The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 232 หลงเซียนหลิน

วันต่อมา…หลินมู่อวี่ก็ได้รับดอกผิงเม่ยที่ร้องขอ กลิ่นของมันลอยมาแตะจมูก มันมีลักษณะเหมือนที่ลู่ลู่เคยบอกไว้ แสดงว่าหูเถี่ยหลิงไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมใด คงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิอย่างที่คิด

หลังจากกล่าวขอบคุณและอำลาแล้ว หลินมู่อวี่ก็พาเว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ออกจากเมืองห้าหุบเขาตรงไปยังมณฑลหลิงเป่ยทันที

เมื่อเสียงฝีเท้ากองทัพม้าจางลง กลุ่มของหลินมู่อวี่ก็หายไปจากการมองเห็น

หูเถี่ยหนิงถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น “เซียนหลิน”

หลงเซียนหลินคำนับพลางขานรับ “เรียกหาข้าหรือขอรับ”

“เมื่อคืนเจ้าได้พูดคุยเรื่องคนเถื่อนและพวกค้าทาสกับหลินมู่อวี่หรือไม่?

“ขอรับ”

หูเถี่ยหนิงเลิกคิ้วขึ้นถาม” เขาว่าอย่างไรบ้าง?”

หลงเซียนหลินตอบอย่างนอบน้อม “เขาตอบเพียงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ทว่าไม่ได้คิดจะทำสิ่งใดขอรับ เขาไม่ได้เป็นแม่ทัพหลินมู่อวี่ผู้ป่าเถื่อนพร้อมสร้างปัญหาดังเช่นข่าวลือที่ได้ยินมา”

ประกายคมเฉิดฉายขึ้นในแววตาหูเถี่ยหนิง “เขากำลังข่มอารมณ์ตัวเองไว้อยู่ อีกทั้งพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่ยังเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ข้ารับรู้ได้ว่าเขาพยายามปิดซ่อนพลังของตนและทำตัวเฉกเช่นคนทั่วไปช่างน่าหวั่นเกรงนัก! ในกาลข้างหน้า…หากต้องได้สู้กันมณฑลชางหนานของเราคงยากที่จะชนะคนน่ากลัวเช่นนี้”

หลงเซียนหลินพยักหน้า “ท่านผู้ว่าขอรับ มีคนเถื่อนกว่าเจ็ดร้อยคนถูกพบในค่ายของเรา ทุกคนล้วนยังสาวข้าจึงคิ ดว่า…บางทีแทนที่เราจะส่งพวกนางให้กลุ่มค้าทาส เราจับคู่คนเหล่านี้กับทหารเราไม่ดีกว่าหรือขอรับ? พวกเขาจะได้สร้างครอบครัวแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองห้าหุบเขา ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไรขอรับ?”

“ฮ่าๆๆ”

หูเถี่ยหนิงหันมามองหน้าหลงเซียนหลินก่อนจะพูดด้วยสายตาเย็นชา “เซียนหลิน เจ้าใจอ่อนรึ?”

หลิงเซียนหลินรีบตอบกลับ “ข้า…ข้าเพียงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อพวกนางอย่างที่หลินมู่อวี่บอกไว้ พวกนางไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งที่เราสามารถช่วยพวกนางได้แท้ๆ”

“ไม่!”

หูเถี่ยหนิงตอบเสียงทุ้ม “ข้ายังยืนยันจะส่งพวกมันให้กลุ่มค้าทาส เซียนหลิน…ความสามารถของเจ้าไม่เป็นสองรองใคร เจ้าจะมาใจอ่อนเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ สำหรับผู้มีอำนาจสงครามคือเรื่องสนุก ไม่มีใครสนใจเรื่องเมตตาหรือศีลธรรมลวงโลก มีเพียงพลังและผลประโยชน์เท่านั้น!”

หลงเซียนหลินทำได้เพียงคำนับและกัดฟันตอบ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”

“เซียนหลิน”

หูเถี่ยหนิงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเจ้าว่างก็ไปหาเสี่ยวอวิ๋นบ้าง นางเป็นคู่หมั้นของเจ้า เจ้าจะเอาแต่ฝึกรบทั้งวันไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”

หลงเซียนหลินพยักหน้ารับ “ขอรับ…หากข้าแล้วเสร็จภารกิจเรื่องค่ายแล้ว ข้ารับปากจะไปหานางขอรับ”

“อืม…ดีมาก”

ตะวันคล้อยบ่าย กองม้าศึกกำลังวิ่งอยู่บนถนน

“เหตุใดท่านจึงไม่ถามหูเถี่ยหนิงเรื่องใบอนุณาตผ่านทางขอรับ?” เมื่อโฉวควบม้าเข้ามาหาหลินมู่อวี่ด้วยท่าทีสงสัย “แม้จะเอาผิดหูเถี่ยหลิงไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ยังมีโอกาสเตือนคนอื่น”

หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น หากเราทำลายสัมพันธไมตรีต่อกันจะทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น เจ้าเองก็ได้เห็นกำลังพลของเมืองห้าหุบเขาแล้ว ทหารม้าของพวกนั้นนับได้ว่าเป็นทหารชั้นยอดแห่งเทือกเขาฉินทางตอนเหนือ การกำจัดคนเถื่อนสองหมื่นคนลงได้ทั้งที่ตนเสียเปรียบอย่างมากเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนั้น หากมีปัญหากันลำพังองครักษ์อินทรีร้อยกว่าคนของเราคงไม่ต่างไม้ซีกงัดไม้ซุง ฉะนั้นต่อให้หูเถี่ยหนิงจะภักดีต่อจักรวรรดิหรือไม่เรารู้กันเพียงแค่นี้ก็พอ”

“ยังปราดเปรื่องเช่นเคยนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่หันไปหาเซี่ยโหวซางและเอ่ยถาม “เซี่ยโหว ค่ำคืนกับสองนักเต้นสาวเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

เซี่ยโหวซางหน้าแดงด้วยความเขินอายเอ่ยตอบ “ท่านอย่าล้อเลียนข้าสิขอรับ…นอกจากเรื่องนั้นแล้วข้าก็ไม่เก่งเรื่องไหนอีก แต่พูดตามตรง…สองสาวนั่นเร่าร้อนเอาเรื่องนะขอรับ หูเถี่ยหนิงช่างดูแลแขกได้ดีจริงๆ ที่แบ่งสาวงามมาปรนเปรอ…”

หลินมู่อวี่กล่าว “อย่ายอมให้ความงามมาบังตา มิเช่นนั้นวันหนึ่งหูเถี่ยหนิงอาจใช้ช่องโหว่นี้หลอกใช้ประโยชน์จากเจ้าได้”

เซี่ยโหวซางหัวเราะลั่น “ท่านอย่าได้คิดมากไปขอรับ เซี่ยโหวซางผู้นี้ไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูกง่ายๆ เด็ดขาด หากหูเถี่ยหนิงคิดจะหลอกใช้ข้าด้วยเรื่องนั้น ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเขาแน่ เพียงแค่ให้ที่หลับนอนข้าไม่นับว่าเป็นบุญคุณขอรับ”

หลินมู่อวี่ยกนิ้วโป้ง “เจ้าช่างเป็นคนซื่อตรงจริงๆ”

“ฮ่าๆๆ…”

ค่ำคืนมาเยือนอย่างรวดเร็วพร้อมกับหิมะที่เริ่มโปรยปราย ในที่สุดพวกหลินมู่อวี่ก็ถึงป่าในเขตมณฑลชางหนาน ผืนดินโดยรอบยังไม่ถูกหิมะปกคลุมหนามากเพียงสามเซนติเมตรเท่านั้น ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับหนาวเย็นขึ้นอย่างมาก

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะมองทุกสิ่งรอบตัวระหว่างเดินทางผ่านป่า

“มีสิ่งใดผิดปกหรือขอรัย?” เว่ยโฉวสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของหลินมู่อวี่จึงเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “อีกสิบไมล์จากนี้เราจะพักแรมกัน”

“ขอรับ!”

กระทั่งเดินทางมาได้สิบไมล์ พวกหลินมู่อวี่จึงตัดสินใจตั้งค่ายค้างแรมในป่าข้างถนนหลัก หลังจากให้อาหารม้าเรียบร้อยหลินมู่อวี่เดินตรวจตราดูรอบบริเวณก่อนเอ่ยขึ้น “เว่ยโฉว ปล่อยอีกาที่เราซื้อมา!”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์สิบนายเอาตะกร้าจากหลังม้ามา ทันทีที่เปิดฝา…นกสีดำหลายตัวต่างกระพือปีกบินกรูออกมา มันไม่ใช่อีกาธรรมดาหากแต่เป็นอีกาที่ได้รับการฝึกสำหรับใช้ในทางทหาร ด้วยเสียงบินอันเงียบเชียบของพวกมัน จึงมักถูกนำไปใช้เพื่อสอดแนม

“เราได้ทำการลาดตระเวนในระยะสิบกี่โลเมตรแล้ว ท่านยังเป็นสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?” เว่ยโฉวยิ้มถาม

หลินมู่อวี่กระชับกระบี่ขณะยืนอยู่หน้ากำแพงหินขนาดใหญ่ ถูมือไปมาเพื่อไล่ความหนาว “มีบางอย่างตามเรามาตั้งแต่ออกจากเมืองห้าหุบเขา”

“หืม?” เว่ยโฉวชะงัก “เล็ดลอดสายตาเราไปได้อย่างไรกัน?”

“เหมือนจะไม่ใช่มนุษย์”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “เป็นอสูร…ข้าสัมผัสได้ถึงอสูรหลายตัวบนพื้นหิมะ มันมีเท้าสามกีบเคลือบเพชร เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือตัวอะไร?”

“หมาป่าลายพยัคฆ์หรือ?”

เว่ยโฉวตกตะลึงขณะพูด “กล่าวกันว่าหมาป่าลายพัคฆ์นั้นมีทหารจักรวรรดิคอยฝึกเพื่อใช้เป็นนักล่าอยู่ มันมีขนาดตัวที่และเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก ที่สำคัญประสาทรับกลิ่นของมันดีกว่าสุนัขร้อยเท่า จึงเหมาะแก่การใช้สะกดรอยตามอย่างมาก และจากลักษณะที่ท่านบอกมา…เป็นไปได้ว่ามันคือหมาป่าลายพยัคฆ์ขอรับ”

“แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าหมาป่าที่ตามเรามานี้ถูกฝึกโดยเมืองห้าหุบเขา?” หลินมู่อวี่ถาม

“ยากที่จะบอกแต่…”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “เมืองห้าหุบเขานั้นมีกองกำลังอันแข็งแกร่ง ทั้งหลงเซียนหลินเองก็มีความสามารถอันน่าทึ่ง หากมีเขาอยู่การจะฝึกหมาป่าลายพยัคฆ์นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หากเราถูกสะกดรอยจริง…จะทำอย่างไรดีขอรับ?”

หลินมู่อวี่กล่าว “คืนนี้สั่งให้กองกำลังเตรียมอาวุธและพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อจนถึงรุ่งสาง ผูกม้าไว้ในค่ายอย่าปล่อยให้หลุด เราจะตั้งรับจนกว่าอีกาส่งสาส์นจะกลับมา ศัตรูที่จะมานั้นเหนือกว่าเรามาก หากสู้ไหวจงสู้ อยากสู้ไม่ได้ให้ถอย ม้าเราเป็นม้าตะวันตกใช้หนีได้เร็วกว่าศัตรูเราแน่นอน”

“ขอรับ!”

กองทหารเร่งทานอาหารกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งแล้วเสร็จตอนดึก

หลินมู่อวี่ยังคงตื่นอยู่ เขาผูกม้าไว้ในค่ายก่อนจะกระโดดขึ้นบนหินก้อนใหญ่และกวาดหิมะโดยรอบออก ชุดคลุมยาวถูกนำมาสวมทับร่างกายสายตาคมสอดส่องไปทั่วป่า ขณะเดียวกันก็ปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไป ด้วยพลังยุทธ์ในตอนนี้ทำให้เขาสามารถได้ยินทุกการเคลื่อนไหวในระยะห้าไมล์ได้ซึ่งมีประโยชน์ยิ่งกว่าอีกาสอดแนมนัก

เพราะเดินทางมาทั้งวันแล้ว หลินมู่อวี่จึงเริ่มรู้สึกเหนื่อย

เปลือกตาหลินมู่อวี่เริ่มหนักอึ้ง เขากระชับกระบี่ไว้ในมือก่อนจะผล็อยหลับไปบนก้อนหิน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งทักษะชีพจรวิญญาณสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งได้ มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเข้ามาในรัศมีทักษะ หลินมู่อวี่รีบลืมตาขึ้นทันควันก่อนจะลงจากหินมุ่งหน้าไปยังค่าย “เตรียมตัว มีคนกำลังมา!”

เว่ยโฉวกลับมายังค่ายพร้อมเอ่ยขึ้น “อีกายังไม่กลับมาเลยขอรับ!”

“ไม่ต้องรอแล้ว ทุกคนเตรียมม้า! เราจะเคลื่อนไปทางตะวันตกแล้วทำการซุ่มโจมตี!”

“ขอรับ!”

ทหารทุกนายเคลื่อนพลไปยังจุดซุ่มโจมตีอย่างคล่องแคล่ว รอยกีบม้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าบนพื้นหิมะลบเลือนอย่างรวดเร็ว ต่อเมื่อทำการครอบปากม้าแล้ว ทุกคนจึงเข้าประจำตำแหน่งใช้สายตาคอยสอดส่องเป้าหมายจนกว่าพวกมันจะมา

“พรึบๆๆ”

อีกาบินกลับมาหาทหารองครักษ์ที่สามารถสื่อสารกับมันได้ พอฟังเสียงอีการ้องนายทหารก็รีบแจ้งข่าวทันที “กลุ่มคนราวห้าร้อยคนกำลังมุ่งมาทางนี้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นกลุ่มใดขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ อันที่จริงทักษะชีพจรวิญญาณของเขาก็ตรวจจับได้ว่ามีกองกำลังห้าร้อยคน โดยคนที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังยุทธ์อยู่ขอบเขตปฐพีขั้นสาม อีกส่วนน้อยอยู่ขอบเขตมนุษย์ และที่เหลือเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ถึงกระนั้นการที่มารวมตัวกันเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติแน่

“ปิดซ่อนพลังของพวกเจ้าเสีย แล้วอย่าส่งเสียงใด…รอฟังคำสั่งจากข้า” หลินมู่อวี่สั่งเบาๆ

“ขอรับ!”

อย่างแรกหลินมู่อวี่ต้องรู้ให้ได้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร

ไม่มีแสงใดปรากฏขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะโปรยปราย มีเพียงเงามืดเคลื่อนผ่านไปตามถนนในป่า พวกมันเดินทางด้วยม้าที่สวมผ้าคลุมกีบเท้าไว้ทำให้เสียงเบามาก อีกทั้งยังมีการสื่อสารกันเพียงเล็กน้อยนอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก แตกต่างจากสำนักอัศวินที่พบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

หลินมู่อวี่เพ่งมอง ภายใต้แสงอันริบหรี่เขาเห็นเหรียญสีทองติดอยู่บริเวณคอของผู้นำกลุ่ม มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของทหารเหรียญทอง…แต่เป็นของราชทูต!

อย่างที่คาด…คนพวกนี้เป็นสมาชิกสำนักอัศวิน ทว่าน่าจะมาจากศูนย์ใหญ่มณฑลชางหนาน ราชทูตถึงได้ลงมานำกำลังคนขนาดนี้ด้วยตนเอง

เว่ยโฉวหันไปถามหลินมู่อวี่ว่าควรเคลื่อนไหวหรือไม่

หลินมู่อวี่ปล่อยพลังสีทองออกมาจากฝ่ามือ วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏออก หลินมู่อวี่พลันตะโกนขึ้น “องครักษ์อวี้หลินปิดตา!”

“วิ้ง!”

น้ำเต้าทองลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนหลินมู่อวี่จะใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์พิเศษ รุ่งอรุณ!

แสงสุกสกาวเจิดจ้าจนท้องฟ้าสว่างไสวราวกับเป็นกลางวัน ระเบิดแสงอันรุนแรงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันท่ามกลางความมืดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนไหว กองกำลังที่ไม่ได้ปิดตาพากันแตกตื่นทันใด

“อะไรกัน!”

เถาวัลย์น้ำเต้าพุ่งเข้ามัดราชทูตและม้าไว้ หลินมู่อวี่ปล่อยมีดเสียงปีศาจเคลือบปราณยุทธ์ เมื่อแสงสีทองสว่างวาบมีดคมก็ล่องหนหายไป ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “เปิดตาแล้วโจมตีได้!”

…………………

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God | ทะลุมิติเทพศาสตรา
Status: Ongoing
The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset