เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1050 ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
แปลโดย iPAT
แสงสีรุ้งส่องสว่างลงมาจากทวีปเมฆา
นี่เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับมนุษย์ขนของทั้งสามทวีป
“นี่คือผลงานของผู้อมตะงั้นหรือ?” มนุษย์ขนบางคนถอนหายใจ
ในอดีตมีเพียงข่าวลือที่คลุมเครือเกี่ยวกับผู้อมตะเท่านั้น
แต่หลังจากบุคลิกของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเปลี่ยนไป สถานการณ์ต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเลียนแบบการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือเพื่อกระตุ้นการแข่งขันของสามทวีปและนำตัวตนที่โดดเด่นขึ้นไปฝึกฝนบนทวีปเมฆา
สงครามระหว่างสามทวีปส่งผลกระทบต่อมนุษย์ขนทั้งหมด เหตุการณ์ต่างๆเกี่ยวกับผู้อมตะของทวีปเมฆาดึงดูดความสนใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก
“กลายเป็นผู้อมตะ…” ราชาผมดำมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยดวงตาส่องประกาย
หลังจากตั้งสติ เขากล่าว “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ปรากฏการณ์อมตะเป็นสิ่งมงคล เราจะจัดงานประลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ ผู้ชนะจะสามารถเลือกสมบัติจากคลังของเรา!
“รับบัญชา!” ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเร่งตอบรับ
ราชาผมดำคิดเรื่องนี้มานานแล้ว
สงครามระหว่างสามทวีปทำให้ราชาผมดำตระหนักว่าทักษะการหลอมรวมไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป เพื่อรับมือกับการต่อสู้ในอนาคต เขาต้องการผู้ใช้วิญญาณที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้
ครึ่งเดือนต่อมา
เมืองไหมเหล็กมีแขกที่ทรงเกียรติมาเยือน
แขกผู้นี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าเมืองโดยตรง
“ท่านเจ้าเมืองฮัวเฟิง ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดจากที่นี่?” เจ้าเมืองไหมเหล็กถามระหว่างงานเลี้ยง
“ท่านเจ้าเมืองไหมเหล็ก ท่านเข้าใจข้าจริงๆ ข้ามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์” เจ้าเมืองฮัวเฟิงยิ้มและชี้นิ้วไปที่ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนที่อยู่ด้านหลัง “ราชาต้องการจัดงานประลองการต่อสู้ แต่ละภูมิภาคสามารถส่งผู้เข้าแข่งขันได้สามคน ในภูมิภาคนี้มีสองเมืองของเรา ผู้ใช้วิญญาณที่อยู่ด้านหลังข้าคือหนึ่งในคนที่ข้าจะส่งเข้าร่วมการแข่งขัน แต่เพราะราชาจำกัดจำนวนคน ดังนั้นเรามาจัดการแข่งขันที่นี่กันก่อนเพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน” เจ้าเมืองไหมเหล็กหัวเราะก่อนจะเรียกผู้ใช้วิญาณเผ่ามนุษย์ขนออกมา
ทั้งสองฝ่ายส่งคนออกมาและเริ่มต่อสู้ทันที
หลังจากผ่านไปหลายรอบ เมืองฮัวเฟิงชนะการแข่งขันทั้งหมดขณะที่เมืองไหมเหล็กแพ้ทั้งหมด
เจ้าเมืองฮัวเฟิงหัวเราะพลางดื่มสุราอย่างลวกๆ ด้านเจ้าเมืองไหมเหล็ก นางมีสีหน้าเคร่งขรึมและรู้สึกหนักใจ ‘เจ้าเมืองฮัวเฟิงเตรียมตัวมาดีจริงๆ หากยังเป็นเช่นนี้ เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป อีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมืองไหมเหล็กจะถูกกดดันอย่างหนักโดยเมืองฮัวเฟิง’
“เหลือการแข่งขันอีกรอบเดียว เจ้าเมืองไหมเหล็กโปดรส่งตัวแทนของท่านออกมา” เจ้าเมืองฮัวเฟิงเร่งเร้า
เจ้าเมืองไหมเหล็กก่นเสียงเย็นและกวาดตามองมนุษย์ขนกลุ่มหนึ่ง
มนุษย์ขนกลุ่มนี้ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเพราะตระหนักถึงสถานการณ์และรู้สึกถึงภาระอันหนักหน่วง
ในความเป็นจริงไม่ใช่เพียงพวกเขาที่รู้สึกไม่มั่นใจ กระทั่งเจ้าเมืองไหมเหล็กก็ไม่มั่นใจในตัวพวกเขา
เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อาวุโสของเมืองไหมเหล็กส่งข้อความไปยังเจ้าเมืองอย่างลับๆ “ท่านเจ้าเมือง ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งที่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของเรา”
เจ้าเมืองไหมเหล็กดีใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางเร่งถามว่าเป็นผู้ใด
ผู้อาวุโสตอบ “ท่านเจ้าเมืองลืมไปแล้วเช่นนั้นหรือว่าท่านพึ่งซื้อทาสมนุษย์มาเมื่อเร็วๆนี้ เขามีการบ่มเพาะระดับห้า”
เจ้าเมืองตกตะลึงและแสดงออกด้วยความขมขื่นก่อนจะถ่ายทอดเสียงกลับไป “นี่ไม่เหมาะสม! การแข่งขันของข้ากับเจ้าเมืองฮัวเฟิงเป็นเรื่องเปิดเผยและยุติธรรม มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเรา หากข้าส่งทาสมนุษย์ออกไป มันไม่เป็นไรหากเขาแพ้ แต่หากเขาชนะ เขาจะถูกส่งตัวเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ หากราชาเห็นเมืองไหมเหล็กของข้าส่งมนุษย์เป็นตัวแทน เขาจะไม่ตำหนิข้างั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสคนเดิมหัวเราะ
เขารู้ว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของเจ้าเมืองเท่านั้น
ความจริงก็คือเจ้าเมืองไหมเหล็กไม่เต็มใจ
ทาสมนุษย์นามว่า ฟางหยวน พักค้างแรมกับเจ้าเมืองทุกคืนตั้งแต่เขาถูกซื้อตัวมา เรื่องนี้ทำให้ตัวตนระดับสูงของเมืองรู้สึกไม่มีความสุขมากนัก
ผู้อาวุโสกล่าวต่อ “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้กังวล ราชาองค์ปัจจุบันเป็นคนใจกว้าง เขาสนใจเพียงความสามารถ ผู้ช่วยของเขาก็มาจากเผ่ามนุษย์หิมะและเผ่ามนุษย์วิหค ท่านเจ้าเมือง หากท่านส่งฟางหยวนออกไปและเขาแพ้ เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด แต่หากเขาชนะ ชื่อเสียงของพวกเราจะถูกกู้คืนและเขาจะถูกส่งตัวเข้าสู่การแข่งขันใหญ่ ผู้ใดจะรู้หากองค์ราชาชื่นชอบเขา ท่านเจ้าเมืองอาจกลายเป็นสหายสนิทขององค์ราชา”
“ฮืม เอาล่ะ!” เจ้าเมืองถอนหายใจ “ข้าจะละเลยเรื่องสำคัญที่สุดได้อย่างไร?”
แม้เจ้าเมืองไหมเหล็กจะไปหาฟางเจิ้งทุกคืนและหลงไหลในตัวเขา แต่นางก็เป็นเจ้าเมืองที่ใฝ่หาพลังอำนาจ
ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกฟางเจิ้งออกมา
‘เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า!’ หัวใจของเจ้าเมืองฮัวเฟิงสั่นสะท้านขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฟางเจิ้ง
แต่ภายนอกเขายังเผยรอยยิ้มบาง “รอบนี้ฝ่ายของข้าจะเป็นผู้ตั้งกฎการแข่งขัน ในรอบก่อนหน้า พวกเราแข่งขันกันด้วยความแข็งแกร่ง แต่พวกเราไม่ควรละเลยแก่นแท้ของเผ่าพันธุ์ ดังนั้นรอบนี้เราจะแข่งขันด้านการหลอมรวมวิญญาณ”
ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าเมืองไหมเหล็กแทบพุ่งเข้าทุกตีเขาด้วยความโกรธ
ผู้อาวุโสของเมืองไหมเหล็กมองเจ้าเมืองฮัวเฟิงด้วยความไม่พอใจ
แต่เจ้าเมืองฮัวเฟิงเป็นเจ้าเมืองมาหลายปี เขาไม่สะทกสะท้านและไม่สนใจสายตาเหล่านี้
เจ้าเมืองไหมเหล็กไม่สามารถตำหนิเขาเนื่องจากกฎถูกตั้งไว้ล่วงหน้า ดังนั้นนางจึงโบกมือเรียกฟางเจิ้ง “ไปแสดงความสามารถทั้งหมดของเจ้า จำไว้ว่าเจ้าต้องชนะไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยสิ่งใดก็ตาม หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
ฟางเจิ้งต้องการเพียงความตาย แต่ในฐานะทาส เขาอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองไหมเหล็กและไม่สามารถตายได้แม้จะต้องการมากเพียงใดก็ตาม
คำขู่ของเจ้าเมืองไหมเหล็กทำให้ฟางเจิ้งรู้สึกราวกับมันเป็นรูปแบบหนึ่งของการปลดปล่อยตนเอง
เขาคิด ‘ข้ายังต้องการมีชีวิตอยู่หรือไม่? ข้าอาจยอมแพ้และรับความตาย?’
แต่ในจังหวะนี้เสียงสายหนึ่งกลับดังขึ้นในใจของเขา ‘คนโง่! อัจฉริยะที่แท้จริงต้องสามารถก้มศีรษะและลดทิฐิลงในบางครั้ง หากเจ้ามีความกล้า จงแก้แค้นและลบล้างความอัปยศของตนในอนาคต! กำจัดศัตรูทั้งหมดและส่งคืนความอัปยศนับล้านเท่าให้กับพวกเขา! นี่คือการกระทำของอัจฉริยะที่โดดเด่น!’
“ผู้ใด?” ฟางเจิ้งตกใจและกรีดร้องออกมา
อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนคนสุดท้ายของเจ้าเมืองอัวเฟิงกำลังก้าวขึ้นบนลานประลอง
เขาคิดว่าฟางเจิ้งกำลังคุยกับเขา ดังนั้นเขาจึงผายมือออก “ข้าคือเหมาซือปา!”
ฟางเจิ้งไม่สามารถตอบสนอง
ตอนนี้เขาได้รับอิสรภาพกลับคืนและสามารถใช้วิญญาณได้หลายดวงแต่เสียงในใจของเขากลับปรากฏขึ้นก่อนจะหายไปอย่างลึกลับโดยที่เขาไม่สามารถตรวจสอบ
“ฮืม เจ้ากล้าฉีกหน้าข้างั้นหรือ?” เหมาซือปาโกรธมากกับการนิ่งเฉยของฟางเจิ้ง
เขาตั้งใจแนะนำตนเองแต่ฟางเจิ้งกลับไม่สนใจราวกับเขาสูงส่งและแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะแนะนำตัวเองต่อเหมาซือปา
‘เหตุใดคนผู้นี้ต้องโกรธ?’ ฟางเจิ้งตกใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเหมาซือปา
เนื่องจากความเข้าใจผิด การแข่งขันจึงเริ่มขึ้นด้วยความเกลียดชัง
เหมาซือปาเป็นผู้ใช้วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองฮัวเฟิง เขาไม่เพียงเชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยดาบแต่ยังมีทักษะในด้านการหลอมรวมวิญญาณที่ไม่ธรรมดา
ในทางตรงข้ามแม้ฟางเจิ้งจะได้รับการฝึกฝนมาจากนิกายกระเรียนอมตะและบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งทาส แต่เขามีความรู้ด้านการหลอมรวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นี่ทำให้เหมาซือปากลายเป็นผู้นำในการแข่งขันตั้งแต่เริ่มต้น
ในช่วงกลางของการแข่งขัน เหมาซือปาทิ้งฟางเจิ้งไว้ข้างหลังและสร้างช่องว่างขนาดใหญ่
ในช่วงสุดท้ายทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ไม่มีผู้ใดคิดว่าฟางเจิ้งจะสามารถพลิกสถานการณ์
กระทั่งฟางเจิ้งก็คิดเช่นเดียวกัน
‘ข้าแพ้แล้ว หากต้องตายก็ปล่อยมันไป’ ฟางเจิ้งลอบถอนหายใจอยู่ภายใน
‘ไร้สาระ!’ เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
ฟางเจิ้งตกใจ มือของเขากระตุกและทำให้ควันลอยขึ้นจากตัวอ่อนของวิญญาณที่อยู่ในมือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เจ้าเมืองฮัวเฟิงหัวเราะ
ขณะที่การแสดงออกของเจ้าเมืองไหมเหล็กกลายเป็นน่าเกลียด
เสียงในใจของฟางเจิ้งกล่าวต่อ ‘บุรุษที่แท้จริงจะยอมแพ้ต่อความล้มเหลวเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?’
‘เจ้า…เจ้าคือ…ฟางหยวน!?’ ฟางเจิ้งจำเสียงสายนี้ได้ในที่สุด
‘ฮ่าฮ่า ร่างหลักของข้าตายไปแล้วแต่เจตจำนงของข้ายังอยู่ในใจของเจ้า ในฐานะน้องชายคนเดียวบนโลกใบนี้ของข้า เจ้าไม่คิดจะพัฒนาตนเอง เจ้าไม่ต้องการแก้แค้น ข้าไม่สามารถทนเห็นสิ่งนี้!’ ฟางหยวนกล่าวด้วยความโกรธ
ฟางเจิ้งตะโกนตอบ ‘เจ้าตายไปแล้ว เหตุใดยังมาวุ่นวายกับชีวิตของข้า!’
ฟางเจิ้งคุ้นเคยกับจักรพรรดิกระเรียนสวรรค์ที่คอยช่วยเขาอย่างลับๆในอดีต ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะโต้ตอบกับเจตจำนงของฟางหยวน ในความเป็นจริงเขากระทั่งรู้สึกคิดถึง
มนุษย์ขนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้และคิดว่าฟางเจิ้งกำลังมึนงงเท่านั้น
ฟางหยวนสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของฟางเจิ้งและหัวเราะ ‘ตั้งแต่ข้าตาย เหตุใดเจ้าจึงแอบอ้างใช้ชื่อของข้า?’
ฟางเจิ้งเงียบ
ฟางหยวนกล่าวต่อ ‘เจ้าถูกทรมานและทำให้อับอาย เจ้าปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อจริงของตน นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังมีความรู้สึก ดังนั้นเหตุใดเจ้าไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อพัฒนาตัวเองและทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น? เจ้ารู้สถานการณ์นี้ หากเจ้าชนะ เจ้าจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่และปลดปล่อยตนเองจากความเป็นทาส!’
‘ข้าก็อยากชนะ ผู้ใดไม่ต้องการแก้แค้นและกู้คืนอิสรภาพ แต่ข้ามั่นใจว่าข้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!’ ฟางเจิ้งกล่าวด้วยความโกรธเคือง
‘ฮ่าฮ่าฮ่า’ ฟางหยวนหัวเราะ ‘ตราบเท่าที่เจ้าทำตามคำแนะนำของข้า เจ้าจะสามารถเอาชนะเหมาซือปาและประสบความสำเร็จ’
ฟางเจิ้งตกตะลึง ‘ครั้งนี้เจ้ามีแผนการใด?’
‘ฮืม’ ฟางหยวนก่นเสียงเย็น ‘แม้ข้าจะตายไปแล้วแต่ข้าไม่พอใจ! ข้าต้องการแก้แค้นผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่สังหารข้า! ตอนนี้เจ้าคือความหวังเดียวในการแก้แค้นของข้า! ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าใช้ชื่อของข้าอยู่งั้นหรือ? แก้แค้นให้ข้า!’
‘เหตุใดข้าต้องช่วยแก้แค้นให้กับปีศาจที่สังหารคนทั้งตระกูล!?’ ฟางเจิ้งตอบกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว
ฟางหยวนตัดบท ‘ไม่มีเวลาทะเลาะกันแล้ว ทำตามคำแนะนำของข้า จุดไฟ ใส่ทองสามชนิดที่แตกต่างกัน จำไว้ ทองคำบริสุทธ์ ทองน้ำแข็ง และทองน้ำตา ใส่พวกมันลงในหม้อตามลำดับ’
ฟางเจิ้งกัดฟันแน่น แม้เขาจะไม่ต้องการเชื่อฟังฟางหยวนแต่เพื่อชัยชนะและรักษาชีวิต เขาไม่มีทางเลือก
หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาเริ่มหลอมรวมวิญญาณอีกครั้งตั้งแต่แรก!
ผู้ชมระเบิดเสียงหัวเราออกมาเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมาพวกเขากลับไม่สามารถหัวเราะได้อีก ตรงข้ามพวกเขาจ้องมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ
เขายกมือขวาขึ้นพร้อมกับวิญญาณดวงหนึ่งภายใต้สายตาของทุกคน
“ข้าชนะ!” ฟางเจิ้งประกาศเสียงดัง
ห้องโถงกลายเป็นเงียบกริบ
กระทั่งคู่ต่อสู้ของเขาเหมาซือปาก็ไม่สามารถยอมรับความจริงเรื่องนี้และจ้องมองด้วยดวงตาว่างเปล่า
บรรยากาศกลายเป็นแปลกประหลาด
พวกเขาไม่ต้องการยอมรับว่าผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์สามารถเอาชนะผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนในการแข่งขันหลอมรวมวิญญาณ
หลังจากไม่นานบางคนจึงเปิดปากกล่าว “ดูนั่น แสงสีรุ้งปรากฏขึ้นอีกครั้ง!’
ทุกคนหันหน้าไปยังทิศทางที่ถูกชี้นำและเห็นแสงสีรุ้งส่องสว่างลงมาจากทวีปเมฆา
…..
“ดูเหมือนเจ้าจะฟื้นตัวแล้ว” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามองคนผู้หนึ่งที่อยู่ในแสงสีรุ้งและเผยรอยยิ้มบาง
“ถูกต้อง” คนผู้นี้พยักหน้า “ทั้งหมดต้องขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง”
เขากล่าวก่อนที่แสงสีรุ้งจะเลือนหายไปและเผยตัวตนของเขาออกมา
หากฟางเจิ้งเห็นคนผู้นี้ เขาต้องตกใจมาก
เพราะคนผู้นี้ก็คือฟางหยวน!
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหัวเราะ “หากเจ้าต้องการขอบคุณข้า ง่ายมาก เพียงมอบภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป และวิญญาณสติปัญญาให้ข้า”
ฟางหยวนยิ้ม “มอบให้เป็นไปไม่ได้! แต่พวกเราสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน ข้าหวังว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งจะกล้าจ่าย”
“อา…” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหยุดหัวเราะอย่างกะทันหัน “นี่…”
เขาลังเลและรู้สึกอึดอัดใจมาก