บทที่ 59 ก็แค่หนู
ไม่นานเยี่ยฉวนก็มาถึงยอดเขาเมฆาสีครามอันเป็นที่พำนักของจูซือเจียอย่างรวดเร็ว
ยอดเขาเมฆาสีครามไม่ได้สูงตระหง่านดั่งเช่นยอดเขาเมฆาอินทนิล แต่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสวยงาม ยอดเขาถูกปกคลุมด้วยดอกไม้สีม่วงและแดงสดอีกทั้งยังมีต้นไผ่จำนวนมาก ยามลมพัดเกิดเสียงกอไผ่เสียดสีทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่ง
สถานะของจูซือเจียนั้นไม่ธรรมดา นางเป็นถึงไข่มุกเม็ดงามในมือของอาวุโสสูงสุด แม้ยอดเขาเมฆาสีครามจะวิจิตรงดงามและมีปราณแห่งจิตวิญญาณโลกหนาแน่น ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของจูซือเจียแม้จะปรารถนาเพียงใดก็ตาม สาวใช้มองเห็นเยี่ยฉวนมาแต่ไกล แทนที่จะต้อนรับ พวกนางกลับหันหลังให้เขาและรีบปิดประตูใหญ่ของลานกว้างแห่งยอดเขาเมฆาสีครามขวางกั้นไว้
“นายเป็นอย่างไรสาวใช้ก็เป็นอย่างนั้นจริงด้วย!” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ เขาก้าวไปข้างหน้าและเคาะประตูโดยไม่ได้โกรธเคืองอันใด “เปิดประตู เปิดประตูให้ข้าเร็วเข้า”
“เจ้าเป็นใคร?” เสียงกังวานใสดังออกมาจากด้านใน จูซือเจียไม่ได้เอ่ยคำใดแต่เขารู้ว่านางอยู่ข้างในแน่นอน
“ข้าเอง ศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวน เปิดประตู ไม่เช่นนั้นข้าจะตีก้นเจ้าเสีย” เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงการตีบั้นท้ายอวบแน่นของจูซือเจีย
“แม่นางไม่อยู่เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่กลับไปเสียเถิด” สาวใช้ยังคงไม่ยอมเปิดประตู
“แม่สาวน้อย ข้าไม่ได้มาพบแม่นางของเจ้า ข้ามาพบเจ้าต่างหาก” เยี่ยฉวนเคาะประตูต่อไป คำพูดของเขาทำให้สาวใช้หวาดกลัวขึ้นมา นางไม่ทันได้ตั้งตัวจึงหันไปกระซิบหารือกับจูซือเจียและผู้อื่นว่าจะรับมือกับเยี่ยฉวนอย่างไร จังหวะนั้นเองเยี่ยฉวนใช้พลังเพียงเล็กน้อยผลักบานประตูใหญ่จนเกิดรอยแตกเล็กๆ และเห็นสตรีชุดแดงได้อย่างชัดเจน นางไม่ใช่ใครไหนอื่นนอกจากจูซือเจีย
“พวกข้ากำลังไล่จับหนูอยู่ ปิดประตูเสีย ข้าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งนั้น” จูซือเจียรีบพุ่งมาปิดประตูด้วยความโมโห เกิดเสียงครืดคราดขึ้นเมื่อพวกเขาลากโต๊ะและม้านั่งมาขวางประตูเอาไว้
แม้จูซือเจียจะดื้อรั้นและปากร้ายแต่ก็ตรงไปตรงมาและมั่นใจ ครั้งนี้นางไม่แม้แต่จะมองหน้าของเยี่ยฉวน ดูท่าจะโกรธเคืองเขาไม่ใช่น้อย ลืมเรื่องการเกี้ยวพาราสีกันไปได้เลย ประเด็นคือเขาไปกับหลิวหงผู้เลื่องชื่อโดยไม่คาดคิดมิหนำซ้ำยังยินดีไปอย่างเต็มใจอีกด้วย จะไม่ให้นางโกรธเคืองได้อย่างไรกัน?
จูซือเจียและเหล่าสาวใช้กั้นประตูไว้แน่นหนา แม้แต่รอยแตกระหว่างประตูและขอบประตูก็ไม่เว้น
ทันใดนั้น เสียงเคาะน่ารำคาญก็หยุดลง ภายนอกประตูนั้นเงียบเชียบราวกับเยี่ยฉวนยอมจากไปเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น
“ฮึ่ม ไปแล้วจริงหรือ? ไร้ประโยชน์เสียจริง!”
จูซือเจียพ่นลม ในใจกลับเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ช่างน่าโมโหนัก แค่ยอมกล่าวคำขอโทษเสียหน่อยมันจะตายหรืออย่างไร? จ้าวต้าจื่อนั้นอ้อนวอนกว่าครึ่งวันจนแทบจะคุกเข่าจึงได้รับอนุญาตให้เข้ามา
จูซือเจียเดินกระฟัดกระเฟียดด้วยความเกรี้ยวกราดก่อนจะกระแทกกายลงบนเก้าอี้นุ่มสบายตัวใหญ่ สาวใช้ผู้ช่างสังเกตและมีไหวพริบรีบกุลีกุจอรินน้ำชาให้ จูซือเจียเปิดฝาออกเป่า จังหวะที่กำลังจะยกขึ้นจิบนั้นพลันได้ยินเสียงฝีเท้าจากขั้นบันได เยี่ยฉวนเดินลงบันไดมาอย่างสบายอกสบายใจ ในมือข้างหนึ่งมีหนูตัวใหญ่กำลังดิ้นรนตะเกียกตะกาย เขามองจูซือเจียด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจียเจีย พวกเจ้าพยายามจะจับเจ้าหนูตัวนี้กันหรือ? ไหนดูซิว่ามันเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย?”
“กรี๊ด…”
จูซือเจียและเหล่าสาวใช้พร้อมใจกันกรีดร้องและถอยไปกระจุกรวมกัน ระดับการฝึกตนของพวกนางไม่ได้ต่ำต้อย ต่อหน้าศิษย์อื่นแล้วพวกนางทั้งมั่นใจและหยิ่งยโส แต่บัดนี้หนูเพียงตัวเดียวกลับทำให้หวาดกลัวจนตัวสั่น เยี่ยฉวนเห็นดังนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
“หนูตัวใหญ่มากแต่กลับโชคร้ายไม่มีกระเจี๊ยวเสียนี่ ตัวใหญ่เสียเปล่า! น่าแปลก น่าแปลกจริงๆ หญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง มันไม่น่าจะเป็นเช่นนี้มาแต่แรก พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งตอนมันหรือเปล่า?” เยี่ยฉวนพลิกหนูตัวนี้ไปมาเพื่อพินิจดูว่าเป็นตัวเมียหรือตัวผู้ด้วยท่าทีจริงจัง ก่อนจะย่างเท้าเข้าหาจูซือเจียและเหล่าสาวใช้ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ทำให้พวกนางกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง
“พอแล้ว เยี่ยฉวน โยนมันทิ้งไปเดี๋ยวนี้!” จูซือเจียตวาดอย่างโกรธจัด
“เยี่ยมไปเลย ตอนแรกเจ้าตอนมันแล้วตอนนี้ก็จะโยนมันทิ้งไปเสีย อา! ล่อลวงแล้วก็ทิ้งขว้าง พวกเจ้าเป็นคนเช่นนี้นี่เอง”
เยี่ยฉวนโยนหนูในมือออกไปนอกหน้าต่าง ปัดมือของเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่จูซือเจียนั่งอยู่เมื่อครู่ “เอาล่ะเจียเจีย มาคุยธุระของเรากันเถิด เหตุใดเจ้าอ้วนจึงยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ชั้นในอีกทั้งที่เขาบรรลุขั้นซิวฉือระดับหนึ่งแล้ว? เจ้ามีปัญหากับข้าแต่ไปคิดบัญชีกับเจ้าอ้วนแทนอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านมาที่นี่เพื่อต่อว่าข้างั้นหรือ?”
จูซือเจียค่อนข้างประหลาดใจ นางคิดว่าเยี่ยฉวนจะมาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องรายชื่อผู้เข้าประลองในการประลองอันยิ่งใหญ่ ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อเจ้าอ้วน “ฮึ่ม นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเจ้าอ้วน เหตุใดท่านจึงยื่นมือเข้ามายุ่ง?”
เยี่ยฉวนไม่ตอบ ท่าทีสงบนิ่งของเขาทำให้จูซือเจียว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก เขาเอ่ยเสียงต่ำหลังผ่านไปพักหนึ่ง “ครอบครัวของเจ้าอ้วนกำลังมีปัญหา พวกเขาบังเอิญไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้าจนสถานะทางการเงินไม่สู้ดีนัก บิดาของเขาถูกซ้อมเจียนตาย ซ้ำร้ายครอบครัวของเขายังไม่มีเงินทองพอจะรักษาอาการบาดเจ็บของพ่อ เจ้าอ้วนจึงต้องออกจากสำนักและกลับบ้าน”
“อะไรกัน ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือ?”
จูซือเจียอุทานก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเยี่ยฉวน ลืมเรื่องหนูที่น่าเกลียดน่ากลัวไปหมดสิ้น “เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าอ้วนไม่ได้บอกเจ้าหรอกหรือ?” เยี่ยฉวนถามอย่างประหลาดใจ
จูซือเจียสั่นศีรษะ สีหน้าจริงจังของเยี่ยฉวนบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก หยาดน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันใด เจ้าอ้วนติดตามนางไปทุกที่มาตลอดหลายปี มิตรภาพระหว่างพวกเขานั้นแน่นแฟ้นแม้นางจะตะคอกและทะเลาะกับเขาอยู่บ่อยครั้ง จูซือเจียจึงรู้สึกเศร้าโศกในจิตใจอย่างมากเมื่อได้ยินข่าวเรื่องครอบครัวของเจ้าอ้วนเช่นนี้
“แล้วเรื่องการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ชั้นในเล่า? เจ้าจะล้อเล่นเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้หรือ?” เยี่ยฉวนเข้าใจว่าการที่จูซือเจียไปคิดบัญชีกับเจ้าอ้วนนั้นทำไปเพื่อระบายอารมณ์โกรธ แต่การทำให้เรื่องสำคัญเช่นนี้ล่าช้าและไม่แสดงความใส่ใจก็ออกจะน่าผิดหวังเกินไป เจ้าอ้วนต้องการกำลังใจเป็นอย่างมากในยามที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตเช่นนี้
“อันที่จริงหลังจากเจ้าอ้วนบรรลุขั้นซิวฉือ ข้าได้ช่วยเขาแล้ว แต่ติดอยู่ที่จินจื่อคุน ตาแก่นั่นใช้ความเป็นเจ้าหอแปรธาตุมาขัดขวางไม่ให้เจ้าอ้วนได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ชั้นใน จินจื่อคุนไม่ได้มีอำนาจมากพอจะละเมิดกฎของสำนักอย่างร้ายแรงเช่นนี้ ข้าเดาว่าอาวุโสอันดับสามคงมีส่วนรู้เห็นด้วย พวกเขาคงเห็นว่าเจ้าอ้วนสนิทสนมกับเจ้าจึงจงใจสร้างความลำบากให้เขา” จูซือเจียใจเย็นลงและเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
“ฮึ่ม ไอ้พวกหมาแก่นั่นอีกแล้วหรือ?”
แววตาของเยี่ยฉวนวูบไหว เขาไม่เคยคิดเลยว่าสำนักหมอกเมฆาที่สืบทอดมาจากราชาโอสถหัตถ์วิญญาณตั้งแต่กาลก่อนจะเกิดเรื่องสกปรกเช่นนี้!
“ข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ คงต้องขอให้ท่านปู่ช่วยจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม จินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสามขัดขวางได้เพียงครู่เท่านั้น พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ตลอดไป ถึงอย่างไรเจ้าอ้วนต้องเลื่อนเป็นศิษย์ชั้นในและช่วยเหลือตระกูลให้จงได้!” จูซือเจียพูดอย่างหนักแน่น เห็นได้ชัดว่านางจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย
“อืม เจียเจีย ข้าคงต้องรบกวนเจ้าในเรื่องนั้น จะปล่อยให้หมาแก่พวกนั้นได้สมใจไม่ได้หรอก โอ้จริงสิ อาวุโสสูงสุดให้ข้ามาหาเจ้า มีผู้ใดเหมาะจะเข้าร่วมการประลองอันยิ่งใหญ่หรือไม่? การประลองจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้ว” เยี่ยฉวนถามขึ้น
“ยังต้องคิดอีกหรือ แน่นอนว่าต้องเป็นเหล่าศิษย์ชั้นเลิศประจำสำนักอย่างหนานเทียนตู อี้สั่ว…”
จูซือเจียตอบ เมื่อพูดไปได้เพียงบางส่วนก็ชะงักเมื่อตระหนักได้ว่านางโดนเยี่ยฉวนหลอกอีกครั้งแล้ว นางเลิกคิ้วและพูดด้วยความโมโห “เฮ้ นี่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่หรือ? ท่านปู่โยนเรื่องนี้มาเป็นธุระของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ใช่ จริงอยู่ว่ามันเป็นหน้าที่ของข้า แต่เจียเจีย เจ้าว่าจะมีผู้ใดต่อกรกับเหล่าปรมาจารย์จากสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ได้?” เยี่ยฉวนถามยิ้มๆ
“ฮึ่ม ข้าไม่บอก” จูซือเจียมองรอยยิ้มนั้นด้วยสายตาดุดัน ยิ่งเยี่ยฉวนยิ้มกว้างเท่าใดนางยิ่งไม่อยากพูดและโมโหขึ้นเท่านั้น
“จะไม่บอกจริงหรือ?” เยี่ยฉวนยังคงยิ้มขณะมองดูจูซือเจีย
“ไม่”
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าไปล่ะ”
เยี่ยฉวนลุกขึ้นเดินจากไป ครั้งนี้เขาจากไปจริงๆ ทิ้งให้จูซือเจียได้แต่มองตามหลัง นางต้องการทำให้เรื่องยากเพื่อกดดันเยี่ยฉวน แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะหนีไปก่อนที่นางจะใช้เหยื่อล่อได้สำเร็จ!
เยี่ยฉวนเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ เขามาเยือนยอดเขาเมฆาสีครามในครั้งนี้ด้วยเรื่องของเจ้าอ้วนเป็นหลักส่วนเรื่องรายชื่อผู้เข้าประลองนั้นเป็นเรื่องรอง แต่ยังไม่ทันจากไปไกล สาวใช้ของจูซือเจียก็เหยียบกระบี่บินตามมาและยื่นกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียนไว้อย่างบรรจงให้ แม้จูซือเจียจะรู้สึกไม่ดีและทำท่าทีฉุนเฉียว แต่นี่อาจเป็นเรื่องสำคัญของเยี่ยฉวน นางจึงเขียนรายชื่อปรมาจารย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดในสำนักหมอกเมฆาเพื่อเป็นการช่วยเหลือ อีกทั้งยังช่วยเน้นรายชื่อผู้ที่ผ่านการฝึกตนอย่างลึกซึ้งและไว้วางใจได้และตัดรายชื่อผู้ที่อาวุโสลำดับสามและจินจื่อคุนเชื่อใจออกไป
ภายนอกจูซือเจียอาจดูหัวแข็งแต่แท้จริงแล้วนั้นมีจิตใจอ่อนโยน นางช่างมีน้ำใจคิดถึงผู้อื่นจึงได้เตรียมรายชื่อผู้เข้าร่วมการประลองไว้ให้
“ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจอะไรเช่นนี้ แต่ข้าชอบนะ”
เยี่ยฉวนยิ้ม เก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป