ขณะที่ทุกคนมองดูด้วยความสับสน จิตใจของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาก็ระเบิดและบางสิ่งก็บินขึ้นสู่อากาศ
“นั่นคืออะไร?” หานเซิ่นตกใจ เขามองไปที่ยวิ๋นซู่อี เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“ข้า…ข้าไม่รู้…” ยวิ๋นซู่อีก็ตกตะลึงเหมือนกัน เธอไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
คนอื่นๆในปราสาทนภาก็ตกใจเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมีอะไรบางอย่างบินออกมาจากจารึกนั้น พวกเขาต่างก็จ้องมองไปที่มัน
สิ่งที่บินออกมาจากคำทั้ง 2 นั้นคือช้างตัวหนึ่ง มันขาวเหมือนกับหยก แต่มันมีความยาวเพียงแค่หนึ่งฟุตเท่านั้น งวงของช้างดูเหมือนจะทำมาจากคริสตัล
ทุกคนมองที่ที่ช้างน้อยด้วยความสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงปรากฏตัวออกมา
ระบบป้องกันของปราสาทนภานั้นแข็งแกร่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้ว่ามันมีซีโน่เจเนอิคซ่อนตัวอยู่ในคำจารึกนั่น
ช้างน้อยบินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันมาอยู่ตรงหน้าของหานเหยียน หลังจากนั้นมันก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับแมมมอธ
น่าแปลกที่หลังจากที่ช้างขาวปรากฏตัวออกมา พลังที่แฝงอยู่ในคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาก็หายไป
ช้างขาวยื่นงวงออกไปพันรอบร่างกายของหานเหยียน
กล้างเนื้อของหานเซิ่นตึงเครียด เขาคิดว่าช้างขาวจะทำร้ายหานเหยียน เขาจึงกระโดดออกไปข้างหน้า แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่าช้างขาวแค่ยกเธอขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน
เมื่อหานเหยียนขึ้นไปนั่งบนหลังของมันแล้ว เจ้าช้างขาวก็หันกลังและเดินลึกเข้าไปในปราสาทนภา
เมื่อเห็นว่าเจ้าช้างขาวไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายอะไร หานเซิ่นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่เขายังคงตามหลังมันไปอย่างใกล้ชิดเพื่อความแน่ใจ ผู้อาวุโสหลายคนก็รีบตามเข้าไปในปราสาทนภาเพื่อจับตาดูช้างประหลาดตัวนี้เช่นเดียวกัน
มันน่าแปลกที่ไม่มีใครรู้ว่าในคำจารึกของปราสาทนภามีช้างขาวตัวนี้ซ่อนอยู่ สถานการณ์นั้นเป็นอะไรที่แปลกจนยากที่จะเชื่อได้
แม้แต่ผู้นำของปราสาทนภาก็ลงมาดูใกล้ๆ เขาพยายามคิดหาคำอธิบายที่มาของช้างขาวตัวนี้ แต่เขาไม่สามารถคิดหาคำอธิบายอะไรออกมาได้
เพียงแค่สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของช้างขาว เขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในคำจารึกโดยที่ไม่มีใครรู้ ความจริงเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าอับอายสำหรับระดับเทพเจ้าอื่นๆภายในปราสาทนภา
แต่พวกเขารู้ในทันทีว่าช้างขาวต้องมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานร่วมกับปราสาทนภา ดังนั้นไม่มีใครพยายามจะโจมตีมัน พวกเขาแค่ตามช้างขาวไปโดยอยากรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป
“ผู้นำ ท่านรู้ไหมว่าช้างขาวนี้คืออะไร?” หานเซิ่นยังคงกังวลเกี่ยวกับหานเหยียน ดังนั้นเขาถึงถามผู้นำปราสาทนภาเมื่ออีกฝ่ายมาถึง
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้นางถูกทำร้าย” ผู้นำปราสาทนภาพูดขณะที่เดินตามช้างขาวไป
เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย แต่เขายังคงไม่รู้สึกวางใจ เขารู้สึกเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะมันฟังดูเหมือนว่าผู้นำปราสาทนภาเองก็ไม่เข้าใจว่าช้างขาวนี่มาจากไหนกันแน่
ถึงแม้สถานการณ์ที่ว่ามันมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในปราสาทนภาโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของมันจะเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ
หานเซิ่นกัดฟันและตามช้างขาวไป แต่ช้างขาวไม่ได้แสดงจิตมุ่งร้ายอะไรออกมา มันยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หานเหยียนมองลงมาและสังเกตสิ่งที่เธอกำลังขี่อยู่อย่างสงสัย ถึงแม้เธอจะประหลาดใจที่ถูกจับตัวขึ้นมาบนหลังของมัน แต่เธอก็ไม่ได้ถูกทำร้าย
“น้องเหยียน น้องเป็นอะไรไหม?” หานเซิ่นถามขณะที่ตามช้างขาวมา
“น้องไม่เป็นอะไร นี่เป็นพิธีต้อนรับบางอย่างของปราสาทนภาอย่างนั้นหรอ?” หานเหยียนถามด้วยความสงสัย
“น้องลงมาจากหลังของมันได้ไหม?” หานเซิ่นถาม
“ได้ พี่ต้องการให้น้องลงไปอย่างนั้นหรอ?” หานเหยียนถาม
“ใช่ ลงมาตอนนี้เลย” หานเซิ่นพูด
หานเหยียนบินออกจากด้านหลังของช้างขาว แต่ทันทีที่เธอบินขึ้น เจ้าช้างขาวก็ใช้งวงจับตัวเธอกลับไปนั่งลงบนหลังของมันอีกครั้ง
แต่ทว่าเจ้าช้างขาวไม่ได้ทำร้ายเธอ มันวางเธอลงอย่างนุ่มนวลและเริ่มเดินหน้าต่อไป
“ในตอนนี้ปล่อยให้นางนั่งบนนั้นไปก่อน ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้นางเป็นอันตรายใดๆ” ผู้นำปราสาทนภาพูด
ช้างขาวตัวหนึ่งบินออกมาจากคำจารึกของปราสาทนภา นั่นถือเป็นอะไรที่น่าตกใจไม่น้อย ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนคิดว่านี่เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ และพวกเขาก็อยากรู้ว่าช้างขาวนั้นคืออะไรกันแน่
แต่ศิษย์ของปราสาทนภาก็ต้องหยุดเดิน มีเพียงแค่ผู้นำปราสาทนภาและผู้อาวุโสที่ได้รับอนุญาตให้ตามมันเข้าไปต่อ
ช้างขาวแบกหานเหยียนผ่านห้องโถงของปราสาทนภา หลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงสวนของปราสาทนภา
นี่เป็นสถานที่ที่ผู้ปกครองของปราสาทนภาอยู่อาศัยตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และตอนนี้มันก็เป็นที่ของผู้นำปราสาทนภา คนปกตินั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในนี้
หานเซิ่นและคนอื่นๆตามช้างขาวเข้าไปข้างใน มันเหมือนกับสวนธรรมชาติที่มีทั้งภูเขาและกลิ่นของหญ้า มันเหมือนกับป่าเล็กๆของแฟรี่ มันพืชซีโน่เจเนอิคที่หายากกระจัดกระจายไปทั่ว เพียงแค่ภาพของพวกมันก็ทำให้หานเซิ่นยากจะหยิบมีดออกมาและเริ่มตัดพวกมัน
ช้างขาวแบกหานเหยียนเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงผนังภูเขาที่มีสระน้ำอยู่ใกล้ๆ ผนังนั้นมีคำ 2 คำสลักเอาไว้ “เอาท์เตอร์สกาย”
คำ 2 คำนั้นถูกสลักเอาไว้ขรุขระไม่เรียบร้อย ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอักษรวิจิตรมากนัก เขาก็รู้ว่าคำเหล่านี้ถูกเขียนโดยคนหนุ่มสาว
แต่คนหนุ่มสาวจะมาสร้างรอยแกะสลักในที่แห่งนี่ได้ยังไง? ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ปกครองปราสาทนภา คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาข้างใน ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถทิ้งร่องรอยอะไรของตัวเองเอาไว้ได้
ช้างขาวเดินไปตรงหน้าผนังของภูเขา หลังจากนั้นมันก็จุ่มงวงลงไปในสระน้ำ ดูเหมือนเจ้าช้างกำลังควานหาอะไรบางอย่าง
ทุกคนมองไปที่ช้างขาวอย่างไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไร หลังจากที่ผ่านไปสักพักเจ้าช้างขาวก็ยกงวงขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับถืออะไรบางสิ่งเอาไว้ วัตถุนั้นเป็นกล่องที่ทำขึ้นมาจากหยกและมีความยาวหนึ่งฟุต ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่ากล่องๆนี้มีความสำคัญอย่างไร
ผู้นำปราสาทนภามองไปที่กล่องหยกและขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะพอรู้ว่ากล่องนี้คืออะไร แต่เขายังไม่แน่ใจนัก
ช้างขาวยกงวงขึ้นและส่งกล่องหยกไปให้กับหานเหยียน หลังจากนั้นมันก็นอนลงข้างๆสระน้ำพร้อมกับปิดตาลง ดูเหมือนว่ามันจะหลับไป
“หานเหยียน เข้ามานี่” ผู้นำปราสาทนภาพูดกับหานเหยียนที่เพิ่งจะได้รับกล่องหยกมา
หานเหยียนเห็นหานเซิ่นพยักหน้า ดังนั้นเธอจึงลงจากช้างขาว ครั้งนี้เจ้าช้างขาวไม่ได้ตอบสนองอะไร มันปล่อยให้หานเหยียนลงไปพร้อมกับกล่องในมือ
“หานเหยียน เจ้าลองเปิดกล่องดู” ผู้นำปราสาทนภาบอกหานเหยียน
“ผู้นำ มันจะมีอันตรายอยู่ภายในกล่องหยกนั่นไหม?” หานเซิ่นถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่” ผู้นำปราสาทนภาส่ายหัวด้วยสีหน้าแปลกๆ
“นี่คือ…” สีหน้าของยวิ๋นฉางคงเปลี่ยนไป ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่าง และเขาก็มองไปที่กล่องหยกด้วยความประหลาดใจ