‘ทำไมเราถึงไม่คิดเกี่ยวกับการเก็บน้ำเต้าออกมาจากถนนนภาบ้างนะ?’ หานเซิ่นคิดด้วยความเสียใจ
ขณะที่หานเซิ่นกำลังเสียใจกับความผิดพลาด หานเหยียนก็เดินไปถึงบันไดหินที่นำไปสู่ปราสาทนภา คำว่า “ปราสาทนภา” กำลังเรืองแสงสว่างไสว และความรู้สึกของมันก็เป็นอะไรที่ข่มขวัญ และทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดขี่
แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันก็รู้สึกได้ถึงความกดดันต่อตัวอักษรเหล่านั้น ถ้าพวกเขาก้าวขึ้นบันไดนี้ไป ราชันส่วนใหญ่นั้นจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองไปที่ตัวอักษรเหล่านั้น
คนของปราสาทนภาตั้งตารอดูว่าหานเหยียนจะเป็นยังไงในตอนที่เธอเดินขึ้นไปบันไดหินนั่น ผลงานของหานเหยียนบนถนนนภาเป็นอะไรที่ประทับใจ
“ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกต่อไปว่านางเป็นน้องสาวทางสายเลือดของหานเซิ่น นางแข็งแกร่งจริงๆ”
“นี่เจ้าลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่อาจารย์หานเดินขึ้นบันไดไปแล้วหรอ? เขาถูกแบกขึ้นไป ข้าไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันหรือเปล่า”
“อาจารย์หานถูกแบกขึ้นไปก็เพราะเขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพวกมัน มันไม่ใช่เพราะว่าเขาอ่อนแอ”
“เจ้าคิดว่าน้องสาวของเขาจะเข้าใจคำ 2 คำของปราสาทนภาเช่นเดียวกันอย่างนั้นหรอ?”
“นางเก็บน้ำเต้ามาราวกับว่าเด็ดลูกแอปเปิล นางเด็ดพวกมันมาถึง 4 ลูก การเข้าใจความหมายของคำทั้ง 2 คงจะไม่ได้ยากไปกว่าการเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์”
“ข้าก็คิดแบบนั้น ดูเหมือนว่าคริสตัลไลเซอร์จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสำคัญอีกครั้งหนึ่งด้วยตระกูลหาน”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน หานเหยียนก็ก้าวขึ้นไปบนบันไดหิน หานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีและกระเรียนพันขนยืนรออยู่ด้านนอกบันไดหิน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับหานเหยียน พวกเขาก็จะเข้าไปเพื่อช่วยเธอ
หานเซิ่นไม่ได้กังวลว่าหานเหยียนจะถูกบดขยี้ภายใต้ความกดดันของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภา เขากังวลว่าเธอจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำทั้ง 2 และปล่อยให้พวกมันเข้าไปในร่างกายเหมือนกับเขา ถ้าเธอเดินต่อไปไม่ไหว เขาก็จะแบกเธอขึ้นไปจนถึงด้านบน มันไม่เหมาะสมที่จะให้คนอื่นเป็นคนทำ
ส่วนในเรื่องของพรสวรรค์ของหานเหยียน หานเซิ่นมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หานเซิ่นเชื่อว่าครอบครัวของเขามีหลายคนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าตัวเขา เขาเหนือกว่าคนอื่นด้วยความพยายามและความมุ่งมั่น มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรสวรรค์
แน่นอนว่าดวงก็มีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน
เมื่อหานเหยียนก้าวขึ้นไปบนบันไดหิน เธอก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของคำทั้ง 2 ในทันที เธอช้าลงไปภายใต้น้ำหนักที่กระทันหันและหัวของเธอก็ถูกกดลง
‘เราไม่ได้เป็นตัวแทนของตัวเองเท่านั้น เราเป็นตัวแทนของพี่ชาย เราจะก้มหัวขณะที่เดินขึ้นไปสู่ปราสาทนภาไม่ได้’
ด้วยความคิดนั้น หานเหยียนเงยหน้าขึ้นและต่อสู้กับคำ 2 คำของปราสาทนภา
แต่ทั้ง 2 คำนั้นมีพลังระดับเทพเจ้า เธอไม่สามารถต้านพวกมันได้ ยิ่งเธอพยายามจะต่อสู้ แรงกดดันที่เธอได้รับก็จะเพิ่มมากขึ้น กระดูกคอของเธอเกือบจะหัก
ร่างกายขั้นสุดยอดของเธอถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับร่างกายขั้นสุดยอดราชาปลดปล่อยนภาของหานเหยียนมากนัก เขารู้แค่ว่ามันเป็นร่างกายขั้นสุดยอดธาตุเหตุและผล ส่วนเรื่องความทรงพลังของโหมดราชาปลดปล่อยนภานั้น หานเซิ่นยังไม่สามารถบอกได้ นอกซะจากว่าเขาจะได้ลองต่อสู้กับเธอ
หานเซิ่นเห็นว่าที่หานเหยียนเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์มาได้นั้นก็เป็นเพราะร่างกายขั้นสุดยอดของเธอ แต่เขาไม่แน่ใจว่าเธอทำได้อย่างไร
ในตอนนี้เมื่อหานเหยียนใช้ร่างกายขั้นสุดยอดอีกครั้ง หานเซิ่นก็ให้ความสนใจกับมันอย่างเต็มที่และพยายามเข้าใจว่ามันมหัศจรรย์อย่างไร
ผู้นำของปราสาทนภาเห็นหานเหยียนพยายามต่อสู้กับคำทั้ง 2 คำของปราสาทนภา เขาก็ยิ้มออกมาและพูดกับผู้หญิงข้างๆ “นางยังคงเป็นแค่เด็ก”
“ทุกคนเคยเป็นเด็กกันทั้งนั้น” ผู้หญิงคนนั้นพูด
“การทำอะไรที่บ้าบิ่นในวัยเด็กไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ในบ้างครั้งเด็กก็จำเป็นต้องมีแรงผลักดันแบบนั้น”
ผู้นำปราสาทนภาหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาบอกได้ว่าถึงสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใครก็สามารถบอกได้ว่าเธอชื่นชมสิ่งที่หานเหยียนกำลังทำ ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน หานเหยียนที่ถูกข่มโดยคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาก็เงยหน้าขึ้นมาและมองตรงไปข้างหน้า เธอเริ่มเดินออกไปสู่ประตูของปราสาทนภา
ยอดฝีมือของปราสาทนภาต่างดูสับสนและสงสัยว่าทำไมตอนนี้คำทั้ง 2 ของปราสาทนภาถึงไม่มีผลต่อหานเหยียน
“ไม่มีทาง! คำทั้ง 2 ของปราสาทนภาจะส่งผลต่อผู้คนที่ก้าวขึ้นมาบนบันไดหินเป็นครั้งแรก และผลของมันจะหายไปเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 นี่เป็นครั้งแรกของหานเหยียน แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร?” ผู้อาวุโสหกดูสับสน บางสิ่งดูผิดปกติ
“ไม่สิ มันส่งผลกระทบกับนางในตอนแรก แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่ส่งผลกับนางอีก นี่หานเหยียนคนนี้มีวิชาจีโนที่มหัศจรรย์แบบไหนกัน?”
“ผู้อาวุโสหก เลิกถามคำถามสักที มันคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าน้องสาวของหานเซิ่นเป็นคนปกติธรรมดาๆ” ยวิ๋นฉางคงพูดด้วยรอยยิ้ม
ยวิ๋นฉางคงตกลงรับหานเหยียนมาก็เพราะหานเซิ่นและยวิ๋นซู่อี เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเหยียนจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะถูกหวย
หานเหยียนเดินขึ้นบันไดหินไปอย่างเงียบๆ ขณะที่เธอทำแบบนั้น ศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นก็คิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติ พวกเขาเริ่มจะรู้สึกตัวว่าคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาสูญเสียประสิทธิภาพของมันไป มันยังคงทำงานและตอนนี้มันก็ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันคำทั้ง 2 ก็เรืองแสงออกมา ถ้าศิษย์ของปราสาทนภามองดูดีๆ พวกเขาก็จะเห็นว่านั่นไม่ใช่แสงจริงๆ แสงสว่างที่พวกเขาเห็นคือคลื่นของจิตใจที่แข็งแกร่งเกินไป มันก่อตัวเป็นแสงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจนมองเห็นได้
ยิ่งหานเหยียนเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ความสว่างของพลังจิตใจของคำทั้ง 2 ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน มันกลายเป็นจิตใจที่ทรงพลัง หานเหยียนเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง แต่เธอกระตุ้นพลังจากคำทั้งสองได้มากถึงขนาดนี้ นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือความจริงที่ว่าจิตใจที่ทรงพลังขนาดนั้นยังคงไม่มีผลอะไรต่อหานเหยียน
จิตใจนั้นเป็นเหมือนกับแสงของดวงจันทร์ หานเหยียนเดินขึ้นบันไดหินในชุดขาวทั้งตัวราวกับแฟรี่ที่กำลังอาบในแสงจันทร์ เส้นผมสีดำของเธอลอยในแสงจันทร์ระยิบระยับ คนหนุ่มของปราสาทนภามากมายไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้
“นางเป็นแฟรี่ที่แท้จริง” สายตาของคนหนุ่มของปราสาทนภาเป็นประกายราวกับหมาป่าที่หิวกระหาย
ขณะเดียวกันหานเหยียนก็ยังคงเดินขึ้นไปภายใต้แรงกดดันของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภา เมื่อเธอเดินพ้นบันไดขั้นสุดท้ายไป จากประสบการณ์ในอดีตของปราสาทนภา พลังจิตใจของคำทั้ง 2 คำก็จะเริ่มลดลงไป
แต่ครั้งนี้จิตใจของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาไม่ลดลง มันระเบิดราวกับภูเขาไฟ