EP.134 เซี่ยงอวี้ล้อมจับ
ทหารของกองกำลังรักษาพระองค์ทยอยกันแยกย้ายไป เหลือไว้แต่ทหารที่บาดเจ็บสองสามนายร้องครวญครางอย่างน่าอนาถอยู่ที่พื้น แต่นี่กลับทำให้หลินมู่อวี่สงบลง เขาขึ้นม้าแล้วออกคำสั่ง
“ทิ้งทหารไว้สองนายรักษาผู้บาดเจ็บ คนที่เหลือมากับข้า คุ้มกันหญิงสาวจากหอเลี้ยงดูออกนอกเมืองหลันเยี่ยน”
เว่ยโฉวประสานหมัดกล่าว “ขอรับ ท่านแม่ทัพ แต่พวกผู้หญิงเหล่านี้ไม่มีเงินทองติดตัว จะทำอย่างไรดีขอรับ”
หลินมู่อวี่คลำกระเป๋าเสื้อ ด้านในมีเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญเพชรอยู่เพียงไม่กี่เหรียญ เขาจึงหยิบเหรียญเพชรออกมาหนึ่งเหรียญแล้วส่งให้ทหารอวี้หลินนายหนึ่ง ก่อนออกคำสั่ง
“นำไปแลกเป็นเหรียญทองแล้วเอามาแบ่งให้ผู้หญิงพวกนี้คนละห้าเหรียญ หากไม่พอพวกเจ้าลงขันกันไปก่อน เดี๋ยวข้าจะใช้คืนให้ทีหลัง”
เว่ยโฉวยื่นมือล้วงเหรียญทองหนึ่งถุงออกมาจากหน้าอก “ท่านแม่ทัพพูดอะไรเช่นนั้น เงินพวกนี้ให้แล้วก็แล้วกันไป จะมาให้ท่านชดใช้คืนได้อย่างไร”
“คนของกองกำลังรักษาพระองค์คงใกล้จะมากันแล้วขอรับ”
หลินมู่อวี่มองดูด้านนอกหอเลี้ยงดู แล้วกล่าว “พวกเราจะต้องเร่งมือหน่อย มิเช่นนั้นหากทัพใหญ่ของกองกำลังรักษาพระองค์มาถึง เราก็จะหนีไม่ได้แล้ว”
“ขอรับ!”
ไม่นาน หญิงรับใช้ค่ายทหารสองร้อยนางก็ออกมาจากหอเลี้ยงดูด้วยสภาพเสื้อผ้ามอมแมมขาดรุ่งริ่ง รวมถึงเด็กสาวที่เพิ่งถูกพรากความบริสุทธิ์คนนั้นด้วย ตอนที่นางเดินออกมาจากหอเลี้ยงดู ดวงตานางก็ปรากฏประกายแห่งชีวิตในที่สุด ความจริงแล้วการมีชีวิตอยู่นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด สำคัญกว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่อง บางครั้งมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้
ตลอดทางที่คุ้มกันผู้หญิงเหล่านี้ออกนอกเมือง หลินมู่อวี่มีป้ายกองลาดตระเวนอยู่กับตัว ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด
ที่นอกเมือง ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดอย่างอบอุ่น หญิงสาวเหล่านั้นรับเหรียญทอง และพากันคุกเข่าลงข้างถนน พวกนางกล่าวคำขอบคุณด้วยความเคารพอย่างที่สุด บางคนถึงขนาดกอดคอกันร้องไห้
หลินมู่อวี่ที่อยู่บนหลังม้า หลับตาทั้งสองข้างลง ด้วยการรับรู้ของทักษะชีพจรวิญญาณ เขาสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนบนพื้นดินจากฝีเท้าม้าที่มาจากที่ไกลๆ เขาชี้นิ้วไปทางทิศใต้ และเอ่ยขึ้น
“ทางทิศใต้ประมาณสามลี้จะมีหมู่บ้าน พวกเจ้ารีบไปใช้ชีวิตที่นั่นเถอะ แล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้า…” พวกผู้หญิงต่างร่ำไห้ ประคับประคองกันจากไป
ไม่ถึงห้านาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่ม ทัพใหญ่ของกองกำลังรักษาพระองค์พุ่งออกมาจากเมืองหลวงมุ่งตรงมาทางนี้ มีจำนวนอย่างน้อยกว่าพันคน แต่หลินมู่อวี่รู้จักแม่ทัพที่นำกำลังมา น่าตกใจว่าเป็นหัวหน้ากองพันหลัวเลี่ย คนที่พาเขาเข้าเมืองหลวงตอนที่เขามาถึงเมืองหลวงครั้งแรกนั่นเอง
“อาอวี่!”
หลัวเลี่ยขมวดคิ้วแน่น พอควบม้ามาถึงก็กล่าวว่า “เจ้านี่ช่างบุ่มบ่ามนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าได้สร้างปัญหาขึ้นแล้ว การปล่อยหญิงรับใช้ค่ายทหารสองร้อยคนไป ในกองทัพเป็นเรื่องถึงตายเลยนะ!”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ ”ใต้เท้าหลัวเลี่ย ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง…ครั้งนี้ข้าทำร้ายทหารกองกำลังรักษาพระองค์ ข้าบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ เพียงแต่…ข้าทนดูผู้หญิงถูกกระทำย่ำยีต่อหน้าไม่ไหวจริงๆ หากข้าสามารถอดทนต่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ ข้าคงไม่คูควรที่จะสวมชุดขาวนี้ ต้องขอโทษด้วย…“
“เฮ้อ…”
หลัวเลี่ยถอนหายใจยาว “หอเลี้ยงดูเป็นที่เลี้ยงดูหญิงรับใช้ของกองทัพจักรวรรดิภายในเมืองหลันเยี่ยน อยู่ในการกำกับดูแลโดยตรงของจวนเสินโหว ครั้งนี้เจ้าทำลายหอเลี้ยงดู…จวนเสินโหวจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ และด้วยท่าทีของเสินโหวเจิ้งอี้ฝานที่มีต่อเจ้าด้วยแล้ว ครั้งนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าว “ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อขอรับโทษ”
“อืม”
หลัวเลี่ยพยักหน้า “พวกเราจะแบ่งทหารออกเป็นสองเส้นทาง ข้าจะทิ้งทหารไว้ห้าร้อยนายเพื่อคุ้มกันเจ้าไปส่งที่พระตำหนักเจ๋อเทียน เจ้าจะต้องระวังตัวด้วย ก่อนถึงพระตำหนักเจ๋อเทียน อย่าได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของจวนเสินโหวหรือค่ายสารวัตรทหารโดยเด็ดขาด เจิ้งอี้ฝานกับเซี่ยงอวี้มิใช่เล่นๆ ข้าจะไปพบผู้บัญชาการเฟิงกับใต้เท้าฉินเหลยเดี๋ยวนี้ หากมีพวกเขาสองคนช่วยพูดบางทีฝ่าบาทอาจจะทรงลงโทษสถานเบาก็เป็นได้”
“อือ ขอบคุณท่านมาก ใต้เท้าหลัวเลี่ย!”
“ออกเดินทางเถอะ กองกำลังรักษาพระองค์จำเป็นต้องปลดอาวุธของเจ้าก่อน ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”
“อืม”
เมื่อส่งกระบี่เหลียวหยวนและทวนหลีฮวาให้หลัวเลี่ยแล้ว หลินมู่อวี่ก็สั่งให้พวกองครักษ์อวี้หลินอย่างเว่ยโฉวและทหารอวี้หลินกลับไปรายงานตัวที่กองลาดตระเวนกันเอง ไม่ว่าอย่างไรเว่ยโฉวก็ไม่ยินยอม แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมจากไปด้วยความขุ่นเคือง แล้วมองหลินมู่อวี่ถูกกองกำลังรักษาพระองค์คุมตัวไปพระตำหนักเจ๋อเทียน
บนถนนทงเทียนคึกคักเป็นอย่างมาก ประชาชนรายล้อมอยู่สองฟากฝั่ง มองดูกลุ่มกองกำลังรักษาพระองค์จากที่ไกลๆ ชี้ไม้ชี้มือกันมิรู้ว่าพูดอะไรกันอยู่
ออกเดินทางไปได้ไม่ไกลนัก ด้านหน้าก็มีทหารกลุ่มหนึ่งตะบึงม้ามุ่งหน้ามา ชุดเกราะเป็นมันวับ เกราะตรงหน้าอกมีสัญลักษณ์ตราอินทรีสีทอง เป็นคนของค่ายสารวัตรทหาร ทวนกระหายเลือดในมือเซี่ยงอวี้ห้อยต่ำ ส่องประกายสีแดงโลหิต และจู่ๆ เขาก็ยกทวนขึ้นและตะเบ็งเสียงออกมา
“หลินมู่อวี่ บังอาจนัก เจ้ากล้าท้าทายวินัยทหารแห่งจักรวรรดิ ก่อเรื่องวุ่นวายกับหอเลี้ยงดู ทหาร! จับตัวมันมา พากลับค่ายสารวัตรทหาร!”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วแน่น หัวหน้ากองร้อยกองกำลังรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านข้าง กลับประสานหมัดขึ้นแล้วยิ้มแย้มกล่าว “คารวะใต้เท้าเซี่ยงอวี้ หลินมู่อวี่ถูกข้าน้อยจับกุมตัวไว้แล้ว กองกำลังรักษาพระองค์กำลังคุมตัวเขาไปส่งยังพระตำหนักเจ๋อเทียน รอการรับโทษจากฝ่าบาท มิต้องลำบากใต้เท้าเซี่ยงอวี้แล้วขอรับ!”
“อย่างนั้นหรือ”
เซี่ยงอวี้สะบัดแขนเบาๆ แล้วเปลวไฟก็ทะลักขึ้นมาบนทวน และแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์เสือร้ายตัวหนึ่ง วิญญาณยุทธ์ระดับหนึ่ง—พยัคฆ์ย่ำอัคคี เขากดแขนลง ควบม้าพุ่งตรงเข้ามา บนทวนกระหายเลือดเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน เขาหัวเราะเสียงดัง
“คนที่ข้าเซี่ยงอวี้ต้องการ ไม่เคยที่จะจับไม่ได้!”
หัวหน้ากองร้อยของกองกำลังรักษาพระองค์ผู้นั้นตะลึงงัน ถึงขนาดที่ไม่กล้าชักกระบี่ออกมา เซี่ยงอวี้เข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สองแล้ว เป็นยอดฝีมือระดับราชันย์สวรรค์ ด้วยพลังที่แตกต่างกันนี้ เป็นแค่หัวหน้ากองร้อยจะไปกล้าต่อกรกับเซี่ยงอวี้ได้อย่างไร
“หลีกไป!”
ฉับพลันนั้นหลินมู่อวี่ก็ควบม้าชนเข้ากับหัวหน้ากองร้อย ฝ่ามือกางออก กำแพงป้องกันของกระดองเต่าทมิฬบวกกับปราการเกล็ดมังกรพลันก่อตัวขึ้น ประจันหน้ารองรับการโจมตีที่หมายจะพิฆาตของเซี่ยงอวี้!
“เปรี้ยง!”
เสียงร้องคำรามของพยัคฆ์ย่ำอัคคีดังไม่ขาดสาย ทวนกระหายเลือดก็ก่อพลังเกลียวหมุนขึ้นสายหนึ่ง ราวกับสว่านเจาะทะลุเข้าใส่กระดองเต่าทมิฬ เซี่ยงอวี้ระเบิดเสียง แววตาดุร้ายคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ทำลายมันซะ!”
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ปราการเกล็ดมังกรก็ถูกเจาะทะลุ ทวนกระหายเลือดพร้อมด้วยเปลวไฟรุนแรงพุ่งเข้าใส่ลำคอหลินมู่อวี่
“พรึ่บ!”
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ หลินมู่อวี่เบี่ยงตัวหลบ ทวนกระหายเลือดเฉี่ยวเข้าที่คอและฝากรอยแผลไว้หนึ่งรอย หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า พุ่งพรวดเดียวมาอยู่ข้างนายทหารที่ถือกระบี่เอาไว้ เขากางฝ่ามือออก กระบี่เหลียวหยวนก็พุ่งตัวดีดออกจากฝัก เมื่อหลินมู่อวี่พลิกตัวกลับ ก็เห็นทวนกระหายเลือดเปลวไฟลุกโชนจู่โจมเข้ามาราวสายฟ้าแลบ ไม่มีทางที่จะหลบทันได้เลย จึงได้แต่ยกกระบี่เหลียวหยวนขึ้นมาต้าน
“เคร้ง!”
ประกายไฟกระเซ็นออกไปรอบทิศ พลังของเซี่ยงอวี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ซัดเข้าใส่หลินมู่อวี่จนเขาต้องถอยไปหลายก้าวจนตัวกระแทกติดกำแพงด้านหลัง
“คิดจะดิ้นรนก่อนตายรึ!”
เซี่ยงอวี้หัวเราะเยาะเย้ย พลันยกแขนซ้ายขึ้น เปลวเพลิงพันรอบกำปั้น และระเบิดเสียงคำรามออกมา “หมัดเพลิงเมฆา!”
พลังหมัดที่มีเสียงหวีดแหลมนั้นมาพร้อมกับพลังอันมหาศาล หลินมู่อวี่กัดฟันกรอด รีบยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น เร่งปราณยุทธ์ให้พุ่งสูงถึงขีดสุดทันที ปราการเกล็ดมังกรกับกระดองเต่าทมิฬก่อตัวขึ้นอีกครั้ง!
“เปรี้ยง!”
คลื่นเปลวไฟได้ก่อร่างกลายเป็นคลื่นโจมตีสายหนึ่ง พุ่งเข้าใส่กลุ่มทหารกองกำลังรักษาพระองค์กับสารวัตรทหารจนถอยร่นไปหลายก้าว ส่วนพวกชาวเมืองหลันเยี่ยนที่ดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ก็พากันปิดตาก้มหัวต่ำหลบหนีจากพลังของคลื่นโจมตี
คนที่ทรมานที่สุดไม่มีใครเกินกว่าหลินมู่อวี่ หมัดนี้ของเซี่ยงอวี้แปลกพิสดารยิ่งนัก พลังของเปลวไฟมีลักษณะเป็นชั้นคลื่นทับซ้อนกัน หลินมู่อวี่เร่งปราณยุทธ์ผสานเข้ากับกำแพงน้ำเต้าเพื่อต้านทานพลังสามชั้นนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังมีพลังสามชั้นต่อมาอีกระลอก แต่ละชั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม นี่ก็คือ ‘เคล็ดเพลิงเมฆา’ อันอัศจรรย์ที่เซี่ยงอวี้ฝึกฝนมาหลายปี ยอดฝีมือมากมายตั้งเท่าไรที่พ่ายแพ้ให้กับหมัดนี้!
“เพล้ง!”
ทันใดนั้นกำแพงน้ำเต้าก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ หมัดนี้ของเซี่ยงอวี้ซัดเข้าใส่เกราะหน้าอกของหลินมู่อวี่ กระแทกตราสีทองของผู้ช่วยฝึกแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์แตกกระจาย ด้านหลินมู่อวี่ก็รวบรวมปราณยุทธ์ที่ยังคงเหลืออยู่ให้มารวมกันที่หน้าอกเพื่อรับการโจมตีนี้ “เปรี้ยง ” เสียงกระแทกเข้ากับกำแพง อิฐบนกำแพงด้านหลังเกิดเป็นรอยร้าวที่น่ากลัวขึ้นหลายแห่ง
ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เลือดลมก็ปั่นป่วน ทรมานเป็นอย่างยิ่ง
“เฮอะ!”
เซี่ยงอวี้หัวเราะอย่างเย็นชา ทวนกระหายเลือดสะบัดวูบพุ่งแทงออกไปราวสายฟ้า ชัดเจนว่าต้องการจะสังหารหลินมู่อวี่ ไม่ได้คิดที่จะจับเขากลับค่ายสารวัตรทหารเพื่อทำการสอบสวนเลยแม้แต่น้อย!
หลินมู่อวี่รู้ดีว่าคนตรงหน้าผู้นี้แข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ก็ไร้ซึ่งหนทาง เพราะพลังทั้งหมดของเขาถูกเซี่ยงอวี้กดเอาไว้ ปราณยุทธ์แทบจะหมดสิ้นไปในทันที ไม่สามารถเรียกพลังออกมาได้ชั่วขณะ แม้แต่พลังเจ็ดประทีปก็ไม่สามารถเรียกออกมาใช้ได้ เห็นทวนของเซี่ยงอวี้ที่กำลังพุ่งเข้ามา พริบตานั้นหลินมู่อวี่พลันรู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตัวเองจะต้องมาตายที่นี่ นี่คงจะเป็นความอัปยศอดสูของคนที่ทะลุมิติเข้ามามากมายเหล่านั้นสินะ และยังตายแบบไร้ค่าเสียด้วย ต้องมาตายเพื่อหญิงรับใช้ค่ายทหารสองร้อยคนงั้นหรือ พวกที่ทะลุมิติคนอื่นๆ ต่างสร้างคุณงามความชอบ ฝากชื่อเสียงไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานกันทั้งนั้นเลยนะ…
ในพริบตานั้นหลินมู่อวี่ก็เกิดความคิดมากมายขึ้นมา
และในตอนนี้เอง พลันมีเสียงหวีดแหลมรุนแรงดังลอยมา ดาบกว้างเล่มหนึ่งพร้อมด้วยปราณยุทธ์อันแข็งแกร่งก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า มันคือดาบตัดวายุ เฟิงจี้สิงปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
“เคร้ง!”
เพลงทวนที่เซี่ยงอวี้หมายจะใช้สังหารหลินมู่อวี่นั้น ถูกเฟิงจี้สิงกระแทกออกไป มวลอากาศหมุนสายหนึ่งม้วนอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เฟิงจี้สิงถือดาบตัดวายุ ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะพร้อมที่จะทำศึก
“ใต้เท้าเซี่ยงอวี้ หลินมู่อวี่คือองครักษ์อวี้หลิน ท่านคิดจะสังหารเขาหรือ ท่านไม่รู้หรือว่าองครักษ์อวี้หลินคือตำแหน่งที่องค์จักรพรรดิทรงพระราชทาน ท่านมีคุณสมบัติสังหารองครักษ์อวี้หลินด้วยหรือ”
“เฮอะ…”
เซี่ยงอวี้ยกมุมปากดูถูก พลังเคล็ดเพลิงเมฆาหมุนวนอยู่บนแขน เขากล่าวเสียงเรียบว่า “เฟิงจี้สิง ข้ารู้ว่าเจ้ากับหลินมู่อวี่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว หากเจ้าคิดจะช่วยมันก็เข้ามาพร้อมกันได้เลย ข้าเซี่ยงอวี้ใต้หล้านี้มีเพียงหนึ่ง สองต่อหนึ่งจะเป็นไรไป”
เฟิงจี้สิงกล่าว “วันนี้ท่านจะไม่ยอมปล่อยหลินมู่อวี่ไปจริงๆ หรือ”
“ถูกต้อง” สายตาเซี่ยงอวี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร พร้อมพูดขึ้น “มันทำลายหอเลี้ยงดู ท้าทายวินัยทหารแห่งจักรวรรดิอย่างเปิดเผย นี่ก็เหมือนกับท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของเซี่ยงเหวินเทียนเทพทหาร ข้าในฐานะลูกหลานของเซี่ยงเหวินเทียน จะยอมปล่อยให้คนแบบนี้มีชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างไร”
ดาบตัดวายุกวัดแกว่งเบาๆ เฟิงจี้สิงกล่าวเสียงเรียบ “ใต้เท้าเซี่ยงอวี้ ข้าเฟิงจี้สิงเคารพท่านเยี่ยงวีรบุรุษตลอดมา แต่หากวันนี้ท่านจะสังหารอาอวี่ให้ได้ เช่นนั้นคงต้องข้ามศพข้าเฟิงจี้สิงไปก่อน”
ขณะที่พูด เฟิงจี้สิงก็ยกดาบขึ้น ตะโกนเสียงดังว่า “กองกำลังรักษาพระองค์ทั้งหมดจงฟังให้ดี นี่เป็นความแค้นส่วนตัวของข้ากับแม่ทัพเซี่ยงอวี้ พวกเจ้าไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจสอดมือ แม้ข้าเฟิงจี้สิงจะต่อสู้จนตัวตายก็ตาม”
เซี่ยงอวี้หัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้ารนหาที่ตายเองนะ ข้าสังหารยอดฝีมือขอบเขตนภามาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยสังหารผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิเลยสักครั้ง เช่นนั้นเริ่มจากเจ้าก็แล้วกัน!”