ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 132 สํานักอสูรเมฆา
แสงสีฟ้าสว่างจ้านําพาชายทั้งสามคนให้ปรากฏอยู่ในพื้น ที่ซึ่งห่างออกไปเกือบหนึ่งร้อยล้านลี้!
ตํานานกล่าวว่าราชาโอสถหัตถ์วิญญาณผู้ก่อตั้งสํานักหมอกเมฆาได้นําแท่นเคลื่อนย้ายมาจากจุดสิ้นสุดของห้วงเวลาและพื้นที่ สมัยที่สํานักอยู่ในยุครุ่งโรจน์ถึงขีดสุด พวกเขาสามารถส่งศิษย์จํานวนหลายพันคนให้กระจายตัวไป เจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่างๆที่ห่างไกลออกไปในรัศมีหนึ่งร้อยล้านลี้ แท่นเคลื่อนย้ายดังกล่าวมีพลังทรงอานุภาพยิ่ง! ศิษย์หลายคนใช้มันเพื่อเดินทางไปยังทุกพื้นที่บนโลกได้ภายในพริบตา โดยแหล่งพลังงานหลักของมันมาจากก้อนผลึกจํานวนมหาศาล ทว่าความเสื่อมโทรมของสํานักหมอกเมฆาในยุคปัจจุบันทําให้มันมีอานุภาพลดลง พื้นที่ห่างไกลที่สุดที่แท่นเคลื่อนย้ายสามารถนําพาไปได้คือทวีปอัคคีสวรรค์เท่านั้น
เยี่ยฉวนรวบรวมสติให้อยู่กับตัวพร้อมเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าคือภูเขาลูกใหญ่ความสูงเสียดฟ้าลักษณะคล้ายมังกรยักษ์ซึ่งมีชั้นดินปกคลุมราวผิวหนัง หัวของมันยื่นออกจากลําตัว และชูขึ้นสูงเหนือชั้นเมฆ ทั้งยังหันหัวมาทางผู้มาเยือน แรงกดดันมหาศาลที่มองไม่เห็นแผ่ปกคลุมทั่วบรรยากาศ ยิ่งพินิจยิ่งคล้ายกับมังกรเซียนโบราณที่คอยปกป้องคุ้มครองแผ่นดินแห่งนี้!
ภูเขามังกรนทรา!
คณะของเยี่ยฉวนเดินทางผ่านแท่นเคลื่อนย้ายของสํานัก มาถึงภูเขารูปมังกรยักษ์อย่างรวดเร็ว จุดที่พวกเขายืนอยู่คือทางเข้าของสํานักมังกรสวรรค์….สถานที่จําเพาะของยอดฝีมือชั้นเลิศที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายราย!
ด้านหลังภูเขามังกรนิทราคือเทือกเขาของสํานักอสูรเมฆาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ ภูเขาบางลูกมีรูปร่างคล้ายเสือขาว บางลูกคดเคี้ยวราวอสรพิษยักษ์ และบางลูกมีลักษณะคล้ายกระดองเต่าขนาดใหญ่ การเรียงตัวของภูเขา แต่ละลูกก็มีลักษณะพิเศษ หากสังเกตอย่างถี่ถ้วนจะพบว่า พวกมันเรียงตัวอย่างสวยงามประหนึ่งภาพวาดของจิตรกรชื่อดัง ทั้งภูมิประเทศยังคล้ายกับภูมิประเทศของทวีปอัคคีสวรรค์ไม่ผิดเพี้ยน! ลําธารสายใหญ่ พืชพรรณพฤกษา รวมถึงต้นไม้นานาประเภทกระจุกตัวอยู่บริเวณกลางหุบเขา
“ทะ…ที่นี่คือ สํานักอสูรเมฆาที่ผู้คนร่ําลือว่าไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือ?!”
จ้าวต้าจื่อเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง! ภาพการเรียงตัวของกลุ่มเทือกเขาอันงดงามหาใดเปรียบของสํานักอสูรเมฆาที่ปรากฏต่อสายตาทําให้เขาอัศจรรย์ใจยิ่ง!
อันที่จริงสํานักหมอกเมฆาก่อตั้งมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ทั้งมีความรุ่งโรจน์และเฟื่องฟูกว่าหลายเท่า! ก่อนหน้านี้แม้แต่ต้นไม้เพียงหนึ่งต้นบนเทือกเขาหมอกเมฆา คนจากสํานักทั้งสองแห่งต่างแย่งชิงเพื่อให้ได้มาอยู่ในอาณาเขตปกครองของตน ทว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผ่านมานานมากแล้ว ปัจจุบันขณะที่สํานักหมอกเมฆาเสื่อมโทรมลง สํานักอสูรเมฆากลับเจริญรุ่งเรืองขั้นอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้า พวกเขาคงก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในยุทธภพ และสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้โลกได้จารึก
่ ่
ชายร่างอ้วนชื่นชมความงามของทิวทัศน์ตรงหน้าได้ไม่นาน ครั้นสัมผัสถึงความกดดันมหาศาลและจิตสังหารน่าครั่นคร้ามที่แผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ และอนาคตที่ตนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเมื่อสํานักหมอกเมฆาล่มสลายทําให้ร่างกายของเขากลับมาสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวาอีกครั้ง แม้แต่ผู้พิทักษ์หยางที่รับหน้าที่เป็นผู้นําทางยังหายใจไม่ออกเมื่อรับรู้ถึงพลังงานในร่างของตนที่ไหลเวียนอย่างผิดปกติ ยังไม่ทันพบเจอคนของสํานักอสูรเมฆาพวกเขาก็รู้สึกกระสับกระส่ายเสียแล้ว!
ในบรรดาคนทั้งสามมีเพียงเยี่ยฉวนที่ยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบ สายตาของเขาทอดยาวไปยังยอดบนสุดของภูเขามังกรนิทรา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสํานักมังกรสวรรค์ ทันใดนั้นแววตาของเขาพลันอ่อนแสงลง เพราะความหน่วงเศร้าที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ
“ทั้งราชินีอสูรเนตรสีคราม ทั้งกระต่ายเฒ่าสหายข้า พวกเขาล้วนจากโลกใบนี้ไปแล้ว” เยี่ยฉวนพึมพําด้วยน้ําเสียงทุ้มต่ํา กาลเวลาผ่านพ้นไปหลายล้านปี ทุกสิ่งบนโลกเปลี่ยนแปลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม บางสถานที่อาจยังพอมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง ทว่าผู้คนที่เคยสนิทชิดเชื้อกลับหายไป
ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณเคยเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเขา ส่วนราชินีอสูรเนตรสีครามก็เป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่มีวรยุทธ์สูงส่ง สํานักหมอกเมฆาซึ่งเป็นที่พํานักของเขาในภพปัจจุบัน ก็เป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นพิเศษ ประวัติศาสตร์อันเฟื่องฟูของเขาสิ้นสุดลงแล้ว นับจากนี้เขาต้องดํารงชีวิตต่อด้วยความหวังครั้งใหม่!
ความโศกเศร้าและอาลัยอาวรณ์ที่ไม่อาจลบเลือนก่อตัวอยู่กลางใจของเขาราวหนามกุหลาบทิ่มแทง
“หยุดอยู่ตรงนั้น! พวกเจ้าเป็นใคร?”
“ผู้ใดกล้าบุกรุกพื้นที่สํานักอสูรเมฆาต้องถูกลงโทษประหารสถานเดียวเท่านั้น!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากทางยอดเขาสูงตระหง่าน ร่างของชายหลายคนเหยียบกระบี่บินเหาะตรงมาทางกลุ่มของเยี่ยฉวน จิตสังหารเย็นเยือกแผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า!
เด็กหนุ่มจํานวนห้าคนสวมชุดพร้อมรบสีขาว บริเวณข้อมือปรากฏรอยสักรูปเครื่องรางบางชนิด บริเวณบั้นเอวแต่ละคนมีดาบยาวห้อยอยู่ ทุกคนเผยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ทั้งยังแผ่พลังงานแปรปรวนทรงพลัง ศิษย์ที่มีขั้นการฝึกตนขั้นต่ําที่สุดยังบรรลุขั้นชิวฉือระดับที่ห้า คาดเดาว่าพวกเขาคงเป็นศิษย์ชั้นนอกผู้มีหน้าที่ลาดตระเวนและอารักขาทางเข้าสํานัก
แม้แต่ศิษย์ชั้นนอกยังบรรลุการฝึกตนขั้นชิวฉือระดับที่ห้า เช่นนั้นภายในสํานักอสูรเมฆาจะมียอดฝีมือมากมายเพียงใดกัน?!
หัวใจอวบอ้วนของจ้าวต้าจื่อเต้นแรงขึ้น เนื้อที่เต็มไปด้วยไขมันสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน เขารีบถอยไปหลบอยู่หลังศิษย์พี่ใหญ่ทันที! ส่วนผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงที่มีประสบการณ์และวรยุทธ์สูงส่งเผยสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าพริบตาเดียวก็กระแอมไอก่อนยืดอกขึ้นพร้อมตอบกลับ “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องผู้ประเสริฐ…พวกเราคือจากศิษย์สํานักหมอกเมฆา ตัวข้าแซ่หยาง เป็นผู้พิทักษ์ของหน่วยลาดตระเวนภูเขาแห่งสํานัก โปรดนําความไปแจ้งแก่ท่านอาวุโสเถียนชิงด้วยเถิด ว่าพวกเราต้องการร้องขอความช่วยเหลือบางประการจากเขา…”
“สํานักหมอกเมฆางั้นรึ?!”
ยอดฝีมือชั้นนอกของสํานักอสูรเมฆาจ้องมองผู้มาเยือนทั้งสามคนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาหวาดระแวง ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ําเสียงเย็นชา “พวกเราไม่ได้รับแจ้งจากทางสํานักว่าวันนี้จะมีคนเข้าพบ พวกเจ้ามาด้วยเหตุอันใด? ได้ทําการนัดหมายไว้ล่วงหน้าก่อนหรือไม่?”
ผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมทั้งน้ําเสียงที่เอื้อนเอ่ยยังสุภาพยิ่ง ถึงกระนั้นศิษย์ชั้นนอกเหล่านี้ก็ไม่เผยรอยยิ้มหรือแสดงความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com
หลายล้านปีก่อนสํานักหมอกเมฆาเปี่ยมล้นทั้งอํานาจและศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้ความรุ่งโรจน์ในอดีตสูญสลายไปสิ้นจนกลายเป็นสํานักที่ไร้ชื่อเสียง แม้แต่เทือกเขาหมอกเมฆาซึ่งเป็นอาณาบริเวณในครอบครองของสํานักหมอกเมฆามาแต่ครั้งอดีต ยังถูกรุกรานจากสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์และตั้งตนเป็นใหญ่ โดยที่สํานักหมอกเมฆาก็ไม่มีอํานาจพอจะคัดค้านแต่อย่างใด บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์จากสํานักอสูรเมฆาจึงเหยียดหยามพวกเขาตั้งแต่แรกพบ
“ไม่ พวกเราไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า”
ใบหน้าหนานเทียนกวงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงกําด้วยความโกรธระคนอับอาย อาวุโสลําดับสูงสุดไม่ได้เล่าเรื่องใดเกี่ยวกับสํานักอสูรเมฆาที่เขาควรรู้…มอบเพียงภารกิจเรื่องการยืมเตาหลอมระดับสวรรค์เท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเหล่านี้เท่ากับเขาเผชิญปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว! ผู้พิทักษ์หยางกลืนน้ําลายลงคออีกใหญ่ เขาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ําเสียงติดขัด “ละหลายปีก่อนข้าเคยเยี่ยมเยียนท่านอาวุโสเถียนซึ่งเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของอาวุโสสูงสุดซูโกวหงแห่งสํานักหมอกเมฆา ต้องการพบท่านเถียนชิงเพื่อพูดคุย เอ่อ…สอง สามเรื่อง”
หยางเทียนกวงรู้สึกกระดากอายที่จะพูดถึงจุดประสงค์แท้จริงในการมาเยือนครั้งนี้ เขาต้องเจรจาขอพบอาวุโสเถียนชิงที่เขารู้จักให้ได้เสียก่อน ส่วนจะสําเร็จหรือไม่คงต้องพึ่งโชคชะตาเท่านั้น
“อาวุโสเถียนชิงปลีกตัวไปฝึกตนอย่างสันโดษไม่พร้อมรับแขกหน้าไหนทั้งสิ้น กลับไปซะ!”
ชายผู้หนึ่งที่มีลักษณะเป็นผู้นําปฏิเสธด้วยน้ําเสียงราบเรียบโดยไม่แยแสผู้มาเยือนทั้งสามแม้แต่น้อย!
เถียนชิงคือผู้ใด?!
เขาดํารงตําแหน่งเป็นถึงเจ้าลัทธิแห่งสํานักอสูรเมฆา นับเป็นบุคคลสําคัญของสํานักที่เข้าพบได้ยากยิ่ง ศิษย์ต่ําต้อยต่างสํานักทั้งสามคนถือดีอย่างไรจึงขอเข้าพบชายชราโดยพลการ?!
“นี่เป็นของกํานัลเล็กน้อยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ… ศิษย์พี่ ศิษย์น้องโปรดรับไว้”
หยางเทียนกวงปาดเม็ดเหงื่อออกจากหน้าผากพลางหยิบเอาถุงใบเล็กออกมาจากแหวนคลังสมบัติก่อนยื่นให้อีกฝ่าย กิริยาท่าทางของคนผู้นี้ช่างน่าเวทนานัก ก่อนหน้านี้เขาเรียนรู้เพียงการฝึกฝนเคล็ดวิชาและลาดตระเวนบนภูเขารอบสํานัก ทว่าเขาไร้ทักษะด้านการเจรจากับผู้คนโดยสิ้นเชิง แม้ตอนที่เขาจะมอบของกํานัล ท่าทางของเขายังดูเหมือนเสแสร้งแกล้งทํา ทั้งวาจาที่กล่าวออกยังแข็งกระด้างยิ่ง!
ในที่สุดศิษย์ชั้นนอกทั้งห้าจึงเผยรอยยิ้ม แต่เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ภายในถุงผ้าใบนั้นสีหน้าของพวกเขาจึงแปรเปลี่ยนเป็นโกรธาอีกครั้ง ในถุงใบน้อยบรรจุก้อนผลึกเม็ดงามจํานวนหนึ่ง สําหรับผู้ฝึกตนทั่วไปอาจมองว่าพวกมันเป็นของกํานัลชั้นดี แต่สําหรับยอดฝีมือทั้งห้าของสํานักอสูรเมฆา ของพรรค์นี้ได้มูลค่าและไม่คู่ควรเลยสักนิด!
“ไปซะ! มาจากที่ใดก็กลับไปทางนั้น! หากกล้าล่วงเกินสํานักอสูรเมฆาของข้าอีกเพียงครั้งเดียว ข้าจะสังหารพวกเจ้าเสีย!”
ชายคนหนึ่งตะโกนด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราดขณะโยนถุงบรรจุก้อนผลึกลงกับพื้นอย่างไร้ความปรานี! เสียงชักดาบออกจากฝึกดังก้องเสียดโสตประสาท จิตสังหารเย็นเยือก แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทั้งยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
กลุ่มของเยี่ยฉวนเดินทางมาจากสํานักอันไกลโพ้น ทว่าไม่สามารถผ่านด่านแรกของสํานักอสูรเมฆาเข้าไปได้!
แม้แต่ศิษย์ชั้นนอกยังขับไล่ไสส่งพวกเขาอย่างไม่ไยดี เช่นนี้แล้วจะทําการยืมเตาหลอมระดับสวรรค์ จากคนเหล่านั้นได้อย่างไร?!
จ้าวต้าจื่อร้องคร่ําครวญในใจด้วยอารมณ์สิ้นหวัง เขาถอยไปหลบอยู่หลังเยี่ยฉวนอีกครั้งอย่างหวาดกลัว