ระหว่างที่บรรเลงกู่ฉินอยู่นั้น จู่ๆ บทบรรเลงอันเรียบง่ายก็เปลี่ยนเป็นท่วงทำนองแห่งสงคราม หลินมู่อวี่เมื่อได้ยินก็ปรับเปลี่ยนท่วงท่าของตนด้วยไหวพริบ สะบัดข้อมือวาดดาบตัดสายลมตามวิชาดาบสายลมจักรวรรดิ ดาบสนิมเขรอะดูเหมือนอาวุธสังหารอันคมกริบที่สะท้อนกับแสงไฟจนเปล่งประกายวิบวับในทันที
เมื่อได้ชมฝีมือของทั้งคู่เหล่านักเดินทางและทหารรับจ้างในโรงเตี๊ยมต่างส่งเสียงให้กำลังใจกันกึกก้อง แม้จะเป็นเพียงนักแสดงเร่ร่อน ทว่าท่ารำดาบของเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างงดงามยิ่ง
แท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายของการตั้งใจรำดาบของหลินมู่อวี่นั้น เพียงเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่จดจ้องไปยังฉินอินเท่านั้น พวกเจ้าต้องผ่านคมดาบนี้ไปให้ได้ก่อน…มิเช่นนั้นอย่าแม้แต่จะคิด!
เมื่อบทบรรเลงจบลงบรรดาผู้ชมต่างโยนเหรียญขึ้นไปบนเวที ทั้งเหรียญเงิน เหรียญทองแดง มีกระทั่งเหรียญทองกระจัดกระจายทั่วพื้น หลินมู่อวี่รู้สึกเหมือนคนรวยขึ้นมาทันตา
ถุงผ้าขาวถูกหยิบออกมาใส่เงินที่ร่วงหล่นตามพื้นโดยหลินมู่อวี่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าฉินอินยืนยิ้มให้ตนด้วยสายอันอ่อนโยนอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้าจะเอ่ยสิ่งใดหรือไม่?” หลินมู่อวี่ถาม
ฉินอินยิ้มตอบ “ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ…ข้าเพียงรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิต…”
“อย่างนั้นรึ?”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นพลางคลี่ยิ้ม “หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็จะเป็นเช่นต่อไปในวันข้างหน้า”
“จริงหรือเจ้าคะ?”
“อืม”
“หากเป็นดังท่านพี่ว่าคงจะดีมากเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอินขยับเข้าไปใกล้หลินมู่อวี่ด้วยท่าทีของเด็กสาว บรรดาทหารรับจ้างเลือดร้อนต่างระทวยไปตามกัน บางทีหากฉินอินล้างเครื่องหน้าออกแล้วเผยใบหน้าที่แท้จริงคนพวกนี้คงตายไปแล้วเสียกระมัง เพราะฉายาความงามอันดับหนึ่งแห่งหลันเยี่ยนมิใช่ได้มาเพราะโชคช่วย
เมื่อหลินมู่อวี่และฉินอินกลับไปยังที่นั่ง ประตูโรงเตี๊ยมก็ถูกเปิดพร้อมกับเสียงเอียดอาดทันใด ลมหนาวที่พรั่งพรูเข้ามาพร้อมกับใครคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำ ชายคนนั้นเปิดผ้าคลุมเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางกล่าว “ท่านเจ้าของโรงเตี๊ยม…ที่นี่ยังอยากได้การแสดงเพิ่มอีกหรือไม่?”
พนักงานบริการเข้ามารับหน้าและมองอย่างเย้ยหยันก่อนจะถามกลับ “แล้วท่านจะแสดงอะไรหรือ?”
ชายปริศนายิ้ม “ข้ามีสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องมาแสดงให้แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายได้รับชม”
“หึ! ก็แค่ลิงกับหมามาเล่นกลเท่านั้น อย่าทำให้ตัวเองอับอายไปเลย”
“ไม่…ข้าฝึกอย่างอื่นต่างหากเล่า”
“เช่นนั้นให้ข้าดูหน่อยเถิด…ว่ามันคือสิ่งใด”
“ไม่มีปัญหา”
ชายปริศนาผิวปากสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เจ้านภาน้อย ออกมาได้แล้ว!”
“โฮก…”
ทันใดนั้นมังกรน้อยก็ปรากฏตัว มันคือมังกรนภาขนาดสามเมตร! ดวงตาคู่ทองของมันจ้องมองผู้คนในโรงเตี๊ยมอย่างหวาดกลัว
ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
“มังกรนภา!”
“พระเจ้า…มังกรนภาอายุสองร้อยปี!”
“ไอ้บ้านี่เป็นใครถึงฝึกมังกรนภาได้!”
“หรือจะเป็น…นักขี่มังกรในตำนาน!?”
“ไม่จริง เจ้าเคยเห็นนักขี่มังกรนภาด้วยงั้นรึ?”
“ข้า…”
นักฝึกสัตว์เดินเข้ามาพลางยิ้ม “ข้าคือตู้ยี่หมิงเป็นนักแสดงเร่ร่อน นี่เป็นมังกรนาน้อยที่ข้าฝึกได้โดยบังเอิญ และอยากพามาแสดงให้ทุกท่านได้รับชม หากพวกท่านพอมีเงินโปรดช่วยบริจาคให้ข้าหรือหากไม่มีก็ไม่เป็นไร ถึงกระนั้นข้าก็ขอบพระคุณทุกท่านมาก!”
ตู้ยี่หมิงยกมือซ้ายขึ้นอย่างสง่างาม ทันใดนั้นมังกรนภาก็ส่งเสียงครางและแตะงับมือเขาเดินผ่านหน้าทุกคนไป ครีบคล้ายร่มกระพือออก พลางกวาดสายตาแห่งความสงสัยมองโดยรอบ ช่างน่ารักน่าเอ็นดู
ฉินอินหัวเราะออกมา “มังกรนภาตัวนี้ช่างสนใจจริงๆ เจ้าค่ะท่านพี่”
หลินมู่อวี่ทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้าโดยไม่กล่าวอื่นใด สิ่งที่เขาสนใจคือตู้ยี่หมิงที่มีพลังยุทธ์เพียงแค่ระดับปฐพีขั้นหนึ่ง ทำอย่างไรถึงฝึกมังกรนภาอายุสองร้อยปีได้? มังกรนภาไม่ใช่อสูรวิญญาณทั่วไป แม้จะอยู่ระดับต่ำทว่าก็ยังเป็นมังกร!
บนเวที มังกรนภาน้อยทั้งกลิ้งม้วนตัวและวิ่งไปมา ทำให้ผู้ชมโดยรอบต่างหัวเราะด้วยความชอบใจ เหรียญเงินและเหรียญทองแดงมากมายถูกโยนให้แก่นักฝึกสัตว์ปริศนา
ขณะที่ตู้ยี่หมิงก้มลงเก็บเหรียญสายตาก็เหลือบไปเห็นฉินอินตรงมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมโดยบังเอิญ หัวใจเขาสั่นระรัว…เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด กิริยา หรือแม้แต่รูปร่างล้วนอยู่ในระดับยอดหญิง หากไม่เป็นเพราะรอยกระบนใบหน้า นางคือคนที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
เมื่อการแสดงจบลง ตู้ยี่หมิงขอซุปหนึ่งชามและขนมปังธรรมดาสองก้อนก่อนจะพามังกรนภาเดินเข้าไปหาฉินอิน “สหายหนุ่มและคุณผู้หญิง โต๊ะนี้ยังพอมีที่นั่งเหลืออยู่ไม่ทราบว่าข้าจะขอนั่งด้วยได้หรือไม่?”
หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “เชิญตามสบายเลย”
“ขอบใจมาก”
มังกรนภาที่ตามมาด้วยคุกเขาลงนั่งข้างฉินอิน ตาโตกะพริบปริบๆ ครีบร่มที่อยู่รอบหัวของมันกระพือเข้าออกอย่างน่าเอ็นดู
ฉินอินใจอ่อนระทวยเมื่อเห็นมังกรน้อยอ้อน นางลูบหัวของมันโดยปราศจากความกลัวใดๆ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยขึ้น “ช่างเป็นมังกรน้อยที่ว่าง่ายอะไรเช่นนี้…”
ตู้ยี่หมิงเอ่ยขึ้นทั้งที่ขนมปังยังเต็มปาก “ดูเหมือนคุณผู้หญิงจะชอบมังกรนภาน้อยของข้ามากสินะขอรับ?”
“อืม” ฉินอินไม่ปฏิเสธ
ตู้ยี่หมิงเอ่ยถาม “ข้าชักสงสัยว่าท่านทั้งสองมาจากที่ใดและจะไปแห่งใดกันหรือ?”
หลินมู่อวี่ตอบ “ข้ามีนามว่าหลินอวี่ ส่วนคนนี้คือน้องสาวข้านามหลินอิน เราเป็นนักแสดงเร่ร่อน เดินทางครานี้เราตั้งใจจะไปเมืองหาดสายัณห์ กล่าวกันว่าศิลปินหลายคนที่นั่นมีชีวิตที่ดีกันทั้งสิ้น”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
ตู้ยี่หมิงยิ้ม “ข้าก็กำลังมุ่งหน้าไปเมืองหยาดสายัณห์เช่นเดียวกัน อย่างนั้นทำไมเราถึงไม่ไปด้วยกันเลยเล่า? จะได้ช่วยดูแลกันระหว่างทาง”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วด้วยท่าทีอึดอัด
ตู้ยี่หมิงผู้มีไหวพริบหันไปหาฉินอินด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “แม่หญิงหลินอวี่ดูเหมือนจะชอบมังกรนภาของข้ามาก หากร่วมทางกันไปเจ้าจะได้เล่นกับมันมากกว่านี้นะ…”
“ไม่เจ้าค่ะ”
ฉินอินเผยแววตารู้ทัน “ท่านพี่กับข้าคุ้นชินกับการเดินทางกันเอง จึงต้องขอปฏิเสธน้ำใจของท่านเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นเองหรือ…”
ตู้ยี่หมิงผิดหวังเล็กน้อย ทว่ายังคงยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าเห็นว่าแม่นางฉินอินชอบมังกรน้อยตัวนี้นัก เช่นนั้นข้าจะสอนวิธีฝึกอสูรให้สักอย่างสองอย่าง!”
“วิธีฝึกอสูรหรือ?”
หลินมู่อวี่หัวใจแทบหยุดเต้น เขารู้ซึ้งถึงวิชาควบคุมอสูรที่ชางไป๋เฮ่อใช้เพื่อลอบสังหารองค์จักรพรรดิ หากฉินอินสามารถเรียนวิชานี้ได้ต้องเป็นประโยชน์อย่างมากแน่!
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงรีบคำนับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินอินชอบสัตว์มาก หากท่านอาจารย์ตู้อยากสอนวิชาให้นาง ข้าจะยินดีอย่างยิ่ง!”
ตู้ยี่หมิงแววตาเป็นประกาย “ดีเลย เช่นนั้นข้าตกลง! พรุ่งนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้าเถิด!”
“รับทราบ!”
…
กลางดึกฝนเริ่มตกแรงขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วผืนฟ้า
ห้องของหลินมู่อวี่และฉินอินอยู่ริมสุด เสียงฟ้าผ่าดังลั่นราวกับมีคนใช้ขวานพังหน้าต่างเข้ามา ฉินอินที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงด้วยความหวาดกลัวชะโงกหัวมองหาหลินมู่อวี่ที่นอนบนพื้นพลางเอ่ยขึ้น “อากาศหนาวเช่นนี้บนพื้นคงเย็นไม่น้อย ท่านพี่อยากจะ…ขึ้นมานอนบนเตียงหรือไม่? ข้ากลัว…”
หลินมู่อวี่ซุกอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนเดียวด้วยความหนาวสั่น
“เราเป็นพี่น้องกัน ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ฉินอินกล่าว
หลินมู่อวี่เถียงกับตัวเองในใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมผ้าคลุม
ฉินอินหัวเราะลั่น “ถอดผ้าคลุมออกก่อนเถิด หากท่านพี่คิดว่าชายหญิงมิควรนอนด้วยกันสองต่อสองจะเสื้อเสื้อผ้าที่เหลือไว้แบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
“อืม”
หลินมู่อวี่ถอดผ้าคลุมออกขณะฉินอินเปิดผ้าห่มให้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด เสด็จพ่อไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่ท่านพี่ไม่ต้องกลัว…”
คำพูดของฉินอินทำหลินมู่อวี่เขินอาย “ข้าไม่ได้กลัว…”
“แล้วท่านพี่จะลังเลด้วยเหตุใดเล่า? ดูสิหน้าซีดหมดแล้ว…”
“คือว่า…”
ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังพูดติดขัด ฉินอินก็ดึงแขนเขาขึ้นไปบนเตียงและห่มผ้าให้ หลินมู่อวี่หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาและนอนนิ่งเหมือนคนตาย
ฉินอินเองก็เขินจนหน้าแดงก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง มองฟ้าแลบสว่างไสวด้านนอกทำให้ฉินอินเริ่มครุ่นคิด “อาอวี่ ท่านเป็นใครกันแน่?”
หลินมู่อวี่ชะงักกับคำถามเมื่อครู่ “ข้า…”
อันที่จริงหลินมู่อวี่รู้อยู่แล้วว่าตัวตนของเขานั้นเป็นปริศนา และแตกต่างจากผู้คนในโลกนี้ ฉินอินนั้นหลักแหลม มีหรือที่นางจะดูไม่ออก?
ฉินอินหลับตาลงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ข้าไม่สนหรอกว่าท่านจะเป็นใครแต่…กอดข้าได้หรือไม่? เสี่ยวอินผู้นี้ชอบท่านมาก…”
ฉินอินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจเย็นอย่างน่าประหลาด
หลินมู่อวี่ทำตัวไม่ถูกในหัวสมองว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามคำสั่งขององค์หญิงตรงหน้า โดยไม่แตะต้องนางมากไปจนเกินเลย หลินมู่อวี่โอบแขนรอบเอวของฉินอินก่อนจะกระชับกอดนางอย่างผ่อนคลาย
“แล้วที่เจ้าบอกว่าชอบข้า…ชอบในแบบไหนอย่างนั้นหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยปากถาม
ร่างบางของฉินอินสั่นเทิ้มพลางสอดประสานฝ่ามือนุ่มเข้ากับมือของหลินมู่อวี่ ขนตางอนกะพริบไหวนัยน์ตาบ่งบอกความรู้สึกที่ชัดเจนจากข้างใน นางเอ่ยกระซิบ “ชอบที่เราได้คอยปกป้องซึ่งกันและกันไปตลอดชีวิต”
หัวใจหลินมู่อวี่ของหลินมู่อวี่รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ย่อมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ เขาชอบฉินอิน ชอบทุกอย่างที่เป็นนาง การได้รักคนที่รักเรานั้นนับเป็นพรที่ยิ่งใหญ่
ฝ่ามือของหลินมู่อวี่กระชับแน่น เขาโอบฉินอินไว้อย่างนั้นพลางเอ่ยขึ้น “เสียดายที่ข้าไม่ได้มาจากโลกนี้ เสี่ยวอิน ข้า…”
ฉินอินหันมาสบตากับหลินมู่อวี่โดยพลัน หลินมู่อวี่ไม่สามารถละสายตาจากนางได้เลย ดวงตาคู่โตเป็นประกายจดจ้องมายังเขา “ไม่สำคัญแล้วว่าอาอวี่เป็นใครหรือมาจากที่ใด ต่อให้ต้องเสียสิ่งใดไปก็มิอาจห้ามข้าไม่ให้รักท่าน ท่านเองก็คิดเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ทราบซึ้งจนอยากร้องไห้ออกมา
ฉินอินเอ่ยกระซิบ “ท่านพี่…หากเสี่ยวอินได้ขึ้นครองราชย์ ท่านจะคอยอยู่เคียงข้างข้าหรือไม่?”
“แน่นอน…”
หลินมู่อวี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะกินอะไรพรุ่งนี้เช้า หากเจ้าถามถึงอนาคตว่าข้าจะทำสิ่งใดต่อ ข้าคงตอบเจ้าไม่ได้…”
ฉินอินหัวเราะก่อนจะกางแขนเรียวยาวที่ขาวดุจหิมะของนางโอบรอบคอหลินมู่อวี่ไว้ “นอนเถิด”
“อืม”
แต่ข้าจะนอนทั้งแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
…………………