ใบหน้าของกู่ชิงเฉิงนั้นงดงามจนน่าใจหาย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับเธออย่างหานเซิ่นก็ยังพบว่าตัวเองจ้องมองความงดงามของเธออยู่เป็นครั้งคราว เวรี่ไฮหนุ่มนั้นเพียงแค่มองเธอชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่จะหันไปทางอื่น เขาสามารถควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี
เอ็กซ์ควิสิทเองก็มองไปที่กู่ชิงเฉิงเช่นกัน แต่สายตาของเธอไปหยุดที่หานเซิ่นเป็นเวลานานกว่า เพราะยังไงซะเขาก็นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้มีเกียรติ การประชุมนี้ไม่มีระดับเทพเจ้ามาเข้าร่วม ทุกคนที่มาต่างก็เป็นคนหนุ่มสาว แต่ถ้าใครคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าสุด นั่นก็หมายความว่าคนๆนั้นจะต้องมีชื่อเสียงและเป็นบุคคลสำคัญของปราสาทนภา
แต่สภาพของหานเซิ่นตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขาดูผอมแห้งราวกับผู้ลี้ภัยที่ไม่ค่อยได้กินอาหาร ผิวหนังของเขาติดกับกระดูก
“ข้าต้องเรียกเจ้าว่ายังไง?” เอ็กซ์ควิสิทถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น เธอเคยเห็นหานเซิ่นในวิดีโอ แต่นั่นเป็นก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้เขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยเหตุนั้นเธอจึงจดจำเขาไม่ได้
“ข้าชื่อหานเซิ่น” หานเซิ่นตอบไปตามตรง
เมื่อได้ยินชื่อของหานเซิ่น เวรี่ไฮหนุ่มคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหานเซิ่น เห็นได้ชัดว่าเขารู้เกี่ยวกับเรื่องราวของหานเซิ่น
“เจ้าก็คือคนที่เป็นเจ้าของแส้เหล็กเทพเสน่หาและโล่เมดูซ่าส์เกซอย่างนั้นหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าดูพิเศษ” เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างไร้ความรู้สึก
ที่ว่า“พิเศษ”นั้นหมายถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพของเขา เธอไม่ได้เอยชมเขาจริงๆ
ในสายตาของเธอ หานเซิ่นก็แค่โชคดีได้รับสมบัติขั้นทรูก็อต 2 ชิ้นมา เธอเชื่อว่าความแข็งแกร่งจริงๆของเขาไม่ได้พิเศษอะไร
หานเซิ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขารู้ว่าเอ็กซ์ควิสิทไม่ได้ชมเชยเขาจริงๆ
“ถ้าไม่มีใครมีคำถาม ข้าก็ขอเริ่มก่อน พวกเรามาพูดเกี่ยวกับวิชาฟีโนมีนอนกัน” เวรี่ไฮหนุ่มพูด
หลังจากที่เขาพูดออกมาแบบนั้น สีหน้าของศิษย์ของปราสาทนภาก็ดูตึงเครียดขึ้นมา ฟีโนมีนอนเป็นวิชาลับของปราสาทนภา ถึงแม้มันจะไม่ได้พิเศษเหมือนอย่างตำราไร้อักษรก็ตาม
ในตอนที่ชายคนนั้นพูดว่าต้องการจะพูดเกี่ยวกับวิชาฟีโนมีนอน มันก็เหมือนเป็นการพูดอ้อมๆว่า “วิธีการฝึกวิชาจีโนของพวกเจ้ามันแย่ ให้ข้าแสดงให้ดูว่ามันต้องฝึกยังไง”
วิธีการพูดของเวรี่ไฮหนุ่มนั้นทำให้ศิษย์ของปราสารทนภาหลายคนไม่พอใจ แต่พวกเขานั่งอยู่ต่อหน้าสมาชิกของเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำอะไร
ศิษย์ของปราสาทนภาจ้องมองไปที่ชายคนนั้นและรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
หานเซิ่นบอกได้ว่าชายคนนั้นจงใจเลือกวิชาจีโนตัวนี้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองต่อหน้าคนหนุ่มสาวของปราสาทนภา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพูดออกมาแบบนั้น
หานเซิ่นเองก็อยากจะฟังเขาเช่นกัน เวรี่ไฮหนุ่มคนนั้นมีชื่อว่าปี้ซี หานเซิ่นอยากรู้ว่าเขามีมุมมองในวิชาฟีโนมีนอนยังไง
“ฟีโนมีนอนหมายถึงปรากฏการณ์ของจักรวาล ฟีโนมีนอนเป็นเหตุผลของการมีอยู่ของชีวิต แต่ผู้คนนั้นโง่เขลา และพวกเขาไม่อาจจะมองทะลุผ่านสิ่งต่างๆโดยปราศจากปรากฏการณ์ ผู้คนจำเป็นต้องเห็นสัญญาณที่ชัดเจนเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ไม่รู้”
ศิษย์ของปราสาทนภาไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร มันเป็นแค่การพูดที่ไม่ได้มีความหมายอะไร ถ้าพวกเขาต้องไปเป็นคนพูด พวกเขาก็คงจะพูดเหมือนๆกัน
ดูเหมือนชายคนนั้นจะรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ
“ข้าเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นเช่นกัน ข้ากำจัดความโง่เขลานี้ไปไม่ได้ และข้าไม่อาจจะมองทะลุสิ่งต่างๆโดยปราศจากปรากฏการณ์ มันมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า ‘คนเราจะเข้าใจก็ต่อเมื่อคนๆนั้นเข้าไปสัมผัสปรากฏการณ์และประสบว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร’ นั่นเรียกว่าลัทธิเต๋า”
“ในตอนที่พวกเราฝึกฟีโนมีนอน อาจารย์ของพวกเราก็บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรก มิสเตอร์ปี้ซีไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ มิสเตอร์ปี้ซีเข้าประเด็นได้เลย” ศิษย์คนหนึ่งของปราสาทนภาพูดขึ้นมา
ปี้ซีไม่ได้โกรธ เขาดูไม่ได้รู้สึกอะไร ตั้งแต่ครั้งแรกที่หานเซิ่นได้พบกับเอ็กซ์ควิสิท เขาคิดว่าเธอแค่แกล้งเสแสร้งทำเป็นไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นปี้ซี หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าไร้ความรู้สึกนั้นเป็นใบหน้าแบบเดียวกัน นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง
“ทุกคนรู้เกี่ยวกับลัทธิเต๋า แต่ในเรื่องของวิธีการที่จะเรียนรู้มัน ทุกคนต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง” ปี้ซีพูด
“ลัทธิเต๋าคือธรรมชาติ ทุกคนมีวิธีการเรียนรู้ของตัวเอง คำตอบไม่ใช่สิ่งจำเป็น” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“เหมือนอย่างที่ข้าพูดไปเมื่อครู่” ปี้ซีตอบ
“ฟีโนมีนอนนั้นหมายถึงปรากฏการณ์ของจักรวาล ถ้ามันมีปรากฏการณ์ มันก็มีกฎ ถ้ามันไม่มีกฎ มันก็จะไม่มีเหตุผล อย่างนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้มัน
ศิษย์ของปราสาทนภาคนนั้นเงียบไป เขายังคงฟังต่อไปอย่างเงียบๆ
ปี้ซีวางบางสิ่งลงบนโต๊ะตรงหน้า ทุกคนมองไปและเห็นว่ามันเป็นกล่องสีเหลี่ยมจัตุรัสที่ดูเหมือนจะทำขึ้นมาจากคริสตัล มันมีความกว้างประมานสิบเซนติเมตร
ภายในกล่องนั้นพวกเขาเห็นด้วงเต่าตัวหนึ่งที่ดูคล้ายคลึงกับคริสตัล มันดูค่อนข้างน่ารัก
ปี้ซีเปิดกล่องคริสตัลและด้วงเต่าก็ปีนออกมาอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา
“ทุกสิ่งมีชีวิตมีเส้นทางที่ต้องเดินตาม แต่การเข้าใจถึงเหตุผลของแต่ละเส้นทางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือด้วงซีโน่เจเนอิคถูกที่เรียกว่าก็อตสปิริตทัช มันเป็นซีโน่เจเนอิคที่หายากมากๆ ด้วยการมองดูมัน พวกเราจะเข้าใจถึงกฎและเหตุผล”
หลังจากนั้นปี้ซีก็ยื่นนิ้วออกมา เขาเฉือนนิ้วตัวเองและปล่อยให้เลือดหยดลงไปบนด้วงเต่า
ด้วงเต่าอ้าปากของดื่มหยดเลือดเข้าไป หลังจากนั้นมันก็หยุดนิ่งและไม่ทำการเคลื่อนไหวอีก
ทุกคนตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าปี้ซีกำลังทำอะไร
ขณะที่พวกเขามองดูอย่างเงียบๆ ด้วงเต่าที่ดื่มเลือดก็เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างประหลาด
สีเปลือกของด้วงเต่าเปลี่ยนไป ขณะที่เป็นแบบนั้นใบหน้าของมันก็บิดเบี้ยว มันดึงร่างกายใหม่ไปข้างหน้าโดยทิ้งเปลือกที่สมบูรณ์แบบเอาไว้เบื้องหลัง
และกระบวนการไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น หลังจากนั้นร่างกายของด้วงเต่าก็เริ่มจะบิดเบี้ยวอีกครั้ง มันทิ้งเปลือกที่เล็กกว่าเอาไว้เบื้องหลังอีกเปลือกหนึ่ง
ด้วงเต่าขนาดเท่ากำปั้นเปลี่ยนเปลือกของมันไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มันลอกเปลือก ร่างกายของมันก็จะเล็กลงไป ซึ่งเปลือกที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังนั้นดูเหมือนงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ ทุกเปลือกที่ถูกทิ้งจะเล็กกว่าเปลือกก่อนหน้า
ขณะที่ทุกคนมองดูด้วงเต่าเปลี่ยนเปลือกไป 9 ครั้ง ในที่สุดร่างกายของมันก็ลดลงจนเหลือขนาดเท่ากับเหรียญเล็กๆ หลังจากนั้นมันก็หยุดเคลื่อนไหวและนอนอยู่ตรงนั้นอย่างเหนื่อยล้า
ทุกคนมองไปที่ปี้ซีและรอคอยคำอธิบายของเขา พวกเขาเคยเห็นแมลงเปลี่ยนเปลือกของตัวเองมาก่อน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ปี้ซีกำลังจะบอกพวกเขา
“ก็อตสปิริตทัชที่กำเนิดมานั้นมีอ่อนไหวต่อเลือดอย่างมาก มันจะบอกถึงคุณภาพยีนของคนๆหนึ่งได้ ยิ่งยีนในเลือดแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็จะมีผลกระทบต่อตัวด้วงมากเท่านั้น โดยปกติแล้วยีนของสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำจะทำให้ด้วงเปลี่ยนเปลือกแค่ครั้งหรือ 2 ครั้ง ถ้าใครบางคนมียีนชั้นสูง ด้วงก็จะเปลี่ยนเปลือกของมัน 8-10 ครั้ง จากประสบการณ์ของข้า ถ้าใครคนหนึ่งทำให้ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกได้สิบครั้ง นั่นก็หมายความว่าคนๆนั้นมียีนที่แข็งแกร่งพอที่จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตในสักวันหนึ่ง” ปี้ซีพูด