Super God Gene – ตอนที่ 1983

หานเซิ่นรู้สึกว่าลมปราณหยกรอบๆตัวบริสุทธิ์ขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งมันทำให้วิชากายหยกของเขาพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไปได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ระยะเวลาที่ลมปราณหยกปะทุขึ้นมานั้นสั้นเกินกว่าที่จะตอบสนองความต้องการของหานเซิ่นได้ เมื่อลมปราณหยกหายไปแล้ว หานเซิ่นก็ยังต้องการเพิ่มอีก

 

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” เมื่อหานเซิ่นลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นชายที่ดูหยิ่งยโสมองมาที่เขา เสียงของชายคนนั้นฟังดูเย็นชา

 

“หานเซิ่น ชื่อของเจ้าล่ะคืออะไร? และเจ้าต้องการอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม

 

“เจ้าจะเข้าร่วมการสอบของปีนี้ไหม?” ชายคนนั้นไม่ตอบคำถามของหานเซิ่น แต่กลับถามอีกคำถามของตัวเอง

 

หานเซิ่นคิดว่าชายคนนี้มีนิสัยประหลาด แต่เขาก็ยินดีจะตอบคำถาม
“ข้าไม่รู้ บางทีข้าอาจจะเข้าร่วม หรือบางทีอาจจะไม่”

 

“โอ้” ชายคนนั้นมองหานเซิ่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินลงบันไดไป

 

“นี่เขาเป็นบ้าหรือยังไง?” หานเซิ่นยักไหล่และเดินลงบันไดไปเช่นกัน

 

เมื่อหานเซิ่นลงไปที่ชั้น 6 ชายคนนั้นก็ได้หายตัวไปแล้ว แต่เมื่ออวี้จิงมองเห็นหานเซิ่น เขาก็เดินเข้ามาหาหานเซิ่นในทันที

 

“ศิษย์น้องหาน เจ้าว่างหรือเปล่า? ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกันเจ้า?” อวี้จิงพูด

 

“ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องไปทำ ถ้าเจ้ามีเรื่องอยากจะคุย คืนนี้ไปที่บ้านของข้า” หานเซิ่นพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องไปพบกับยวิ๋นซู่อี

 

“ตกลง” อวี้จิงตอบตกลง หลังจากนั้นเขาก็เดินลงบันไดไปพร้อมกับหานเซิ่น

เมื่อพวกเขาลงไปถึงชั้นที่ 4 ยวิ๋นซู่อีก็กำลังรอหานเซิ่นอยู่ที่นั่น เธอยิ้มให้กับเขา

 

“ศิษย์น้องหานนัดเจอกับผู้หญิงอย่างนั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอตัวก่อน!” เมื่ออวี้จิงเห็นยวิ๋นซู่อี เขาก็ยิ้มให้กับหานเซิ่นก่อนที่จะเดินจากไป

 

“ทำไมเจ้าถึงลงมาพร้อมกับเขา?” ยวิ๋นซู่อีถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

“ทำไม? มันมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นดูสับสน

 

“หมอนั่นเป็นคนที่โลภมาก เขามักจะเล่นขี้โกงและใช้กลลวงทุกอย่าง ชื่อเสียงของเขาในปราสาทนภาจึงไม่ดีเท่าไหร่นัก ข้าขอแนะนำให้เจ้าอยู่ห่างๆเขาเอาไว้จะดีกว่า” ยวิ๋นซู่อีบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่อวี้จิงเคยทำเอาไว้

 

หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็พาหานเซิ่นไปที่เกาะของเธอ เกาะของเธอใหญ่กว่าเกาะของหานเซิ่นมาก บนเกราะมีศาลาที่อยู่ติดกับน้ำพุในสวน มันดูเป็นสถานที่ที่สะดวกสบายกว่าของหานเซิ่นมาก

 

“ตรงนี้ล่ะกัน ช่วยข้าตรวจเช็ควิชานี้หน่อยว่ามีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้องบ้าง? ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ”
ยวิ๋นซู่อีพาหานเซิ่นเข้าไปในศาลาที่อยู่ในสวน

 

หานเซิ่นพูด “แสดงมันให้ข้าดูหน่อย ข้าจะได้ลองดูว่าจะระบุปัญหาของมันได้ไหม”

 

ยวิ๋นซู่อีพยักหน้าและเดินออกไปในสวน หลังจากนั้นเธอก็ชักมีดเล่มหนึ่งออกมาและเริ่มแสดงวิชามีดให้หานเซิ่นดู

 

หานเซิ่นมองดูเธอและขมวดคิ้ว ยวิ๋นซู่อีเพิ่งจะฝึกวิชานี้ได้ไม่นาน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เชี่ยวชาญมันเลยสักนิดเดียว ถ้ามันมีปัญหาล่ะก็ มันก็เป็นเพราะเธอยังฝึกฝนไม่พอ เธอไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกวิชานั้นระดับมือใหม่ด้วยซ้ำ

 

หานเซิ่นรู้ตัวว่าเธอไม่เคยใช้มีดมาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับวิชามีดมากนัก มันเห็นได้ชัดว่าเธอเริ่มฝึกมันเพื่อเป็นหนทางที่จะได้พูดคุยกับหานเซิ่น

 

แต่ยวิ๋นซู่อีไม่ได้เลือกวิชามามั่วๆเพียงเพื่อจะหลอกหานเซิ่น วิชามีดที่เธอเลือกนั้นมีชื่อว่า ‘ใต้นภา’ มันถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักดาบของปราสาทนภา เขาต้องการจะคิดค้นวิชามีดสำหรับปราสาทนภาขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันมีปัญหา 7 อย่างที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเรียกวิชามีดนี้ว่าใต้นภา เพราะมันยังไม่ถึงระดับที่ถูกคาดหวังเอาไว้

 

หลายคนพยายามจะปรับแต่งวิชาใต้นภา และปัญหาของมันก็ถูกแก้ไขโดยอัจฉริยะหลายรุ่นของปราสาทนภา แต่มันยังมีปัญหาอยู่อีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำให้มันกลายเป็นวิชาของปราสาทนภาอย่างเป็นทางการได้

 

ยวิ๋นซู่อีเลือกวิชานี้โดยหวังว่าหานเซิ่นจะสามารถระบุปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไขได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าเธอทำอย่างนั้นมันก็จะเป็นข้ออ้างที่ช่วยให้เธอใกล้ชิดกับเขามากขึ้น

 

หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ายวิ๋นซู่อีเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนการใช้มีด แต่เขาก็ยังคงหลงใหลกับวิชามีดนั้น มันแตกต่างจากวิชามีดเขี้ยวดาบอย่างมาก

 

หานเซิ่นคิดว่ามันมีศักยภาพไม่ต่างไปจากวิชาเขี้ยวมีดเขี้ยวดาบ แต่เมื่อยวิ๋นซู่อีแสดงมันออกมา มันก็เห็นได้ชัดว่าวิชานี้มีปัญหาบางอย่างอยู่

 

ถึงแม้มันจะเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ แต่มันก็ลดศักยภาพของวิชาลงอย่างมาก ในการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือนั้นจะถูกตัดสินกันที่รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด ดังนั้นปัญหาเพียงเล็กน้อยก็สามารถตัดสินระหว่างความเป็นความตายได้

 

“หานเซิ่น เจ้าบอกได้ไหมว่าวิชานี้มีปัญหาอะไรกันแน่? ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ” หลังจากที่ยวิ๋นซู่อีแสดงให้ดูเสร็จแล้ว เธอก็เดินกลับเข้ามาในศาลา

 

เนื่องจากวิชาใต้นภายังไม่สมบูรณ์ ทางปราสาทนภาจึงไม่ได้อนุญาตให้ศิษย์ของพวกเขาฝึกมัน มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของวิชานี้ เธอรู้ว่าหานเซิ่นต้องไม่เคยเห็นมันมาก่อนอย่างแน่นอน และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอเลือกมัน

 

แต่ถึงแม้วิชาจะสมบูรณ์ มันก็จะไม่ถูกเปิดให้ศิษย์ทุกคนในปราสาทนภาอยู่ดี คนส่วนใหญ่จะได้ยินแค่ชื่อของมันเท่านั้น

 

หานเซิ่นไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมาก เขาเชื่อว่ายวิ๋นซู่อียังไม่ได้ฝึกมันอย่างจริงจัง และนั่นเป็นเหตุผลที่มันมีปัญหา เขาไม่ได้คิดว่ามันมีปัญหาอะไรกับตัววิชา

 

“เทคนิคของมันซับซ้อนอย่างมาก ดังนั้นข้าคงจะบอกอะไรไม่ได้ เจ้าช่วยแสดงมันให้ข้าดูอีกครั้งได้ไหม?” หานเซิ่นไม่ได้ขอดูตำราของวิชา

 

วิชานี้ทัดเทียมกับวิชามีดเขี้ยวดาบ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการฝึกฝนมัน แถมเขาเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง ดังนั้นการขออ่านวิชาจีโนอาจจะเป็นอะไรที่เสียมารยาทอย่างมาก

 

ยวิ๋นซู่อีตกลงที่จะแสดงวิชาใต้นภาอีกครั้งด้วยความยินดี

 

“มันมีปัญหาบางอย่างอยู่จริงๆ แต่ข้ายังไม่เข้าใจมัน ข้าจะพยายามคิดเกี่ยวกับมันดูเมื่อข้ากลับไปแล้ว” หานเซิ่นไม่ได้มุ่งเน้นที่การใช้มีดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ในเรื่องการใช้มีด เขาไม่สามารถให้สัญญาได้ว่าจะแก้ไขปัญหาของมันได้

 

แต่มันมีลักษณะสามัญบางอย่างที่เชื่อมโยงทุกวิชาเอาไว้ และหานเซิ่นก็มีความรู้และประสบการณ์มากมาย ดังนั้นเขามีแผนจะพยายามแก้ไขปัญหาของมัน เพราะการพยายามแก้ปัญหาของมันจะส่งผลดีต่อวิชามีดของเขา ไม่ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม

 

เพราะยังไงซะในช่วงนี้หานเซิ่นก็ใช้มีดมากกว่าอาวุธอื่นๆ และเขาก็ยังมีมีดเขี้ยวผีสิงที่เป็นอาวุธระดับราชัน ดังนั้นเขาจึงอยากเรียนรู้เกี่ยวกับวิชามีดมากขึ้น

 

“รบกวนด้วย” ยวิ๋นซู่อียิ้มและพาหานเซิ่นกลับไปส่ง เธอมีแผนที่จะใช้วิชานี้เป็นข้ออ้างในการพูดคุยกับหานเซิ่น เธอต้องการจะใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้

 

เมื่อยวิ๋นซู่อีไปส่งหานเซิ่นเสร็จแล้วและกลับมาที่บ้านของตัวเอง ยวิ๋นซู่ซางก็มาปรากฏตัวในสวนของเธอ

 

“ซู่อี นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”

 

“เปล่าหนิ ข้าแค่ขอให้หานเซิ่นช่วยดูวิชาของข้าเท่านั้นเอง หลังจากนั้นข้าก็พาเขากลับไปส่งที่บ้าน” ยวิ๋นซู่อีพูด

 

ยวิ๋นซู่ซางมองไปที่ยวิ๋นซู่อีและพูด “ปัญหาของวิชาใต้นภาไม่มีทางแก้ไขได้เพียงแค่การมองแบบผิวเผิน ถ้าเขาทำแบบนั้นได้จริง ผู้อาวุโสหลายคนก็คงใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่าในการพยายามแก้ไขวิชาใต้นภา”

 

ยวิ๋นซู่อีหน้าแดง เธอพูดขึ้นว่า “ทำไมพี่ถึงต้องมาแอบดูพวกเราด้วย?”

 

“ซู่อี อย่าหลงลืมฐานะของตัวเอง เจ้าควรจะรู้ว่าอะไรที่เจ้าทำได้และอะไรที่เจ้าทำไม่ได้ หานเซิ่นไม่ใช่คนของปราสาทนภา เจ้าต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นมีแต่จะทำให้เจ็บปวดเปล่าๆ” ยวิ๋นซู่ซางถอนหายใจ

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset