ตอนที่ 273 (1) สว่างจ้าตา
ผู้กำกับหลูสั่งหนึ่งที ทีมพร็อพก็รีบนำเสื้อผ้าและอุปกรณ์ประกอบฉากเข้ามาส่ง
ลู่เฉินสวมชุดเกราะสีเงินดำ เป็นสไตล์ตามแบบฉบับหนังเชิงพาณิชย์ นั่นก็คืองดงามประณีตและเท่ แต่ไม่ค่อยอิงประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ต้องการผลลัพธ์ที่ดีไม่ต้องการเหตุผล
ทีมพร็อพใส่ใจมาก เลือกชุดเกราะที่เหมาะสมกับไซซ์และส่วนสูงของลู่เฉินพอดี หลังจากพวกเขาช่วยลู่เฉินใส่ชุดเรียบร้อยแล้ว พลทหารชุดเกราะเงินสง่างามนายหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
หลูจื้อหย่งพอใจมาก “ไม่เลว!”
ส่วนสูงของลู่เฉินเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร หลังจากผ่านการออกกำลังกายฝึกฝนเป็นเวลานานถึงได้รูปร่างกำยำแบบนี้ พอสวมชุดเกราะแล้วก็แสดงมาดของคนเฉลียวฉลาดมีความสามารถออกมาได้อย่างชัดเจน แค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกและหน้าตาก็ดีไร้ที่ติ
ทีมพร็อพได้ส่งหอกมังกรอาจหาญสีเงินประกายให้เขาอีกเล่มหนึ่ง
หอกยาวเล่มนี้สั่งทำโดยมีการศึกษาวิจัยมาอย่างดี ขัดและหลอมขึ้นมาจากวัสดุโลหะผสมทั้งเล่ม ถึงแม้จะน้ำหนักไม่เยอะ แต่เวลาที่จับแล้วก็หนักหน่วงน่าสัมผัส
ชุดเกราะหนึ่งชุดบวกกับหอกยาวหนึ่งเล่ม เพิ่มกระบี่อีกหนึ่งเล่ม น้ำหนักรวมกันทั้งหมดเกินยี่สิบกิโลกรัม คนที่ร่างกายไม่แข็งแกร่งกำยำคงเล่นไม่ไหวจริงๆ
แต่น้ำหนักแค่นี้สำหรับลู่เฉินแล้ว อยู่ในขอบเขตที่รับไหว
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ลู่เฉินก็ขึ้นไปนั่งบนม้าอีกครั้ง
เขานั่งอย่างมั่นคง มือถือหอกเล่มหนึ่งพุ่งไปข้างหน้า สะบัดข้อมือวาดหอกอย่างสวยงาม!
“ดี!”
ทีมงานที่อยู่ที่นี่มีอาจารย์ที่รับผิดชอบด้านศิลปะการต่อสู้อยู่ด้วย เขาเห็นการแสดงของลู่เฉินเมื่อครู่ จึงเบิกตาโตอดชื่นชมไม่ได้!
ดังคำกล่าวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ยื่นมือออกมาก็รู้แล้ว ตัวเองมีหรือไม่มีความสามารถ แค่กระบวนท่าหนึ่งก็รู้ได้ชัดเจน
ลู่เฉินสะบัดหอกอย่างง่ายดาย ถ้าหากบอกว่าไม่ได้ใช้เวลาฝึกนาน อาจารย์ศิลปะการต่อสู้คนนี้ไม่เชื่อเด็ดขาด เขาไม่เคยเห็นศิลปินดาราคนไหนที่เล่นได้สวยเท่าลู่เฉินมาก่อน
ในสายตาของคนนอก การเคลื่อนไหวของลู่เฉินสุดยอดมาก บวกกับการแต่งกายที่สง่างาม ดูหล่อเท่สุดๆ!
คราวนี้ทุกคนต่างยอมแพ้ให้กับเขาแล้ว
หลูจื้อหย่งรู้สึกเหมือนได้ของล้ำค่า ใบหน้าที่เคร่งขึ้งในตอนแรกเผยรอยยิ้มออกมา
แต่การแสดงของลู่เฉินเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เขามือขวาถือหอกมือซ้ายจับบังเหียน ควบม้าพุ่งไปที่สนามหญ้าอีกครั้ง ราวกับแม่ทัพตัวจริงบุกโจมตีกองทัพของศัตรู
รอบนี้วิ่งวนหนึ่งรอบ ลู่เฉินเพียงแค่วาดกระบวนท่าง่ายๆ ไปมาอยู่บนหลังม้า ทุกคนรู้สึกเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ!
“โอเค กลับมาเถอะ!”
หลูจื้อหย่งพูดเสียงดัง “บทนี้เป็นของคุณแล้ว!”
เขาพอใจมากจริงๆ แม้แต่มองจางเต๋อก็รู้สึกสบายตามากขึ้น “ผู้จัดการจาง ลู่เฉินคนนี้เป็นศิลปินที่เซ็นสัญญากับบริษัทของคุณใช่ไหม คุณนี่โชคดีจริงๆ นะ”
หลูจื้อหย่งไม่ฟังเพลงป็อปและไม่อ่านข่าวซุบซิบนินทา ครึ่งปีที่ผ่านมาถ่ายหนังอยู่ข้างนอกมาตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของลู่เฉิน คิดว่าเขาเป็นศิลปินหน้าใหม่ของกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส
ไม่อย่างนั้นผู้จัดการจางจะมองตาปริบๆ อยากจะแนะนำขนาดนี้ได้อย่างไร
จางเต๋อพูดอย่างขมขื่น “ผู้กำกับหลู ถ้าหากผมโชคดีแบบนี้จริงก็ดีสิครับ!”
หลูจื้อหย่งประหลาดใจ “เขาไม่ใช่คนของคุณหรอกเหรอ”
จางเต๋ออธิบาย “ลู่เฉินมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง เขาเพิ่งเข้าวงการเมื่อครึ่งปีแรกนี่เอง เดิมทีเป็นนักร้องครับ”
“นักร้อง…”
หลูจื้อหย่งพูดไม่ออก…คนหนุ่มสาวสมัยนี้เก่งขนาดนี้เชียวหรือ
แถมยังมีสตูดิโอเป็นของตัวเองอีก
เขาอดอุทานอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “งั้นก็เก่งจริงๆ!”
หลูจื้อหย่งรู้ว่าลู่เฉินเพิ่งจะถ่ายละครจบเรื่องหนึ่ง เขาแสดงเป็นพระเอก คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก่งทั้งบุ๋นและบู๊
นักแสดงอาวุโสรุ่นก่อน คนที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ก็มี แต่ปัจจุบันนี้ นักแสดงรุ่นเก๋ากลุ่มนี้บ้างก็เกษียณบ้างก็โรยรา อำลาวงการภาพยนตร์โทรทัศน์กันเสียส่วนใหญ่
นักแสดงรุ่นใหม่เน้นสิ่งที่ไม่เหมือนกัน หน้าตา บุคลิก ฝีมือการแสดง กระทั่งไม่มีฝีมือการแสดงก็ยังเป็นได้
หลูจื้อหย่งไม่ได้ดูถูกนักแสดงหนุ่มสาวที่อาศัยหน้าตาทำมาหากิน เพราะเขาก็เดินสายพาณิชย์และการตลาด มวลชนชอบนักแสดงแบบไหน เขาจะไม่ทำตรงข้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรายได้จากการขายตั๋วหนัง
แต่นี่ก็ไม่มีผลกระทบต่อความพอใจที่หลูจื้อหย่งมีต่อลู่เฉิน ตกลงหน้างานให้คนหลังรับบทเฉินเจียทันที!
ไม่เพียงเท่านี้ เขาหวังว่าจะได้ถ่ายฉากของลู่เฉินในวันพรุ่งนี้
ความคืบหน้าของการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องจากหลายสาเหตุจึงทำให้ล่าช้าไม่น้อย และเหลือเวลาไม่มากนัก
ลู่เฉินก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แค่ติดต่อพี่สาวของตัวเองให้มาเซ็นสัญญากับอีกฝ่ายเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นแค่นักแสดงรับเชิญ ก็ต้องเซ็นสัญญาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
ทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดีมาก ตอนบ่ายลู่ซีเข้ามาเพื่อเซ็นสัญญา วันต่อมาลู่เฉินก็ปรากฏตัวที่ป้อมปราการซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำอีกครั้ง
สถานการณ์ในวันนี้ต่างจากเมื่อวานที่เขามาสัมภาษณ์เป็นอย่างมาก นักแสดงสมทบนับร้อยคนมาที่สถานที่ถ่ายทำ สวมชุดเกราะถืออาวุธเหมือนกับกองทัพขนาดเล็ก ถึงแม้จะไม่สามารถพูดได้ว่ารับการฝึกมาอย่างดี แต่ก็มีมาดอยู่ไม่น้อย
ฉากที่ลู่เฉินร่วมแสดง ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากในภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ หนังย้อนยุคเรื่องนี้เน้นเล่าเรื่องราวของจักรพรรดิ์อู่แห่งราชวงศ์ฮั่นเป็นสำคัญ หัวใจหลักของเรื่องคือการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทั้งในและนอกวังเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์หลายคน
ดังนั้นภายในป้อมปราการแห่งนี้ ตัวละครที่เป็นหัวใจหลักก็คือฮั่วชวี่ปิ้ง โครงเรื่องเล่าถึงแม่ทัพทหารม้าทำศึกยุทธการเหอซีต่อสู้กับพวกซยงหนู ตอนที่ถ่ายทำยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ความเป็นจริงในภาพยนตร์นั้นมีเนื้อหาแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น
“ทุกทีมระวัง!”
“กล้อง โอเค!”
“พร็อพ โอเค!”
“เสียง โอเค!”
ทุกอย่างเตรียมพร้อม คนจดสคริปต์ตีสเลท…ถ่าย!
“แอกชัน!”
วินาทีต่อมา เสียงกลองรบดังตึงๆ จากนั้นก็เป็นเสียงที่น่าตื่นเต้น
เห็นเพียงลู่เฉินขี่ม้าศึก ทันใดนั้นก็ออกจากกองทัพพุ่งไปข้างหน้า กล้องที่เซตไว้สองตัวอยู่บนรางเลื่อนก็ตามถ่ายในตำแหน่งที่ต่างกัน ถ่ายภาพการเคลื่อนไหวของเขาทุกอย่างอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
ลู่เฉินที่ผ่านการแต่งผิวหน้าให้ดำเม้มปาก สีหน้านิ่งขรึมราวสายน้ำ สายตาของเขามองไปข้างหน้า นัยน์ตาเผยแววตาสังหารที่โหดเหี้ยม ชูหอกเงินเป็นประกายที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาโดยพลัน
ปลายหอกชี้ไปทางกองทัพ ‘ซยงหนู’ ที่เรียงรายอยู่บนทุ่งหญ้า!
ขี่ม้าเดี่ยวบุกเข้าโจมตี!
หลูจื้อหย่งที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ตบขาอย่างอดใจไม่ได้ เอ่ยชมว่า “ดี!”
การสัมภาษณ์เมื่อวาน หลูจื้อหย่งรู้สึกพอใจลู่เฉินมาก วันนี้ถ่ายทำอย่างเป็นทางการ คนหลังก็ยังเซอร์ไพรส์เขาอีกครั้ง
บทที่ลู่เฉินแสดงเป็นตัวละครสมมติ ในฐานะตัวประกอบมีบทพูดเพียงสองประโยคเท่านั้น ฉากสำคัญที่สุดของเขาคือการขี่ม้าตัวเดียวบุกเข้าโจมตี เขาจำเป็นต้องแสดงออกถึงความกล้าหาญและความภาคภูมิใจในฐานะทหารชาวฮั่นของตัวเองออกมา
นักแสดงที่เดิมทีต้องเล่นบทนี้ได้รับบาดเจ็บตอนออกรายการ ดังนั้นจึงไม่สามารถมาถ่ายทำที่จินหลิงได้ จึงได้แต่หาคนอื่นแทน
ไม่คิดว่าตัวแทนจะแสดงได้โดดเด่นเช่นนี้ หลูจื้อหย่งกระทั่งรู้สึกว่าความเด่นของลู่เฉินนั้นมีเยอะเกินไป
มีคุณสมบัติแสดงบทของฮั่วชวี่ปิ้งได้อย่างสมบูรณ์!
และคนที่รับบทฮั่วชวี่ปิ้งตัวจริง ก็มองดูอยู่ไม่ไกล
นักแสดงคนนี้ชื่อว่าเวินปิง อายุของเขาใกล้เคียงกับลู่เฉิน เดบิวต์เร็วกว่าลู่เฉิน เคยถ่ายภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายเรื่องแล้ว แต่ก็เป็นแค่ตัวประกอบ
ฮั่วชวี่ปิ้งใน ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ เป็นบทที่มีน้ำหนักมากที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาเดบิวต์
ในฐานะศิลปินไอดอลหน้าตาดี เวินปิงมีความมั่นใจในฝีมือการแสดงของตัวเองมาก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นการแสดงของลู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ
“คนนี้เป็นใครครับ”
เรื่องต้องเปลี่ยนคนของบทเฉินเจีย เวินปิงก็รู้ เขาอยากแนะนำเพื่อนของตัวเองมาแสดง แต่คนหลังไม่มีคิวว่าง
ไม่คิดว่าวันนี้มีคนอื่นมาแสดงแทนแล้ว
ตัวแสดงแทนก็คือตัวแสดงแทน แค่บทเล็กๆ เวินปิงไม่เก็บมาใส่ใจ ทว่าการปรากฏตัวของลู่เฉินมันสว่างจ้าตาจริงๆ เขาที่รับบท ‘นักแสดงนำ’ รู้สึกถึงการคุกคามได้โดยสัญชาตญาณ
ผู้ช่วยของเขารู้เรื่องมากกว่า “ลู่เฉิน พระเอกเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ”
เวินปิงเข้าใจทันที “ที่แท้ก็เป็นเขาเหรอ!”
ตอนนี้ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ดังมากจริงๆ เวินปิงไม่ดูก็ยังรู้ คิดไม่ถึงว่าพระเอกจะมารับบทนักแสดงรับเชิญใน ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
เพื่อบทฮั่วชวี่ปิ้ง เขาต้องทุ่มเทสูงมาก เอาชนะคู่แข่งเก่งๆ มาหลายคน
เดิมทีคิดว่าได้ยืนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคนนี้ ดูเหมือนจะถูกเบียดลงไปทันที
เขาจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า บทของตัวเองสำคัญกว่าลู่เฉิน
“ก็งั้นๆ…”
เวินปิงแอบดูถูกอยู่ในใจ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องยอมรับว่า มาดที่ลู่เฉินถือหอกบุกเข้าไปเขาแสดงไม่ได้จริงๆ
ลู่เฉินในตอนนี้ ไม่รู้ว่าการแสดงของตัวเองทำให้คนในวงการคนหนึ่งเกิดความอิจฉา เขากำลังวาดหอกสู้รบปรบมือกับพวกซยงหนู ใช้ท่าทางตามกำหนดไว้ล่วงหน้าได้สำเร็จและราบรื่น
เวลาตอนเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนเที่ยง ลู่เฉินก็ถ่ายฉากของตัวเองเสร็จเรียบร้อย
ระหว่างนี้ฉากที่ถ่ายทำผิดพลาดอันมีสาเหตุมาจากตัวเขา มีแค่สองครั้งเท่านั้น
ก่อนจะกลับ ผู้กำกับหลูจื้อหย่งได้ยื่นนามบัตรให้ลู่เฉิน หวังว่าคราวหน้าจะมีโอกาสร่วมงานกันอีก
เขาไม่ได้พูดเพื่อเป็นพิธี
เพราะลู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะได้ร่วมงานกับเขา ควรค่าให้เขาติดตาม
สำหรับลู่เฉินแล้ว เป็นดารารับเชิญในครั้งนี้ถือว่าเป็นบทแทรกเล็กๆ น้อยๆ ในอาชีพนักแสดงของเขา ถึงแม้บทจะน้อยมาก แต่ก็ถือว่าติดใจการถ่ายทำภาพยนตร์แล้ว นอกจากนี้ยังทำกำไรได้ถึงสองแสนหยวน ไม่มีอะไรที่ไม่น่าพอใจ
สองสามวันต่อจากนี้ ลู่เฉินอยู่ที่บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ในจินหลิง คอยตรวจสอบงานตัดต่อเบื้องหลังละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ขณะเดียวกันก็ใส่เสียงประกอบของตัวเองรวมทั้งเพลงประกอบละครได้สำเร็จ
และในวันที่ 21 สตูดิโอลู่เฉินก็ได้รับจดหมายเชิญที่มาจากเมืองซาเฉิง
คนที่ส่งจดหมายเชิญมาหาลู่เฉินคือสถานีโทรทัศน์เซียงหนาน เชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยงประกาศรางวัล ‘ท็อปไชนีสมิวสิคอวอร์ดส์’ ที่จะจัดขึ้นที่ซาเฉิงตอนเย็นวันที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์!
เพราะว่าลู่เฉินได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในงาน ‘ท็อปไชนีสมิวสิคอวอร์ดส์’ สองรายการ คือ รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมกับรางวัลทำนองยอดเยี่ยม
ตอนที่ลู่เฉินรู้ข่าวนี้จากสตูดิโอ เขายังคิดว่าส่งผิด
เพราะผู้จัดงาน ‘ท็อปไชนีสมิวสิคอวอร์ดส์’ ก็คือสถานีโทรทัศน์เซียงหนาน!
………………………………………………………………………..