มันก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว ตอนนี้ตัวผมกำลังนั่งอยู่บนรถหรู แบรนด์ต่างประเทศที่หาเจอได้ยากในเมืองนี้ และ ที่นั่งข้างๆผมก็คือ ‘ฮิโตสึบะซัง’ ที่เป็นเจ้าของรถหรู หรือ ก็คือตัวการที่เรียกรถหรูพร้อมกับคนขับรถมานั่นเอง
ใบหน้าที่สวยและสง่างามของเธอ ทำให้ผมนึกถึงรูปปั้นน้ำแข็ง และ ผมก็ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองจากการจ้องมองเธอได้ ยังไงซะ ผมว่ามันน่าอายเกินไปที่จะพูดความคิดเหล่านั้นออกไป
“นี่ ฮิโตสึบะซัง คือผมอยากรู้ว่ารถคันนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนหรอ? แบบว่า นี่ผมจะถูกพาไปที่ไหนกันน่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าชั้นบอกนายไปแล้วหรอคะ? เรากำลังมุ่งหน้าไปยัง ‘รังรัก’ ของพวกเราไงคะ ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณพ่อของชั้นยอมควักเงินก้อนโตเพื่อที่จะซื้ออพาร์ทเม้นต์ที่ดีที่สุดเลยนะคะ”
มันจะดีจริงๆเรอะ ที่จะได้อยู่อพาร์ทเม้นต์แบบนั้นน่ะ?
นี่เธอพูดเหมือนมันเป็นเพียงแค่เรื่องหยุมหยิมเล็กๆน้อยๆ ได้ยังไงกันนะ? ถึงแม้ว่าเธอจะเอ่ยปากบอกว่า ‘ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ’ อย่างนั้นก็เถอะ แต่ส่วนตัวผมต้องการแค่อพาร์ทเม้นต์ที่มันตกแต่งเรียบง่าย เพียงเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ทิวทัศน์ที่ได้มองเห็นจากในหน้าต่างรถยนต์ที่กำลังเข้าใกล้ เข้าใกล้ สถานที่ที่เป็นที่แนะนำสำหรับการพาคู่รักที่มาพลอดรักกัน
“คือไม่ใช่ว่าผมสงสัยในตัวเธอนะ ฮิโตสึบะซัง แต่ว่านั่นน่ะโกหกใช่ไหม?”
“…………..?”
อย่าทำหน้าสงสัยแล้วเอียงหัวอย่างนั้นสิครับ ด้วยท่าทางที่น่ารักแบบนี้มันทำให้หัวใจของผมเต้นรัวไปหมดแล้ว
ผมหายใจเข้าลึกๆ และพยามยามวางท่าทางสงบๆ เพื่อไม่ให้เสียงที่สั่นเครือของผมหลุดออกไป
“ก็ไม่ว่าจะมองยังไง อ่าว แห่งนี้มันก็เป็นที่นิยมใช่ไหมล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณนี้ก็ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีอพาร์ทเม้นต์ ที่หรูหราโอ่อ่า หยั่งกับโรงแรมชั้นหนึ่ง ด้วยนี่นา ผมว่านี่มันออกจะผิดที่ผิดทางไปหน่อยนะครับ สำหรับที่ๆเด็ก ม.ปลาย จะมาอาศัยอยู่น่ะ”
“โอ้ ! นายเองก็เป็นคนที่รู้เรื่องดีเหมือนกันนะคะ มันจำเป็นสำหรับการเป็นนักธุรกิจที่จะต้องคอยเปิดหูเปิดตาหาข้อมูลอยู่ตลอด และมันจะยิ่งสำคัญไปอีกหากว่ายูยะคุงของชั้น ต้องการที่จะเป็นประธานแล้วล่ะก็ !”
อืม ก็นะ ไอ้พ่อเฮงซวยของผมเองก็เป็นพวกตามข่าวไม่ทันชาวบ้านเขา
เขาไม่เคยรู้ว่าตอนนี้อะไรที่กำลังเป็นกระแสอยู่จนกระทั่งเขาได้เห็นมันฉายอยู่บนจอทีวี
แล้วแบบนี้คุณจะคาดหวังเรื่องกระแสข่าวหรือพวกแฟชั่นใหม่ๆ หรือ เรื่องการกลายเป็น
คนคิดริเริ่มนำเทรนด์ใหม่ๆจากเขาได้ยังไงล่ะ?
คุณต้องรวบรวมข้อมูลจากที่ใดก็ตามเท่าที่คุณทำได้
สิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งที่ผมได้ทำระหว่างซ้อมบอลในอดีต ดังนั้นผมคิดว่านี้มันไม่ได้ฟังดูเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย
“ถ้าหากว่านายคิดอะไรแบบนั้นได้ ณ จุดๆนี้ ชั้นคิดว่ามันก็ดีพอสำหรับชั้นแล้วนะ ไม่คิดงั้นหรอ? เพราะในอนาคตนายเองก็ต้องไปคอยไปวิเคราะห์ คอยเก็บข้อมูลอย่างรอบคอบ ให้คุณพ่อของชั้นและคอยเรียนรู้ว่าทำยังไงให้ข้อมูลพวกนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งชั้นมั่นใจเลยค่ะ ว่ายูยะคุงทำได้แน่นอน !”
ท่านเทพธิดากำลังกล่าวสรรเสริญผมอยู่ และเธอก็ยิ้มออกมาในขณะที่เธอบอกว่าเธอเชื่อในตัวผม แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างรถยนต์ทำให้ความงดงามของเธอเปล่งประกาย
ผมเอียงหัวหนีหน้าเธออย่างเขินอาย พร้อมกับเก็บใบหน้าที่แก้มของผมมันร้อนผ่าวไปหมด
นี่ล่ะถึงเป็นสาเหตุที่ว่า รอยยิ้มที่งดงามอันหน้าทึ่ง มันช่างน่าหนักใจจริงๆ
“เห…..ยูยะคุงตอนเขินเนี่ย ก็น่ารักดีเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“อะ…โอ้! นี่เรามาถึงแล้วไม่ใช่รึยังไงกัน? นี่คือบ้านใหม่ของเรางั้นหรอ?”
นี่มันเป็นตึกที่โครตของโครตหรูหราและดูมีระดับอย่างถึงที่สุดเท่าที่ผมเคยได้อยู่มาเลยทีเดียว
เอาจริงดิ ! นี่ผมจะได้อยู่ในที่แบบนี้กับฮิโตสึบะซังจริงๆงั้นหรอ ?
“อพาร์ทเม้นต์ของพวกเราน่ะ อยู่ที่ชั้นบนสุดเลยค่ะ งั้นไปกันเถอะค่ะ”
เธอเอาแขนของเธอมาเกี่ยวแขนผม ส่วนตัวผมเองก็เกือบจะวูบหมดสติไปกับความรู้สึกทึ้งกับความสวยงามนี้
เราเข้าไปในลิฟท์ และในขณะเดียวกันคนขับรถก็จะเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาให้กับพวกเราทีหลัง
ซึ่งในทีแรกผมก็บอกอยู่ว่าจะขอแบกขึ้นไปเอง แต่เขาก็ยังยืนกรานและพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดๆเบี้ยวๆว่าผมไม่ควรจะแย่งหน้าที่ของเขาไป
ลิฟท์ที่พุ่งทะยานขึ้นไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อและตัวเลขของชั้นที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แต่การแสดงออกบนใบหน้าของฮิโตสึบะซังก็ยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนรถ
ไม่สิ พอได้มองใกล้ๆแล้วแก้มของเธอนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดงมากยิ่งขึ้น และในที่สุดพอพวกเราเดินออกมาจากลิฟท์ก็มีประตูตรงหน้าของพวกเรา และด้วยแขนของเราที่คล้องกันอยู่อย่างนี้ เธอก็พาผมเข้าไปในอพาร์ทเม้นต์แล้วเดินผ่านประตูหน้าไปยังห้องนั่งเล่นแล้วพวกเราก็ได้รับการต้อนรับด้วย ภาพวิวทิวทัศน์ที่แสนงดงามอย่างที่แท้จริง
“โอ้ วิวนี่มันช่างน่าทึ่งไปเลยไม่ใช่รึยังไงกันเนี่ย! แล้วนายคิดยังไงบ้าง? ชอบไหมคะ?”
“ไม่ว่าผมจะชอบหรือไม่ชอบ แต่นี่เราจะได้อยู่ที่นี่จริงๆหรอ เธอล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย?”
“โชคร้ายหน่อยนะคะที่มันเป็นความจริงน่ะ จากนี้ไปยูยะคุงต้องอาศัยอยู๋ที่นี่กับชั้นสองต่อสอง และไม่ต้องกังวลนะคะ ตัวชั้นทำอาหารเก่งนะ ชั้นจะทำทุกอย่างที่นายอยากกินให้เองค่ะ”
ไม่ล่ะผมเองก็ทำอาหารเป็นเหมือนกันแหละหน่า ดังนั้นเรามาเวียนหน้าที่การทำอาหารกันดีกว่า เพราะมันอาจจะไม่ดีแน่ๆถ้าทิ้งให้ทำอยู่คนเดียวในระยะยาวน่ะ
เอ้ย ! เดี๋ยวนี่มันไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดแล้ว !!
อย่างไรก็ตาม ห้องนี้มันกว้างขวางมากๆ
แค่ห้องรับแขก/ห้องกินข้าวเพียงอย่างเดียว ขนาดก็น่าจะปาไปราวๆสามสิบเสื่อทาทามิได้แล้วมั้งเนี่ย ทั้งนี้ยังมีโต๊ะสำหรับกินข้าว และ เก้าอี้ที่ออกแบบมาให้นั่งอย่างสะดวกสบาย
และยังมีโซฟาที่ใหญ่พอสำหรับคนสองคนอีกด้วย แถมผมยังไม่ได้พูดถึงทีวีขนาดมหึมาที่เอาไว้ดูตอนพักผ่อนหลังจากกินมื้อค่ำเสร็จอีกด้วย เอ่อ…..ใหญ่ขนาดนี้ แล้วนี่มันขนาดกี่นิ้วกันล่ะเนี่ย?
และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เพื่อที่จะให้ยามเย็นของพวกเราดูหรูหรามากยิ่งขึ้น ก็ยังสามารถที่จะมองดูวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงามของอ่าวได้จากหน้าต่างบานใหญ่นี้ได้
และด้วยฉากหลังแบบนี้ เราก็โอบกอดกันแล้วก็จูบกันอย่างเร่าร้อน…….
แล้วนี่ผมจินตนาการอะไรอยู่วะเนี่ย !!!!
“ยูยะคุง โอเคไหมคะ? หน้าดูแดงๆนะคะ”
“ผะ-ผมสบายดี! ไม่ใช่ว่าผมกำลังคิดอะไรแปลกๆนะ !! ไม่สิ ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างสักหน่อย! พวกเราจะต้องทำความรู้จักกันให้ดีกว่านี้ก่อนดีกว่านะ”
“ฟุๆๆ นายนี่เป็นคนตลกดีนะคะเนี่ย แต่ชั้นก็ชอบนะคะไอ้วิธีที่นายพยายามจะทำตัวเป็นสุภาพบุรษแบบนี้น่ะ”
หยุดเลยนะ! ช่วยอย่าเพิ่มความชื่นชอบที่เธอมีต่อตัวผม ในความคิดของเธอแบบนั้นเลยนะ
ฮิโตสึบะซัง ไอ้ความคาดหวังที่มากเกินไปของเธอนั้นแหละที่มันจะทำลายผม
ผมข่มตานอนหลับไม่ลงแน่ๆเพราะกังวลว่าเธอจะตอบสนองยังไงหากผมไม่ทำตามความคาดหวังนั้นของเธอน่ะ
“เอาล่ะ ! ถึงตอนนี้มันก็เลยเวลามามากแล้ว แต่เราก็มาทานมื้อเย็นกันเถอะนะคะ”
แค่เพียงฮิโตสึบะซังพูดออกมาอย่างนั้น เสียงออดก็ดังขึ้น แล้วเธอก็ไปเช็คที่หน้าจออินเตอร์คอม และ ก็เห็นว่าผู้ที่มาเยือนก็คือคนขับรถจากเมื่อก่อนหน้านี้นี่เอง และ เธอก็เปิดประตูให้กับเขา
“ขออภัยที่ให้รอนะครับ ท่านโยชิสุมิ คือว่า สัมภาระที่ท่านได้นำติดตัวมา-“
“แต่นแต๊น !! มื้อเย็นของเรามาถึงแล้วค่ะ มาเร็วสิคะ รีบทานก่อนที่จะเย็นนะคะ”
ด้วยรอยยิ้มกว้างๆที่อยู่บนใบหน้าของฮิโตสึบะซัง เธอถือกล่องพิซซ่าที่จ่าหน้ากล่องว่า
‘ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง’ อยู่ งั้นนี่ก็คือคนขับเป็นคนไปที่ร้านแล้วเอามาให้งั้นหรอ?
“ขอบคุณนะคะ มิยาโมโตะซัง จะมาร่วมด้วยไหมคะ? คุณเองก็ยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเลยใช่ไหมล่ะคะ?”
“ไม่ล่ะครับ , หน้าที่ของผมสิ้นสุดที่ตรงนี้ครับ อีกอย่างผมก็ขอไม่รบกวนพวกท่านทั้งสองคนก็แล้วกันครับ เดี๋ยวตาแก่คนนี้จะขอปลีกตัวไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ”
และเมื่อมิยาโมโตะซังคนขับรถก้มหัวร่ำลาเสร็จเขาก็จากไป
เขาเรียกตัวเองว่า ‘ตาแก่’ และผมของเขาก็เกือบจะเป็นสีเทาไปทั้งหัวอยู่แล้วด้วย
แต่อย่างไรก็ตามหลังของเขาก็ยังตรงแถมเสียงของเขาเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น แม้ตอนที่เขาโค้งตัวลงก็รู้สึกได้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรษผู้สูงอายุ ที่ได้กลิ่นอายความสง่างาม
“มิยาโมโตะซังน่ะ เขาเป็นคนขับรถรุ่นเก๋าที่ทำงานเป็นโชเฟอร์มาตั้งแต่รุ่นปู่ของชั้นแล้วน่ะค่ะ มันคงจะไม่เกินไปเลยหากจะบอกว่าเขาก็เป็นเหมือนกับครอบครัวของชั้นค่ะ แต่ก็นะคะ เขาก็ดันขีดเส้นขั้นไว้อยู่ค่ะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น เรามาทานมันก่อนที่จะเย็นกันเถอะค่ะ”
ผมเงียบไปและสงสัยว่าเมื่อไหร่กันนะที่เธอสั่งพิซซ่าไปน่ะ
ผมเดาว่าเธอต้องสั่งสั่งขณะที่ผมกำลังแพ็คข้าวของที่จำเป็นอยู่แน่เลย ถึงขนาดสั่งโคล่ามาด้วยเลยเนี่ย นี่มันช่างน่าตกใจจริงๆ ที่ผู้หญิงที่มีระดับอย่างฮิโตสึบะซัง จะมีความสุขที่ได้กินอาหารขยะแบบนี้น่ะ
“หืมมม งั้นตอนนี้นายก็รู้อะไรเกี่ยวกับชั้นมากขึ้นแล้วสินะคะ”
อ่าฮะ ผมรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ผมรู้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกนั้นมันสามารถหลอกลวงกันได้
ภาพจำที่ผู้คนยกย่อง ฮิโตสึบะ คาเอเดะซัง ในที่สาธารณะกับความเป็นจริงที่เธอเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กสาว ม.ปลาย ทั่วๆไปเลย
“ก็ขอพูดอีกครั้งก็แล้วกันนะคะ , จากนี้ไปชั้นก็หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับนายนะคะ”
เธอยื่นโคล่าให้กับผม จากนั้นผมก็เปิดมันเพื่อที่จะพัดพาความเหนื่อยล้าของวันที่แสนจะวุ่นวายนี้ออกไป
และน้ำที่อยู่ในกระป๋องก็พุ่งออกมาใส่ผมอย่างจัง ทำให้ใบหน้าของผมเปียกโชกไปหมด
และคนร้ายของเรื่องนี้ก็กำลังจ้องมองมาที่ผม
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเธอ ‘ฮิโตสึบะ คาเอเดะ’
ถึงแม้ว่าเธออาจจะดูไม่เหมือน แต่ว่าเธอน่ะ เป็นยัยตัวแสบเจ้าปัญหาไม่ผิดแน่!