Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 133 วอนหาเรื่องโดนตัดหัวแท้ๆ!
เจ้าอ้วนรู้สึกเย็นยะเยือกในหัวใจ ส่วนผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงนั้นจนปัญญา
ผลึกแก้วถุงนั้นเป็นของกํานัลที่ดีที่สุดที่จะมอบให้ได้แต่กลับไม่ถูกตาต้องใจอีกฝ่าย แล้วพวกเขาควรทําอย่างไรต่อไป? หรือจะต้องใช้กําลังบุกเข้าไปจริงๆ?
ระดับการฝึกตนของหยางเทียนกวงถือว่ายอดเยี่ยมในบรรดาผู้พิทักษ์แห่งสํานักหมอกเมฆา แม้เขาจะเป็นคนเรียบง่ายและซื่อตรงแต่กลับมีความพยายามในการฝึกตนอย่างมากจนบรรลุขั้นซิวฉือระดับหกหลายทศวรรษมาแล้ว ศิษย์สํานักอสูรเมฆาไม่อาจเทียบชั้นเขาได้ในการประลองตัวต่อตัวต่อให้ดาหน้าเข้ามาพร้อมกันก็ตาม ถึงกระนั้นหยางเทียนกวงก็ยังไม่กล้าบุกเข้าไปแม้ขั้นการฝึกตนของเขาจะสูงกว่าถึงสิบเท่า!
ที่แห่งนี้คือที่ใดเล่า?
ทางเข้าสํานักอสูรเมฆาเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่สุดในบรรดาเขตหวงห้ามทั้งหมด แม้แต่จอมมารผู้กล้าบุกรุกพระราชวังจักรวรรดิต้าฉินก็ยังไม่กล้ากระทําการอุกอาจในที่แห่งนี้!
ผู้ที่บุกรุกสํานักอสูรเมฆามีเพียงจุดจบเดียวคือความตายเท่านั้น! ลําพังแค่พวกเขาก็คงไม่เป็นปัญหา แต่สํานักหมอกเมฆาอาจติดร่างแหไปด้วยและต้องเผชิญกับหายนะร้ายแรง!
ตํานานเล่าขานว่าเจ้าสํานักเล็กๆ แห่งหนึ่งได้ล่วงล้ำสํานักอสูรเมฆาเมื่อร้อยปีที่แล้วเพื่อขอพบผู้อาวุโสเนื่องจากศิษย์หญิงคนสนิทของเขาถูกยอดฝีมือสํานักอสูรเมฆาลักพาตัวไป แต่กลับถูกทหารอารักขาตีจนตายโดยไม่มีโอกาสได้พบหน้าผู้อาวุโสเลย ซ้ำร้ายสํานักของเขายังถูกถอนรากถอนโคนในชั่วข้ามคืน คนในสํานักนับร้อยชีวิตไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
ผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงยืนนิ่งไม่ไหวติงและไร้ซึ่งหนทางราวกับคนรับใช้ที่ดวงตามืดบอด ต่อให้กินเสือดาวเข้าไปทั้งตัวก็ไม่อาจหาญกล้ารุกล้ำเข้าไป ถึงกระนั้นคนผู้หนึ่งก็ยังก้าวอาดๆ ไปด้านหน้าโดยไม่แยแสแรงกดดันจากศิษย์สํานักอสูรเมฆาแม้แต่น้อย
เยี่ยฉวนผู้เฝ้าดูสถานการณ์ด้วยสายตาเย็นชาก้าวไปข้างหน้าในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย!
“เจ้าเป็นใคร? หยุดเดี๋ยวนี้”
“ขึ้นเข้ามาอีกก้าวข้าตัดแขนและขาของเจ้าแน่!”
คลิปหลุด
บรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาตะโกนขู่พลางยกกระบี่แวววาวในมือขึ้นด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว
ในอดีต ผู้ที่เฉียดกรายเข้าใกล้ทางเข้าสํานักอสูรเมฆาไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือปรมาจารย์ก็ต้องล่าถอยอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงร้องนี้ แต่ครั้งนี้กลับมีผู้กล้าจากสํานักหมอกเมฆารุดหน้าเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย คนผู้นี้มีเส้นสายใหญ่โต ถูกเข้าสิง เสียสติ หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?!
“เยี่ยฉวน…”
“ศิษย์พี่ใหญ่! อย่า! ศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ…”
เหล่าศิษย์สํานักอสูรเมฆาไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนจ้าวต้าจื่อและผู้พิทักษ์หยางเกรงว่าจะต้านทานอีกฝ่ายไม่ไหวและร้องเรียกเยี่ยฉวนโดยพร้อมเพรียงกัน ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะบุกเข้าไปจริงๆ?!
เยี่ยฉวนย่างเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยเพิกเฉยต่อเสียงเรียกของผู้อื่น เขาเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นทุกขณะ ห้าเมตร สามเมตร หนึ่งเมตร…. และบัดนี้เขากําลังยืนประจันหน้ากับศิษย์สํานักอสูรเมฆา!
ศิษย์สํานักอสูรเมฆาผู้ดุดันและโหดเหี้ยมกลับเสียขวัญและถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
เหล่าศิษย์ที่มักคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นและตะโกนอย่างโกรธเคืองเมื่อครู่กลับลังเลเมื่อต้องลงมือ
สีหน้าปราศจากความกลัวของเยี่ยฉวนทําให้พวกเขาไม่อาจระบุตัวตนได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครและคิดว่าต้องมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งเป็นแน่!
เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น ณ ทางเข้าสํานักอสูรเมฆา
เด็กหนุ่มที่มีขั้นการฝึกตนต่ำต้อยรุกหน้าอย่างต่อเนื่องขณะที่ศิษย์สํานักอสูรเมฆาผู้ทําหน้าที่อารักขาทางเข้ากลับถอยร่นลงไปเรื่อยๆ
เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางปิดปากแน่นและเฝ้าดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง
สมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ! จะมีผู้ใดกล้าหาญได้เช่นนี้อีก?
เมื่อได้สติแล้วเจ้าอ้วนรู้สึกนับถือเยี่ยฉวนมากกว่าเดิม ทั้งที่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ในสํานักหมอกเมฆาเช่นเดียวกันแต่กลับแตกต่างจากเขามากเหลือเกิน!
“หยุดนะ ขึ้นเข้ามาอีกพวกข้าโจมตีแน่!”
ผู้นําศิษย์สํานักอสูรเมฆาขบกรามแน่น เขายกกระบี่ขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดพลางจ้องเยี่ยฉวนเขม็ง “บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร? ต้องการสิ่งใด?”
“ข้าคือเยี่ยฉวน ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆารุ่นที่ห้าร้อยสิบเจ็ด กลับไปบอกเถียนชิงให้ออกมาพบข้าซะ!”
เยี่ยฉวนหยุดฝีเท้าลงทําให้ทุกฝ่ายโล่งใจ แต่คําพูดถัดมาของเขาทําให้ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนด้วยความตื่นตกใจอย่างมาก
จองหองอะไรเช่นนี้!
ไม่ขอเข้าพบอาวุโสเถียนชิงแห่งสํานักอสูรเมฆาแต่กลับสั่งให้อีกฝ่ายมาต้อนรับเขาแทน เยี่ยฉวนผู้นี้คิดว่าอาวุโสเถียนชิงเป็นใคร? ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แม้แต่อาวุโสสูงสุดแห่งสํานักหมอกเมฆายังเข้าพบด้วยตนเอง นับประสาอะไรกับศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักที่ไม่สลักสําคัญเช่นนี้ เหตุใดจึงหน้าด้านหน้าทนนัก?
สีหน้าของผู้นําศิษย์สํานักอสูรเมฆาสับสนเกินบรรยายภายในใจร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อเห็นท่าที่สงบนิ่งและหยิ่งยโสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของเยี่ยฉวน ยิ่งเยี่ยฉวนอวดดีมากเท่าใดพวกเขายิ่งไม่กล้าทุ่มบ่ามลงมือมากเท่านั้น
“อะไร? เจ้าอยากให้ข้าพูดซ้ำนั้นหรือ?!”
เยี่ยฉวนมองดูผู้นําศิษย์สํานักอสูรเมฆาก่อนกวาดสายตามองศิษย์คนอื่นๆ และยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่หลังปากทางเข้าพลางเอ่ยคําเบา “ข้าไม่คาดคิดจริงๆ ว่าสํานักอสูรเมฆาจะตกต่ำลงถึงเพียงนี้ สภาพราวกับขยะแล้วยังอ้างตนว่าเป็นสํานักอันไร้เทียมทานอีกงั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนทอดถอนใจแผ่วเบา เขาผิดหวังกับสํานักอสูรเมฆาจริงๆ
ในยามที่เขายังเป็นมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์ สํานักอสูรเมฆาไม่ได้ใหญ่โตหรือทรงอํานาจดังทุกวันนี้ แต่กลับมีหลักคุณธรรมที่โปร่งใสและดีงามภายใต้การนําของราชินีอสูรเนตรสีคราม แม้จะเข่นฆ่าผู้อื่นราวกับแมลงวันแต่กลับลงมืออย่างยุติธรรมและมีเกียรติ ทว่าศิษย์สํานักอสูรเมฆาในยามนี้กลับรู้เพียงวิธีหยิบยืมอํานาจและเกียรติยศของสํานักมาใช้ประหนึ่งจิ้งจอกที่ฉกฉวยความดุดันของพยัคฆ์ร้าย!
“หลีกทาง! ทุกคนจงหลบไปทบทวนข้อผิดพลาดของตนอย่างสันโดษมาเสีย!”
ฉับพลันสุ่มเสียงเรียบนิ่งและทรงพลังดังขึ้นก่อนที่ชายร่างใหญ่จะพุ่งออกมาจากสํานักอสูรเมฆา เขามองดูคนจากสํานักหมอกเมฆาทั้งสามด้วยแววตาวูบไหว ทว่ายังคงโบกมือ และส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ “แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ไม่น่าแปลกใจที่ข้าได้ยินเสียงนกกางเขนร้องเพลงยามเช้า สํานักหมอกเมฆาและสํานักอสูรเมฆาของเราเป็นพันธมิตรกันตั้งแต่โบราณกาล ไอ้เด็กหูตามืดมัวพวกนี้คงล่วงเกินพวกเจ้า ข้านามว่า ฮั่วชาน ศิษย์รุ่นที่ห้าร้อยสิบเจ็ดแห่งสํานักอสูรเมฆา และผู้บัญชาการหน่วยผู้พิทักษ์สํานัก ขอพวกเจ้าอย่าได้โกรธเคืองพวกเขาเลย เชิญเข้ามาก่อนสิ!”
ในที่สุดผู้ทรงอิทธิพลแห่งสํานักอสูรเมฆาก็ปรากฏกายออกมาหลังเล่นตลกกันอยู่นาน
ชั่วชานร่างสูงใหญ่ผู้นี้ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าเมื่อได้พบ แต่การปรากฏตัวล่าช้าเช่นนี้บังเอิญเกินไปราวกับเขาเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ในเงามืดมาเป็นเวลานานและจงใจให้ทหารอารักขาทําให้เยี่ยฉวนและพรรคพวกขายหน้า
“ยังไม่เพียงพอ ความผิดของพวกเขาสมควรถูกมัดและตัดคอด้วยวงล้อแห่งชีวิตและความตายตามกฏของสํานักก่อนหน้านี้”
เยี่ยฉวนมองดูชั่วชานจอมเจ้าเล่ห์พลางกล่าวคําพูดที่น่าตกใจ!
เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางผู้โล่งใจได้เพียงครู่เดียวพลันตัวสั่นเทาและกรีดร้องอยู่ในใจ สีหน้าของฮั่วชานที่ยิ้มกริ่มอยู่ก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน แววตาทอประกายมุ่งร้ายและพลังงานรุนแรงแผ่ซ่านออกจากร่าง เสื้อผ้าบนร่างของเยี่ยฉวน และผู้อื่นพัดปลิวแม้ไม่มีลม ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นตรงหว่างคิ้วราวกับมีกริชที่มองไม่เห็นจ่ออยู่และพวกเขาอยู่บนปากทางสู่ความตาย