28 พละกำลังอันมากมายมหาศาล
เอี้ยนลี่เฉียงจับขาของทหารคนนั้นดึงขึ้นทำให้เขาขาชี้ฟ้าหน้าทิ่มดิน
ในอดีตเอี้ยนลี่เฉียงย่อมไม่สามารถยกร่างชายฉกรรจ์คนหนึ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขากลับยกผู้ชายที่มีน้ำหนักมากกว่า 80 กิโลกรัมด้วยมือข้างเดียวแถมยังเหมือนไม่ได้ออกแรงเท่าไหร่ด้วย
ทหารคนนั้นพยายามจับขาของเอี้ยนลี่เฉียง แต่ทันใดนั้นเท้าทั้งสองข้างของเขาก็ถูกยกขึ้นจากพื้น ร่างกายของเขาก็สูญเสียแรงงัดทันที เขาจึงห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
ในวินาทีถัดมาเอี้ยนลี่เฉียงถอยเท้ากลับหลังเพื่อไม่ให้ทหารคนนั้นคว้าขาของเขาได้ จากนั้นเขาหมุนตัว 180 องศาเพื่อเตะทหารคนนั้นออกจากวงไป
การเตะครั้งนี้ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อการเตะจริงๆ แต่เป็นการใช้ขาของเขาดันคู่ต่อสู้ออกไปมากกว่า ดังนั้นจึงไม่ผิดกฎใดๆ
ภายใต้อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของแรงเหวี่ยงทหารที่จับขาของเอี้ยนลี่เฉียงก็อ้าปากค้างขณะที่เขาถูกเหวี่ยงออกไป
เขาปลิวออกจากวงลอยไปไกลกว่า 7-8 เมตรและกลิ้งไปอีก 5-6 ตลบก่อนจะลุกขึ้นมาได้
ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีในการจัดการคนสี่คน
“ น่าทึ่ง…” ทหารที่ล้อมรอบเวทีมวยปล้ำต่างปรบมือและส่งเสียงเชียร์ในเวลาเดียวกัน พวกเขาเหมือนแฟนบอลที่เพิ่งได้เห็นการยิงประตูที่สวยงาม
เมื่อเทียบกับรอบแรกรอบที่สองของมวยปล้ำนั้นน่าตื่นเต้นยิ่งกว่า เอี้ยนลี่เฉียงต่อสู้กับคู่ต่อสู้สี่คนและสามารถยุติการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพโดยจัดการแสดงที่น่าพอใจอย่างยิ่งให้ทุกคนได้ชม
“ฮ่าฮ่าฮ่าอาจารย์เอี้ยนเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆข้าผู้แซ่โจวอยากจะก็ประลองกับท่านดู!”
ทหารธรรมดาในย่านโรงตีเหล็กไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเอี้ยนลี่เฉียงอีกต่อไป
หลังจากที่โจวหย่งได้เห็นความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของ เอี้ยนลี่เฉียง เขาก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองให้ลงสู่เวทีมวยปล้ำได้และตอนนี้เขาเตรียมพร้อมที่จะแข่งขันกับเอี้ยนลี่เฉียงแล้ว
โจวหย่งเป็นผู้บัญชาการที่ผ่านขั้นตอนท่าม้ามาแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน นอกเหนือนั้นการฝึกฝนในกองทัพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทำให้ศิลปะการต่อสู้ของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับตำแหน่งผู้นำหน่วยคนหนึ่ง
เมื่อโจวหย่งต้องการสู้กับเขาเป็นการส่วนตัว เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้
เขาก็คิดจะประลองฝีมือกับโจวหย่งเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเตัวเองอย่างละเอียด
“ฮ่าๆๆ ออมมือให้ด้วยพี่โจวอย่าทำให้ข้าแพ้อย่างน่าสมเพชเกินไป … “
“ฮ่า ๆ ๆข้าควรเป็นคนขอให้อาจารย์เอี้ยนแสดงความเมตตามากกว่า”
ทั้งคู่ทักทายกันอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินเข้าไปในวงกลมเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กันเอง
โดยธรรมชาติแล้วเอี้ยนลี่เฉียงย่อมไม่กล้าที่จะประมาทเมื่อคู่ต่อสู้ของเขาคือโจวหย่ง
พูดตามความเป็นจริงหากเขายังไม่ผ่านท่าม้าจนความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองสามวันนี้เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะท้าทายโจวหย่งด้วยประการทั้งปวง
เมื่อ 5-6 วันที่แล้ว. หากโจวหย่งต้องการประลองกับเขาทุกคนจะคิดว่าโจวหย่งเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบรังแกเด็ก
ทั้งคู่เดินเวียนรอบสังเวียนมวยปล้ำสองรอบ เมื่อเห็นว่าโจวหย่งกำลังเริ่มที่จะเคลื่อนไหว เอี้ยนลี่เฉียงรู้ว่านี่เป็นการแสดงความสุภาพของโจวหยงที่มีต่อเขา
ดังนั้นเขาจึงหยุดเดินและก้าวสองก้าวไปข้างหน้าโจวหย่งทันที เมื่อเขาเข้าใกล้โจวหย่งมากพอเขาก็พลิกฝ่ามือทั้งสองข้างและผลักตรงไปที่หน้าอกและบริเวณหน้าท้องของโจวหยง ด้วยวิชาที่เขาฝึกฝนจากหมัดพยัคฆ์คำราม
โจวหยงก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน เขาตั้งใจที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของเอี้ยนลี่เฉียงอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าและผลักฝ่ามือของเขาไปที่เอี้ยนลี่เฉียงในลักษณะที่คล้ายกัน
‘แบม … ‘ ฝ่ามือของพวกเขาทั้งสองชนกันอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
การแสดงออกของโจวหยงเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงแรงที่ส่งผ่านมือของเอี้ยนลี่เฉียง มันหนักหน่วงมากจนเกินความคาดหมายของเขาไปแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อเขาเห็นรูปแบบมงคลที่ปรากฏขึ้นระหว่างที่เอี้ยนลี่เฉียงผ่านขั้นตอนท่าม้า เขารู้อยู่แล้วว่าความแข็งแกร่งของเอี้ยนลี่เฉียงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน
ดังนั้นโจวหย่งจึงเตรียมใจไว้แล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งคู่ต่อสู้กันความแข็งแกร่งของเอี้ยนลี่เฉียงยังคงสร้างความตกใจให้กับ โจวหย่ง
ต่อให้เขาได้เตรียมใจไว้แล้ว โจวหย่งไม่ได้คาดหวังว่าพละกำลังของเอี้ยนลี่เฉียงจะมากมายขนาดนี้ ความรู้สึกของเขาเหมือนกับกำลังต่อสู้กับแรดตัวหนึ่ง
แรงผลักอันมหาศาลนั้นทำให้เขาเจ็บปวดไปทั้งไหล่และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป…