ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 134 ช้าก่อน! ศิษย์น้องฮั่วชาน
ผู้พิทักษ์ฮั่วชานของสํานักเมฆาอสูรที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งยังต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีในตอนแรกแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุดันพร้อมแผ่จิตสังหารเย็นเยือก!
หยางเทียนกวงรีบก้าวไปด้านหน้าพลางยืนคั่นกลางระหว่างเยี่ยฉวนกับอีกฝ่ายก่อนกล่าวออกด้วยน้ําเสียงร้อนรน “ผู้พิทักษ์ฮั่วโปรดอภัย! แม้เยี่ยฉวนเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆา ทว่าเขายังเยาว์วัยนักและไม่รู้วิธีการพูดที่เหมาะสม ผู้พิทักษ์ฮั่วโปรดระงับความโกรธเคืองและอภัยให้เขาด้วย!”
แม้หยางเทียนกวงไร้ความกล้าหาญและขาดความมั่นใจ แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเขากลับปราดเข้าปกป้องอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล!
“อย่างนั้นหรือ”
ชั่วชานกลอกตากลอกตาพลางสํารวจเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเย็นชา เห็นได้ชัดว่าความขุ่นเคืองในใจของเขายังไม่จางลง
จ้าวต้าจื่อกระตุกชายเสื้อของเยี่ยฉวน ส่วนผู้พิทักษ์หยางก็มองมาที่เขาพลางส่งสายตาสื่อความเป็นเชิงให้เขารีบขออภัยโดยเร็ว
พวกเขาแบกสังขารอันอ่อนล้ามายังสํานักอสูรเมฆาด้วยความยากลําบาก อย่างน้อยขอเพียงเข้าไปเจรจากับบุคคลระดับสูงของสํานักก็ยังดี ต่อให้เยี่ยฉวนมีอุปนิสัยเย่อหยิ่งเพียงใดก็ต้องขอโทษจึงจะเป็นการดีที่สุด ไม่เช่นนั้นแผนการทั้งหมดคงล้มเหลว!
“ข้าน้อยกล่าววาจาล่วงเกิน ขอผู้พิทักษ์โปรดอภัย”
เยี่ยฉวนปริปากทําลายความตึงเครียดในที่สุด ผู้พิทักษ์หยางผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก…แม้อีกฝ่ายเย่อหยิ่งทว่าไม่ดื้อรั้น เขายังรู้กาลเทศะว่าเมื่อใดควรก้าวและเมื่อใดควรล่าถอย
ส่วนผู้พิทักษ์ชั่วชานแห่งสํานักอสูรเมฆาก็ผ่อนลมหายใจเช่นกัน ใบหน้าของเขาคลายความเคร่งขรึมลงอย่างพึงพอใจ
เขาเตรียมพร้อมให้การต้อนรับเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีบางคนจากสํานักหมอกเมฆามาเยือนยังสํานักในเร็วๆนี้ แต่กฏก็ต้องว่าไปตามกฎแม้อีกฝ่ายจะขออภัยและชี้แจงจุดประสงค์อย่างชัดเจนในการมาครั้งนี้ ถึงกระนั้นเขาก็ต้องส่งข้อความถึงผู้ใหญ่ระดับสูงเพื่อบอกกล่าว
ด้วยอํานาจบารมีของสํานักอสูรเมฆาในปัจจุบัน พวกเขาไม่จําเป็นต้องสนใจอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ํา แม้แต่ศิษย์ชั้นนอ กยังไม่ให้ความสําคัญยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าผู้อาวุโส แต่ด้วยสนธิสัญญาด้านสัมพันธมิตรเก่าแก่ทําให้เขาไม่อาจผลักไสอย่างไร้เยื่อใย หากสํานักของเขาจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของยุทธภพจําเป็นต้องกระชับสายสัมพันธ์อันดีกับสํานักอื่นๆเข้าไว้
วิธีการของฮั่วชานไม่ใช่การเพิกเฉยต่อพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็นการทําลายขวัญกําลังใจของคนเหล่านั้นก่อนกวาดล้างให้สิ้นซากในคราวเดียว!
หากแผนการเป็นไปตามที่เขาวางไว้ คณะจากสํานักหมอกเมฆาที่นําโดยผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงจะตกที่นั่งลําบาก เพราะถูกศิษย์ของสํานักอสูรเมฆากดขี่จนไม่สามารถผงาดขึ้นได้อีก และเมื่อความอดทนของพวกเขาหมดลงก็จะล่าถอยไปในที่สุด พวกเขาจะได้ตระหนักเสียที่ว่าอย่างไรสํานักหมอกเมฆาก็ไม่สามารถกลับมามีอํานาจอีกครั้ง!
ชั่วชานทํานายอนาคตเป็นฉากประหนึ่งพระโพธิสัตว์ ทว่า แผนการกลับผิดพลาดเพราะมีตัวแปรใหม่ที่เขาไม่คาดคิด เช่นเยี่ยฉวน แต่เขาคิดว่าคนเพียงคนเดียวคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตเท่าไรนัก เรื่องราวต่างๆยังอยู่ในการควบคุม แม้เด็กหนุ่มผู้นี้มีนิสัยหยิ่งทะนงแต่ผลสุดท้ายก็ยังยอมสยบต่อเขา
“ข้าล่วงเกินท่านแล้ว…”
เยี่ยฉวนกล่าวย้ําอีกครั้งด้วยน้ําเสียงสัตย์ซื่อทว่าใบหน้ากลับเรียบเฉยไร้ความรู้สึกผิด เขาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนกล่าวออก “หากหลายล้านปีก่อนศิษย์ของสํานักอสูรเมฆาละเมิดสนธิสัญญาด้านพันธมิตรเช่นนี้ พวกเขาควรถูกตัดศีรษะและบดขยี้ดวงวิญญาณไปแล้ว น่าเสียดายจริงที่สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
ทันใดนั้นสีหน้าของฮั่วชานที่เพิ่งยิ้มออกแปรเปลี่ยนเป็น เขียวคล้ําด้วยความโกรธายิ่ง!
พูดถึงโทษตัดศีรษะยังไม่พอยังพูดถึงการบดขยี้วิญญาณให้แหลกสลายอีกด้วย! ไอ้เด็กเหลือขอนี่กล้าหยามเกียรติเขาซึ่งๆหน้าเลยหรืออย่างไร?!
จ้าวต้าจื่อตัวสั่นไม่หยุดหย่อนด้วยรู้สึกว่าตนตัดสินใจผิดมหันต์ที่ติดตามเยี่ยฉวนในการเดินทางมาทําภารกิจครั้งนี้! หยางเทียนกวงเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นกัน เขาอยากปิดปากเยี่ยฉวนและบีบคอตัวเองให้ตายไปเสีย เพราะไม่ต้องการเผชิญความหายนะที่กําลังจะเกิดขึ้น!
“คนแซ่เยี่ย…เยี่ยฉวน ใช่หรือไม่?!” ฮั่วชานจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวนขณะเอ่ยถาม
อารมณ์โกรธของเขาเดือดพล่านถึงขีดสุด สถานการณ์ต่อจากนี้ย่อมร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย!
ศิษย์ชั้นนอกทั้งห้าคนรับรู้สถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าจึงถอยออกห่างไปหลายก้าวอย่างเร่งรีบเพื่อไม่ให้ตนถูกลูกห้อง
“ถูกแล้ว! เรียกข้าว่าเยี่ยฉวนก็ย่อมได้ สํานักหมอกเมฆาและสํานักอสูรเมฆาผูกพันราวครอบครัวเดียวมาเป็นระยะเวลานับล้านปี แม้เจ้าอายุมากกว่าข้าทั้งวรยุทธ์ยังสูงส่งกว่าก็จริง แต่ในแง่ความอาวุโส..เจ้าเป็นเพียงศิษย์รุ่นที่ห้าร้อยสิบเจ็ดซึ่งถือเป็นศิษย์รุ่นน้องของข้า ดังนั้นหากจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ย่อมได้เช่นกัน!”
เยี่ยฉวนเชิดหน้าขึ้นขณะกล่าวอย่างใจเย็น คําพูดของเขาทําให้ร่างอ้วนของจ้าวต้าจื่อที่หลบอยู่ด้านหลังสั่นสะท้านยิ่งขึ้น
ศิษย์พี่ใหญ่นึกเหิมเกริมอะไรขึ้นมาจึงวางอํานาจใส่ฮั่วชาน?! แค่เรียกเยี่ยฉวนยังไม่พอ…กลับต้องการให้เรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่! ไม่รู้หรือว่าอีกฝ่ายดํารงตําแหน่งเป็นผู้พิทักษ์แห่งสํานัก ทั้งยังบรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับที่หนึ่ง! หากเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ก็อย่าลากคนอื่นที่เกี่ยวข้องให้ตกกระไดพลอยโจนไปด้วยเช่นนี้สิ!
เจ้าอ้วนคร่ําครวญในใจอย่างสิ้นหวัง ส่วนผู้พิทักษ์หยาง เทียนกวงเผยสีหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด ก่อนหน้านี้เขาคิดห้ามปรามการกระทําของเยี่ยฉวน แต่ในเมื่อเหตุการณ์เลยเถิดถึงเพียงนี้คงทําสิ่งใดไม่ได้นอกจากยอมจํานนต่อลิขิตแห่งสวรรค์
“ฮ่าๆๆ! ไอ้สารเลว! ถือดีอย่างไรจึงให้ข้าเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่!”
เสียงหัวเราะของชั่วชานฟังคล้ายเสียงคํารามอย่างเกรี้ยวกราด เขารู้สึกโกรธายิง! แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกขบขันท่าทีของอีกฝ่าย “ไอ้หนู! เจ้าไม่รู้จริงๆรึว่าข้าเป็นใคร!? ถึงไม่รู้จักฮั่วชานก็ควรรู้จักศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักอสูรเมฆา…รู้หรือไม่ว่าเขายิ่งใหญ่เพียงใด?!”
“ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพาคนผู้นั้นมาแนะนําให้รู้จักทีเถิด! ข้าอยากรู้นักว่าเขามีรูปพรรณสัณฐานวิเศษเหนือผู้อื่นอย่างไร? มีสามหัว หกแขนจริงหรือไม่?!” เยี่ยฉวนตอบกลับทันควันพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างยียวนประสาท
“ฮ่าๆๆ! ประเสริฐยิ่ง! ข้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่เถียนชิงคงอยากพบศิษย์น้องต่างสํานักที่มาเยือนอย่างกะทันหันเช่นกัน! ฮ่าๆๆ! เจ้าสามคนตามข้ามา!”
ฮั่วชานเงยหน้าขึ้นพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ท่าทางโกรธเคืองพร้อมโจมตีในตอนแรกสงบลง คงเหลือเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าเท่านั้น ทว่ายังดูน่ากลัวและโหดเหี้ยมเช่นเดิม เขาเดินนํากลุ่มของเยี่ยฉวนผ่านด่านแรกที่ได้รับการป้องกันอย่างเข้มงวดเข้าไปภายใน
“ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาผู้นั้นต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่?!”
“นั่นสิ! ดูก็รู้ว่าเขาเป็นแค่คนบ้า! น่าขันเสียจริง!”
เหล่าศิษย์ชั้นนอกของสํานักอสูรเมฆาหันมาพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจและดูถูกเยี่ยฉวน จากนั้นจึงเดินตามคนทั้งสี่เข้าไปภายในสํานัก ทันใดนั้นข่าวการมาเยือนของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาก็แพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว!
เยี่ยฉวน ผู้พิทักษ์หยาง และจ้าวต้าจื่อถูกพาไปยังลานเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังเดินนามาส่งคนเหล่านี้ชั่วชานจึงหันหลังกลับทันทีโดยไม่ปริปากเอ่ยคําใด ห้วงความคิดของเขายังคงกระสับกระส่ายและยุ่งเหยิง
เขาจงใจทําให้เยี่ยฉวนและผู้ติดตามอีกสองรายได้รับความอัปยศอดสู ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผันโดยสิ้นเชิง!
ยิ่งมองเยี่ยฉวนชายหนุ่มยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ตอนแรกเขาคิดว่าคนผู้นี้เป็นเพียงชายเสียสติที่เพื่อชีวิตของตน แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ลงและไตร่ตรองดูอีกครั้งจึงรู้ว่าเรื่องนี้จัดการได้ยากกว่าที่คิด เพราะตอนนี้เขาเป็นผู้นากลุ่มคนทั้งสามผ่าน เข้ามาในสํานักอสูรเมฆาอย่างราบรื่น!
ยั่วซานตระหนักทันทีว่าตนตกหลุมพรางของเยี่ยฉวนเข้าเสียแล้ว! ความจริงข้อนี้ตอกย้ําให้เขายิ่งเจ็บใจ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะเดินห่างไปไกลเสียง เรียกก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน “ช้าก่อน! ศิษย์น้องฮั่วชาน”
“ไอ้เด็กเหลือขอนี่เหิมเกริมนัก! คิดว่าสถานที่นี้เป็นที่ของตนหรืออย่างไรจึงประพฤติตนประหนึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักอสูรเมฆาเช่นนี้?!”
ฮั่วชานระงับความขุ่นเคืองของตนอย่างสุดความสามารถขณะหันกลับไปตามเสียงเรียกอย่างช้าๆ หากเขาใช้สายตาเป็นอาวุธสังหาร…เยี่ยฉวนคงตายตกไปหลายพันครั้ง!
“ศิษย์น้องฮั่วชาน มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า…”
เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มขณะมองอีกฝ่าย เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงผ่อนคลาย “ข้ามีเวลาไม่มากนัก เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าข้าจะได้พบท่านอาวุโสเถียน ซึ่งเมื่อไร?”
“สามวันหลังจากนี้!”
ฮั่วชานกล่าวตอบพร้อมถ่มน้ําลายลงพื้น เขาขบกรามแน่นก่อนหันหลังกลับโดยเร็วด้วยกลัวว่าหากช้ากว่านี้อาจระงับโทสะไม่ได้อีกต่อไป!
จ้าวต้าจื่อและผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงหันไปมองเยี่ยฉวนด้วยความรู้สึกสับสน เห็นทีการเจรจาครั้งนี้คงสําเร็จได้ยากยิ่ง ศิษย์พี่ใหญ่กล่าววาจาล่วงเกินผู้พิทักษ์ฮั่วชานครั้งแล้วครั้งเล่า หากทําให้สํานักอสูรเมฆาขุ่นเคืองแล้วจะขอยืมเตาหลอมระดับสวรรค์ได้อย่างไร?!
ตอนนี้เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์อย่างไม่คํานึงถึงภารกิจยืมเตาหลอมระดับสวรรค์อีกต่อไป ทว่าคิดหาวิธีที่ตนจะเอาตัวรอดออกไปจากสถานที่แห่งนี้แทน!
หากพวกเขายืนอยู่ด้านนอกทางเข้าสํานักอสูรเมฆา.. เพียงหมุนกายกลับและวิ่งไปให้ไกลก็รอดพ้นแล้ว แต่เมื่อเข้ามาในถิ่นของอีกฝ่ายที่มีเหล่ายอดฝีมือและทหารอารักขาผู้แข็งแกร่งรายล้อมเช่นนี้ ต่อให้ต้องการหลบหนีก็คงไปได้ไม่ไกล!