ตอนเที่ยงคืน หลายคนเริ่มจมลึกสู่ห้วงความฝันนานแล้ว
แต่สำหรับคนอีกส่วนหนึ่งแล้วเรียกได้ว่า ชีวิตยามราตรีของพวกเรานั้นกำลังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
คิวแสดงมายากลคิวก่อนจบลง พี่สาวนาก็ขึ้นเวที
เวทีของบาร์เดย์ลิลลี่ไม่ได้กว้างมากนัก หล่อนเคยขึ้นมาร้องเพลงมากมายนับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งหลับตายังสามารถจดจำตำแหน่งได้อย่างชัดเจน
แต่ว่าพี่สาวนาคืนนี้ตื่นเต้นและฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง สภาพจิตใจของเธอคล้ายกับตอนที่ไปเดทกับผู้ชายเป็นครั้งแรก แม้ว่าสุดท้ายกลับไม่ได้จบลงอย่างงดงาม แต่ระหว่างทางกลับมีค่าให้หวนระลึกถึงอย่างไม่ต้องสงสัย
เผชิญหน้ากับลูกค้าที่ทั้งรู้จักทั้งไม่รู้จักสองร้อยกว่าคนในร้าน เธอก็จับไมค์ในมือไว้แนบแน่น
เพื่อที่จะร้องเพลงนี้เป็นครั้งแรก พี่สาวนาได้เตรียมตัวมาอย่างยาวนาน แถมยังลากวงผั่งหวงทั้งวงไปซุ่มฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าอีก
แม้ต้าฉินจะให้การสนับสนุนและไม่ถือสา แต่เธอก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่ทำอย่างนั้นกับเพื่อนๆของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้เธอจะไม่ยอมร้องพลาดเด็ดขาด!
ด้านหลังพี่สาวนา ฉินฮั่นหยางก็ขึ้นเวทีมาพร้อมกับวงผั่งหวง
พวกเขาจะเป็นคนเล่นดนตรีให้กับพี่สาวนา
สุดท้ายก็คือลู่เฉิน
ก่อนที่จะมาถึงเดย์ลิลลี่ ลู่เฉินคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนที่ฉินฮั่นหยางเรียบเรียงเพลงนั้นกลับยังเหลือไว้ให้ตัวเขาเล่นท่อนหนึ่งด้วย การร่วมบรรเลงกีตาร์ท่อนเล็กๆแค่ท่อนสองท่อนนั้นง่ายมาก โน๊ตเองก็มีน้อย แต่ความหมายกลับแตกต่างไปไกล
นับเป็นไข่อีสเตอร์ใบเล็กๆที่เซอร์ไพร์สสุดๆ!
แปะ! แปะ! แปะ~
พี่สาวนายังไม่ทันเริ่มร้อง เสียงปรบมืออันอบอุ่นก็ดังก้องขึ้นมาในร้านก่อนแล้ว
บรรดาคนที่มาเที่ยวบาร์เดย์ลิลลี่คืนนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่รู้จักและคุ้นเคยกับพี่สาวนา แถมยังมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นมิตรสหายในวงการของเธอ ทุกคนต่างทราบว่าเธอจะร้องเพลงใหม่ของเธอเป็นครั้งแรกอยู่ก่อนแล้ว
“พี่สาวนาสู้ๆ!”
เสียงตะโกนอันกระตือรือร้นและเสียงผิวปากดังสะท้อนก้อง กระตุ้นบรรยากาศภายในร้านให้คึกคักขึ้นอย่างง่ายดาย
และทำให้ดวงตาของพี่สาวนาเพิ่มหยาดน้ำตาแวววาวทีละน้อย
หล่อนเป็นมือเก่าที่ผ่านคืนลมมามาก มีชีวิตขึ้นๆลงๆ เดิมทีก็ไม่ใช่ง่ายที่จะหวั่นไหวอะไรอย่างนี้!
“ขอบคุณ ขอบคุณทุกคนจริงๆ!”
พี่สาวนาถอนหายใจยาวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงยกไมค์ขึ้นพูดว่า “ดีใจจริงๆที่คืนนี้มีสหายมากมายขนาดนี้มาฟังเพลงของฉัน ฉันทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นจริงๆค่ะ เพลงแรกที่จะมอบให้กับทุกคน ขอบคุณ!”
《ขอบคุณ》เป็นผลงานเพลงซอร์ฟร็อคที่เคยดังมากในประเทศประมาณช่วงต้นปี 90 เพลงหนึ่ง ทำนองเพลงนั้นฮึกเหิมเต็มไปด้วยความคึกคักและทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน เนื้อร้องก็มีชีวิตชีวามาก แฝงพลังบวกเอาไว้
มนต์เสน่ห์ของเพลงอมตะจะไม่จืดจางเพราะกาลเวลาง่ายดายนัก กลับจะยิ่งทำให้ผู้คนซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก เพลงนี้กระทั่งในตอนนี้ยังถูกคนนำมาร้องคัฟเวอร์นับครั้งไม่ถ้วน มักจะได้ยินได้ฟังจากร้านเหล้าในโฮ่วไห่อยู่เป็นประจำ และยังมีเวอร์ชั่นมากมายหลากหลายอีกด้วย
ลู่เฉินเองก็เคยร้องเพลง《ขอบคุณ》ที่นี่เหมือนกัน
ส่วนสไตล์การร้องของพี่สาวนานั้นไม่เหมือนกับเขาเลยสักนิด ด้วยการเล่นดนตรีเสริมจากวงผั่งหวง เธอกลับดึงเอาอินเนอร์ในเนื้อเพลงออกมาได้จนสาแก่ใจจริงๆ ใช้น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ปลดปล่อยกลิ่นอายของร็อคขนานแท้ออกมา
“ขอบคุณทุกนาทีที่เธอเข้ามาอยู่ในชีวิตฉัน ทำให้ฉันได้มีแสงนำทาง ทำให้ฉันได้มีเรี่ยวแรง!”
“ขอบคุณเธอที่เคยสนับสนุนฉันโดยไม่ถือสา ทำให้ฉันสลัดหลุดจากความมืดมิด ทำให้ฉันไม่อ่อนแออีกต่อไป!”
“ขอบคุณเธอ!”
จบไปเพลงหนึ่ง ทั่วทั้งร้านก็ได้ยินเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว!
แม้เป็นแค่เพลงเปิดเวที แต่พี่สาวนาก็ร้องออกได้อย่างโดดเด่น ฝีมือและอารมณ์เพลงนั้นนับได้ว่ายืนหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และพื้นฐานอันหนักแน่นมั่นคง สมกับที่ครองตำแหน่งพี่สาวใหญ่ในหมู่นักร้องของบาร์เดย์ลิลลี่จริงๆ
บรรดาลูกค้าในร้านมีหลายคนที่รู้เรื่องดนตรี เมื่อได้รับฟังอย่างเพลิดเพลินย่อมไม่ตระหนี่เสียงปรบมือ
“ขอบคุณค่ะ!”
ร้อง《ขอบคุณ》จบ พี่สาวนาก็โค้งคำนับแสดงการขอบคุณให้กับทุกคน
รอจนเสียงปรบมือจางหายไป หล่อนก็พูดต่อว่า “เพลงต่อไปเป็นเพลงที่สองที่ฉันจะร้อง เชื่อว่าหลายคนต่างก็รู้กันอยู่แล้ว เพลงนี้เป็นเพลงใหม่เพลงแรกของฉัน และเป็นเพลงใหม่ที่ฉันเตรียมตัวมานานมากอีกด้วยค่ะ!”
“ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ลู่เฉินอัจฉริยะนักดนตรีตัวน้อยของพวกเราแต่งให้กับฉันค่ะ!”
พี่สาวนาหันร่างมามองลู่เฉินที่นั่งรวมอยู่ด้วยกันกับวงผั่งหวง ดวงตาเผยให้เห็นความซาบซึ้ง
อัจฉริยะนักดนตรีตัวน้อยเป็นคำที่เพิ่งแพร่หลายในแวดวงร้านเหล้าโฮ่วไห่ เป็นฉายาใหม่ที่มอบให้กับลู่เฉิน
แวดวงโฮ่วไห่นั้นไม่กว้างนัก เพราะอย่างนั้นเมื่อมีข่าวอะไรก็จะกระจายไปอย่างรวดเร็ว ข่าวที่ว่าผลงานเพลงแต่งทั้งสองเพลงที่เขาร้องในค่ำคืนดนตรีถูกขายไปด้วยราคาที่น่าตกใจนั้น ก็แพร่หลายในแวดวงอยู่นานแล้ว
บวกกับลู่เฉินร้องเพลง《เธอที่นั่งข้างฉัน》และ《ซินเดอเรลล่า》ที่เดย์ลิลลี่อยู่เสมอ ฉายานี้จึงตั้งได้อย่างสมจริงนัก
พี่สาวนาพูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “เอาจริงๆจะพูดให้ถูก ควรตั้งฉายาเป็นอัจฉริยะสุดหล่อตัวน้อยสิ!”
“เสี่ยวลู่อัจฉริยะหนุ่มหล่อ!”
เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ลู่เฉินอุ้มกีตาร์ลุกขึ้นมาอย่างเขินอาย โบกไม้โบกมือปฎิเสธทุกคน
พวกนายอย่าพูดแทะโลมว่าหนุ่มหล่ออีกเส่ะ ตัวหลักคืนนี้มันฉันที่ไหนเล่า!
ชั่วครู่ต่อมา ท่อนพรีลูดก็ดังขึ้นอย่างเงียบงัน
สปอตไลท์บนเวทีมาร่วมตัวกันอยู่บนร่างของพี่สาวนา ทำให้เธอกลายเป็นจุดรวมความสนใจของทั้งเวที
“เพลงนี้มีชื่อว่า ฉันอยากมีบ้านสักหลัง”
เธอเงยหน้ายิ้มแย้มให้กับผู้ชม ปิดดวงตาครึ่งหนึ่งพลางรับฟังท่อนพรีลูดอย่างเงียบงัน
ครั้นแล้วก็เป็นธรรมชาติยิ่ง เธอเริ่มเปิดปากร้องท่อนแรกที่ซักซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วนนั้น
“ฉันอยากมีบ้านสักหลัง
บ้านที่ไม่จำเป็นต้องสวยงาม
ไว้เมื่อฉันเหนื่อยล้า
ฉันจะคิดถึงมัน
ฉันอยากมีบ้านสักหลัง
บ้านที่ไม่จำเป็นต้องใหญ่โต
ไว้เมื่อฉันตกใจ
ฉันจะได้ไม่หวาดกลัว
……”
ทำนองอันงดงามน่าประทับใจและเนื้อเพลงที่บรรยายอย่างตรงไปตรงมาผสานเข้ากับการเรียบเรียงเสียงประสานอันไร้ที่ติ ด้วยการร้องอย่างสมบูรณ์แบบของน้ำเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่สาวนานั้น คล้ายกับเป็นสายน้ำที่ไหลบ่าเข้าไปท่วมท้นห้วงหัวใจของคนทั้งหมด สะท้านไปถึงจิตวิญญาณ!
“……
ใครจะไม่อยากมีบ้าน
แต่บางคนก็ไม่มีมัน
ใบหน้าเนืองนองด้วยน้ำตา
ได้แต่เพียงเช็ดให้ตัวเองแผ่วเบา
ฉันอิจฉาเขามาก
หลังจากบอบช้ำยังได้กลับบ้าน
แต่ฉันได้แต่เพียงเดียวดาย
หาบ้านของฉันอย่างโดดเดี่ยว
……”
คราบน้ำตา เอ่อล้นในเบ้าตาของพี่สาวนาอีกครั้ง หล่อนปิดดวงตาลง ด้วยเกรงว่าน้ำตาจะไหลลงมา
ครอบครัวที่มีความสุขมักจะเป็นเหมือนกัน ครอบครัวที่โชคร้ายก็มีโชคร้ายของแต่ละครอบครัวต่างกันไป ครอบครัวที่พี่สาวนาถือกำเนิดมานั้นเป็นหนึ่งในครอบครัวที่โชคร้ายที่สุดก็ว่าได้ เธอออกจากบ้านมาแสวงโชคข้างนอกตั้งแต่เด็ก ยี่สิบกว่าปีมานี้ยังไม่เคยกลับบ้านไปเลยสักครั้ง
เพราะว่าไม่ได้มีตัวตนอีกต่อไปมานานแล้ว มันเป็นบ้านที่ห่างไกล บ้านที่อยากจะลืมแต่กลับจำ
แต่ส่วนลึกในใจหล่อน ไหนเลยจะไม่มุ่งหวังที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังเล่า!
น้ำตา ยังคงไหลลงมาอย่างไม่อาจควบคุม แต่เสียงเพลงและเสียงดนตรีกลับเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมรุนแรงขึ้นมา!
“……
แม้ฉันจะไม่เคยมีบ้านที่อบอุ่น
แต่ฉันก็จะค่อยๆเติบโตเช่นกัน
ถ้าในใจเต็มไปด้วยความรัก
ก็จะได้รับความห่วงใย
ไม่อาจแค้นเคืองใคร
ทุกอย่างเพียงพึ่งพาตนเอง
แม้เธอจะมีบ้านและไม่ได้ขาดแคลนอะไร
ทำไมจึงไม่เห็นเธอเผยรอยยิ้ม
ตลอดกาลบอกว่าจะไม่มีความรัก
ตลอดวันจะไม่กลับบ้าน
ตอนอายุเท่ากัน
ภายในใจกลับต่างกัน
ให้ฉันได้มีบ้านสักหลัง!
……”
เมื่อเสียงร้องค่อยๆจางหาย ขณะเดียวกันก็ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกไป พี่สาวนาฝืนไม่มองไปที่ใครคนนั้นที่นั่งอยู่ในข้างล่างเวทีในตอนนี้ เนื่องจากเธอหวาดกลัวว่าดวงตาของตนเองจะเปิดโปงความในใจของเธอออกมา หวาดกลัวว่าจะเจ็บช้ำจากการถูกปฎิเสธ
หล่อนถูกปฎิเสธมาหลายครั้งมากเกินไปแล้ว
ด้วยสภาพภายนอกที่แสดงออกว่าเข้มแข็งร่าเริงของเธอนั้น สิ่งแอบซ่อนอยู่ก็คือหัวใจที่อ่อนไหวและอ่อนแอดวงหนึ่ง
เมื่อร้องเพลงนี้จบเป็นครั้งแรก เสียงเพลงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งพร้อมเพรียงทั้งอบอุ่น
หลายคนถึงกับลุกขึ้นมาปรบมือ พยายามปรบมือให้แรงที่สุด กระทั่งเบ้าตาของคนบางส่วนก็พลันปรากฏคราบน้ำตาแล้ว
พวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกับพี่สาวนา แสวงโชคอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี แม้บางคนจะก่อร่างสร้างตัวได้แล้ว บางคนได้ปีละหลายแสน พักอยู่ในห้องชุดคอนโด และยังพร้อมผ่อนไฟแนนซ์รถยนต์
แต่พวกเขาก็เคยอาศัยห้องเช่าใต้ดิน เคยต้องเบียดกันอยู่ในรถใต้ดิน เคยอาศัยบะหมี่ถ้วยมาประคองชีวิตไปแต่ละวัน เคยเผชิญหน้าปัญหาและอุปสรรคนับไม่ถ้วน ท่ามกลางหน้ากากและงานที่หนักหน่วงขึ้นทุกวันพวกเขาจึงชาชินเสียจนคล้ายซากศพเดินได้
พวกเขาในตอนนั้นกระทั่งจนถึงตอนนี้ ต่างก็ยังหวังที่จะมีบ้านอันอบอุ่นสักหลังหนึ่ง หวังจะมีสามีแสนดีเอาใจใส่หรือภรรยาอบอุ่นอ่อนโยน และหวังจะมีลูกๆที่เชื่อฟังเฉลียวฉลาด บางทีอาจได้ไปเที่ยวอย่างสนุกสนานกันทั้งครอบครัวในช่วงสุดสัปดาห์
ไม่ว่าจะผ่านประสบการณ์อะไรที่ด้านนอก บ้านก็เป็นท่าเรืออันเงียบสงบ เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เยียวยารักษาได้ตลอดกาล!
เพลง《ฉันอยากมีบ้านสักหลัง》เพลงนี้คล้ายกับร้องบรรยายความในใจของคนทั้งหมด สิ่งที่ก่อเกิดคืออารมณ์ร่วมจากจิตวิญญาณ พวกเขารู้สึกปานได้สัมผัสเอง พวกเขาควบคุมไว้ไม่ได้!
“ฉันอยากมีบ้านสักหลัง บ้านที่ไม่จำเป็นต้องสวยงาม !”
ลู่เฉินนั่งดีดอยู่บนเก้าอี้ อุ้มกีตาร์มองดูพี่สาวนาที่อยู่บนเวที ภายในใจกลับโบนบินไปไกลหลายพันลี้
ชั่วขณะนี้ เขาคิดถึงบ้านของเขามากเลยล่ะ!
-------------
เพลง《ฉันอยากมีบ้านสักหลัง》ของ ผานเม่ยเฉิน(潘美辰)
เวอร์ชั่นเก่าไม่น่าตรงกับนิยาย ผมเลยเอาอีกเวอร์ชั่นเรียบเรียงใหม่มา