วง!
หมัดนี้สวยมากจริงๆ แถมยังดึงคนดังอย่างเฉินเฟยเอ๋อร์เข้ามาได้อีกด้วย ผลลัพธ์ของการโปรโมตมีประสิทธิภาพสูงกว่าลูกไม้ของเจียงตงจวิ้นเป็นร้อยเท่า แค่ตบฉาดเดียวก็เซถลาแล้ว
‘คิดว่าเก่งนักเหรอ ข้าแค่ขี้เกียจเล่นกับเจ้าแล้ว ถ้าจะเล่นก็เล่นใหญ่ไปเลย!’
เหยียนเฉิงอี้แอบช่วยเสริมบทพูดให้ลู่เฉิน เขากระทั่งเดาออกว่ามีโอกาสแปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จะต้องแย่งเรตติ้งกับละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ซีซั่นสอง ถึงตอนนั้นก็มีอะไรสนุกให้ดูแล้ว
ทั้งที่อยู่ในฐานะผู้กำกับละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ เหยียนเฉิงอี้กลับรู้สึกดีใจในความโชคร้ายของคนอื่น
ถึงแม้จะไม่ได้อ่านบทละคร แต่สัญชาตญาณของผู้กำกับคนนี้บอกว่า ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ มีเฉินเฟยเอ๋อร์ร่วมทัพ จะต้องกระแสดีมากและขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถล่มละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ อย่างยับเยินไม่มีชิ้นดี
เว้นเสียแต่ว่าละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ จะสับหลีกเวลา ไม่ปะทะกับอีกฝ่าย
แต่จะเป็นไปได้หรือ
เหยียนเฉิงอี้ส่ายหน้า
เอ้าช่วงฟิล์มกับฝ่ายนายทุนได้เตรียมงานเรียบร้อยแล้ว แถมยังเริ่มโปรโมตแล้วด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนออกไป
เหยียนเฉิงอี้พลันเกิดความคิดไม่อยากทำหน้าที่ผู้กำกับต่อ
เขาไม่อยากกลายเป็นแพะรับบาป!
เมื่อเทียบกับความไม่มั่นใจขอเหยียนเฉิงอี้ จู้หมิงเหอรองผู้จัดการฝ่ายผลิตของเป่าหลงฟิล์ม กลับมีความมั่นใจมาก!
เขาเห็นข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่ก็ไม่เห็นด้วย
พูดตามจริง ลู่เฉินสามารถเชิญเฉินเฟยเอ๋อร์มารับบทนางเอกได้ จู้หมิงเหอก็ประหลาดใจมาก
ถ้าหากตอนที่คุยกันลู่เฉินบอกว่าจะเชิญเฉินเฟยเอ๋อร์มาเล่น เช่นนั้นก็ยังพอจะพูดคุยปรึกษากันได้
แต่เมื่อพลาดไปแล้ว จู้หมิงเหอก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร
“ละครเรื่องนี้ของเขาไม่ประสบความสำเร็จหรอกครับ ถึงจะมีเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ต่างกัน…”
จู้หมิงเหอกำลังรายงานหัวหน้าของตัวเอง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้จัดการใหญ่ควบตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเป่าหลงฟิล์มอย่างมั่นใจมาก “มันดราม่าเกินไป คนดูไม่ชอบหรอก ค่าตัวของเฉินเฟยเอ๋อร์จะต่ำมากก็ไม่ได้ ความเสี่ยงในการลงทุนของพวกเรามากเกินไปครับ!”
“ที่สำคัญที่สุดคือ เงื่อนไขที่ลู่เฉินคนนั้นเสนอมาสูงมากไป ผมจึงไม่ตกลง”
ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเป่าหลงฟิล์มแซ่อู่ เป็นคนเจ้าเล่ห์ลื่นเป็นปลาไหลอยู่ในวงการมานานแล้ว เขาพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็ไม่มีปัญหา คุณรู้อยู่แก่ใจก็พอ”
จู้หมิงเหอยิ้มเอ่ยว่า “พี่อู่ ผมเข้าใจแล้วครับ”
หลังจากผู้อำนวยการอู่ออกไปแล้ว จู้หมิงเหอกลับไปนั่งที่ของตัวเองใหม่ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
แต่กลับพบว่าน้ำชาเย็นหมดแล้ว
เขาขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนมีพยับเมฆเกิดขึ้นในใจ เป็นความรู้สึกไม่พอใจที่พูดออกมาไม่ถูก
“เรื่องนี้มันน่าจริงๆ เลย…”
นั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ ก็ยังซวย!
จู้หมิงเหอรู้สึกขุ่นเคืองพี่หลี ซึ่งก็คือผู้จัดการใหญ่บริษัทเรนโบว์เอเจนซี่ปักกิ่ง
ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ได้แนะนำลู่เฉินเข้ามา เขาก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องยุ่ง ทำเอาจิตใจว้าวุ่นแบบนี้
ความมั่นใจของจู้หมิงเหอยามอยู่ต่อหน้าผู้อำนวยการอู่ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่เขาแสร้งทำออกมาทั้งนั้น!
ไพ่ตายที่เป็นเฉินเฟยเอ๋อร์นี้ เกินความคาดหมายจริงๆ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นตัวเองมีท่าทีและทัศนคติต่อลู่เฉินเช่นนั้น ไม่ให้ความสำคัญกับเขามากพอ
แต่ในขณะเดียวกัน ภายในร้านกาแฟหลันถิงบนชั้นบนสุดของโรงแรมปักกิ่งที่อยู่ติดกับศูนย์ความคิดสร้างสรรค์หลันเทียน พี่หลีที่จู้หมิงเหอกำลังขุ่นเคืองใจอยู่นั้น กำลังนั่งอยู่กับเฉินเฟยเอ๋อร์และลู่เฉิน
ชื่อเต็มของพี่หลีคือหลีเจินเจิน ได้ยินว่าตอนที่เธออายุสิบปีกว่าๆ พอเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นแล้วก็จากบ้านเข้ามาทำงานหาเงินที่ปักกิ่ง เธอเคยเป็นพนักงานในร้านอาหาร เคยกวาดถนน เคยขายประกัน จากนั้นก็หาโอกาสเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง จากผู้ช่วยตัวเล็กๆ สุดท้ายก็กลายเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเอเจนซี่จัดหานักแสดงขนาดใหญ่
ประสบการณ์ในชีวิตของเธอ สามารถเอามาสร้างเป็นละครโทรทัศน์เรื่องยาวเรื่องหนึ่งได้เลย!
พี่หลีเป็นคนอ้วนมาก มีน้ำหนักเกือบร้อยกิโลกรัมเธอจึงตัวอ้วนกลมแทบทุกส่วน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เวลาที่เธอยิ้มเหมือนกับพระสังกัจจายน์เวอร์ชันผู้หญิง แถมยังสวมแว่นตาสีทองขนาดเล็กอันหนึ่ง
ในวงการบันเทิงของปักกิ่ง พี่หลีเป็นที่รู้จักในเรื่องความใจกว้าง มีนิสัยตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์และจริงใจ เธอไม่เคยปฏิบัติตัวรุนแรงต่อศิลปินที่อยู่ในสังกัดเรนโบว์เอเจนซี่ นอกจากนี้ถ้าหากใครอยากจะไป เธอก็ไม่เคยจงใจรั้งให้อยู่ต่อ
แต่เธอเป็นคนฉลาดมาก มีเส้นสายกว้างขวางในวงการ โดยเฉพาะเส้นสายกับพวกผู้บริหารระดับสูงนั้นกว้างมาก มีความเจริญรุ่งเรืองในสายงานอาชีพ ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ไม่กล้าประเมินเธอต่ำเกินไป
แน่นอนว่าลู่เฉินก็ไม่กล้ามองเธอต่ำเกินไปเช่นกัน เขาแสดงท่าทีเคารพไม่เสียมารยาท
พี่หลีกับเฉินเฟยเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ช่วยเหลือเธอมานานแล้ว เดิมทีลู่เฉินได้รู้จักกับเป่าหลงฟิล์ม ก็เป็นเพราะพี่หลีคนนี้ที่เป็นธุระจัดการให้ น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ สุดท้ายดอกไม้จึงร่วงใส่กานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส
ผลลัพธ์เป็นแบบนี้ พี่หลีจึงบ่นกับเฉินเฟยเอ๋อร์ “เธอน่าจะบอกฉันว่าเธอจะเล่นเป็นนางเอกตั้งแต่แรก ฉันจะได้ไม่แนะนำเป่าหลิงฟิล์ม ยังไงก็ต้องแนะนำให้คุยกับจงอิ่งกับหวาซื่อ”
จงอิ่งกับหวาซื่อ เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ คือยักษ์ใหญ่ที่มีตัวตนอย่างแท้จริง
พี่หลีไม่ได้โม้ เธอมีช่องทางติดต่อกับจงอิ่งและหวาซื่อได้จริงๆ
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่หลี จงอิ่งกับหวาซื่อจะสนใจเขาได้ยังไงคะ ต่อให้บทละครถูกเลือก แต่เขาก็ไม่มีทางได้เล่นบทพระเอก ฉันเองก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณพี่มากเกินไป”
ในสายตาของจงอิ่งกับหวาซื่อ ไม่มีคนตัวเล็กๆ อย่างลู่เฉินแน่นอน ขนาดเฉินเฟยเอ๋อร์ก็แค่พอฝืนผ่านเกณฑ์ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่ลู่เฉินจะยื่นเงื่อนไขกับบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่งนี้ นั่นไม่มีความหมายอะไร
การร่วมงานที่ดี จำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่เสมอกัน
ดังเหตุผลที่ว่ายอมเป็นนายตัวเองในพื้นที่เล็กๆ ดีกว่าไปเป็นขี้ข้าฟังคำสั่งของคนอื่น
พี่หลียิ้มกริ่มแล้วเอ่ยว่า “เธอช่วยพิจารณาแทนเขาขนาดนี้ พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
เฉินเฟยเอ๋อร์อายหน้าแดงขึ้นมาทันที “พี่หลี พวกเราเป็นเพื่อนกันค่ะ!”
พี่หลีหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วพูดกับลู่เฉินว่า “เสี่ยวลู่ เฟยเอ๋อร์ดีกับนายขนาดนี้ นายอย่าทำให้เธอต้องผิดหวังล่ะ”
เธอเป็นใคร มีหรือจะมองความสัมพันธ์กุ๊กกิ๊กระหว่างทั้งสองคนไม่ออก
ลู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เขารับปากก็ไม่ดี ไม่รับปากก็ไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
โชคดีที่พี่หลีไม่ซักถามต่อ จากนั้นเธอก็กล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาเจอลู่เฉินในครั้งนี้ “เสี่ยวลู่ ฉันอ่านบทละครรักนี้ชั่วนิรันดร์แล้ว ฉันขอตัวละครสักตัวได้ไหม”
ลู่เฉินกล่าวอย่างฉับพลันทันที “ไม่มีปัญหาครับ!”
โดยที่เขาไม่ถามว่าเป็นตัวละครไหน
ตอนแรกที่เฉินเฟยเอ๋อร์โทรศัพท์มาหาเขา บอกว่าพี่หลีอยากเจอหน้าเขานั้น ก็ได้เล่าเรื่องให้ฟังไม่น้อย
เพราะฉะนั้นลู่เฉินจึงรู้ว่าพี่สาวคนนี้เป็นผู้อุปถัมภ์ของเฉินเฟยเอ๋อร์ ช่วยเหลือเธอมามากมาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พี่หลีมีเส้นสายในวงการอย่างกว้างขวาง มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยเหลือด้านอาชีพการงานของลู่เฉิน
ตอนนี้เธอเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้อง หากลู่เฉินมัวแต่ลังเล พะวงหน้าพะวงหลัง ไม่เพียงแต่จะเสียมารยาท ยังทำให้เฉินเฟยเอ๋อร์ต้องขายหน้า…เป็นการแสดงออกที่แย่มาก
พี่หลีสงสัยมาก “นายไม่ถามว่าตัวละครไหนก็ตอบตกลงเร็วขนาดนี้เชียว ถ้าหากฉันอยากได้บทพระเอกล่ะ”
ลู่เฉินตอบอย่างสง่างาม “ถ้าหากพี่หลีอยากได้บทพระเอกจริงๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ!”
ลู่เฉินไม่ได้แสร้งทำเป็นเกรงใจ เขาสามารถเขียนบทละครคลาสสิคได้อีกเยอะแยะ ขอเพียงได้เปิดฉากเสียก่อน ต่อไปถ้าเขาอยากจะเป็นพระเอกคิดว่าจะไม่มีโอกาสเหรอ
ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงทันที และก็เป็นเพราะพี่หลีพูดล้อเล่นอย่างเห็นได้ชัดด้วยแหละ
แต่พี่หลีก็รู้สึกพอใจและมีความสุขมาก เธอจึงพูดกับเฉินเฟยเอ๋อร์ว่า “เฟยเอ๋อร์ เด็กผู้ชายที่เธอเลือกไม่เลวจริงๆเธอต้องจับเขาให้อยู่นะ อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้”
เฉินเฟยเอ๋อร์เอาสองมือบังหน้าของตัวเอง
หลังจากพี่หลีแกล้งเฉินเฟยเอ๋อร์จนอายไม่กล้าเจอหน้าใครแล้ว เธอก็หันมายิ้มแล้วเอ่ยพูดกับลู่เฉินอีกที “ความจริงฉันอยากได้บทพระเอกจริงๆ แต่คือบทพระเอกช่วงวัยรุ่น ลูกชายของฉันร้องอยากจะเล่นละครมาตลอด ดังนั้นจึงอยากมอบโอกาสครั้งนี้ให้เขาสักครั้ง!”
ลู่เฉินเข้าใจทันที
เนื้อเรื่องสองสามตอนแรกของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ต้องการพระเอกและนางเอกช่วงวัยรุ่นจริงๆ ถึงแม้ฉากจะไม่เยอะแต่ก็มีความสำคัญมาก
…………………………………………………………………………