The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1043 – กระบี่ฟันโลกา

  พวกเขามาจากดินแดนเดียวกับตำหนักโลหิตไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสำนักทั้งสอง และพวกเขาก็นับได้ว่าเป็นพันธมิตรต่อกัน
ต่อให้พวกเขาสาบานตำหนักโลหิตก็คงไม่จงใจฆ่าพวกเขา แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่เกรงใจกันอีก!
แต่คงจะเสียดายมากถ้าศิษย์ตำหนักเมฆาม่วงทิ้งโอกาสเข้าหอคอย
หอวิชานั้นเต็มไปด้วยโอกาสและรางวัลแก่ยอดฝีมือมันเป็นเช่นนั้นเสมอมา เป็นการไม่ดีหากพวกเขาจะทิ้งโอกาสนี้ไป
เมื่อชั่งน้ำหนักกับความเสี่ยงหลายคนในตำหนักเมฆาม่วงนั้นโศกเศร้า หากพวกเขายืนข้างตำหนักโลหิตตอนที่ตำหนักโลหิตถูกดินแดนมีดสวรรค์คร่าชีวิตเมื่อครู่ พวกเขาคงจะไม่ต้องหนักใจเช่นนี้  หลังจากเงียบอยู่นานลู่จือยี่จบริมฝีปากเดินไปเผชิญหน้ากับซือหยู
“ศิษย์น้องซือพวกเราต้องลงนามในปฏิญาณสัตย์ดวงใจด้วยไหม?”
“แน่นอน!”
ปิงหวูชิงเป็นฝ่ายตอบนางพูดอย่างไร้เยื่อใย
สีหน้าของเหล่าคนตำหนักเมฆาม่วงแย่ลงภาพตอนที่ดินแดนมีดสวรรค์กวาดล้างตำหนักโลหิตหวนกลับมา อดีตกลับมาเล่นงานพวกเขาแล้ว!
“ข้าถามเจ้ารึ?”
ลู่จือยี่ที่มักจะอ่อนโยนกลับพูดเสียงแข็งคำพูดของนางแสดงเจตนาร้าย
ปิงหวูชิงหวาดหวั่นเล็กน้อยการโต้ตอบของลู่จือยี่ทำให้นางไม่พอใจ
“เขาจะตอบเจ้าแบบเดียวกับข้านั่นแหละ!”
ปิงหวูชิงยิ้มเยาะความโหดร้ายและเด็ดเดี่ยวของซือหยูนั้นยิ่งกว่านางเสียอีก
แต่ซือหยูกลับส่ายหน้า
“ถ้าเจ้าถามข้าข้าจะตอบอีกแบบ”
“หืมม?”
ปิงหวูชิงหันไปมองซือหยูจากนั้นนางก็เหลือบมองลู่จือยี่ สัญชาตญาณสตรีบอกนางว่ามีเหตุผลที่ลู่จือยี่มองนางอย่างดุดัน และเหตุผลก็อยู่ข้างนาง…ซือหยูเซี่ยน!
ลู่จือยี่หน้าแดงระเรื่อแม้นางจะคิดไว้แล้วว่าซือหยูจะยอม นางก็รู้สึกประหลาด
“คนของพวกเจ้าควรกลับไปซะข้ามีพลังจำกัด ข้ามิอาจรั้งประตูได้นาน ขออภัยด้วย”
ซือหยูพูดอย่างไร้อารมณ์
เขายกแขนออกจากม่านพลังประตูม่านบางปิดตัวลง มันผสานตัวเองไปกับหอคอย
ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อราวกับถูกขังในบ้านน้ำแข็งรอยยิ้มบนใบหน้านางหายไปแทนที่ด้วยความตกตะลึง นางรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าซือหยูเซี่ยนเป็นชายอื่นที่อยู่ลึกในใจของนาง…หยินหยู
บางทีนางอาจจะคุ้นเคยกับการที่เขาทำทุกสิ่งเพื่อนางจนเกินไปดังนั้นเมื่อถูกเขาปฏิเสธโดยไม่คาดคิด นางก็พบว่ายากที่จะยอมรับได้ มันทำให้นางสับสน
“พวกเจ้ามิได้ติดหนี้อันใดต่อกันอีกแล้วไม่มีสายสัมพันธ์ต่อกันอีก อีกอย่าง คนของเจ้าจะยอมใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจจริง ๆ รึ?”
ซือหยูส่ายหน้าเขาหันหลังหายไปในหอคอย
ทุกคนนั้นยอมที่จะสาบานกับปฏิญาณเว้นแต่กู้ไทซู เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำ! อย่างแรก เขาเป็นคนที่หยิ่งยโส อวดดีในตนเอง คนอย่างเขาจะก้มหัวให้ซือหยูหรือ?
ประการที่สองหากเขาสาบานเมื่อใด ความตายก็จะมาถึง! ซือหยูสามารถสังหารเขาได้โดยที่เขามิอาจโต้กลับ เหตุใดเขาต้องเอาชีวิตตัวเองมาสาบานด้วยเล่า?
นี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่บอกได้ว่าเหตุใดเขาถึงให้ลู่จือยี่มาเจรจาและมันก็เพื่อทดสอบซือหยูด้วย มันคือส่วนหนึ่งของแผนการเขา! เป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นซือหยู มันจะเป็นใครก็ได้ หากสำเร็วแล้ว มันจะทำให้ซือหยูช้าลง ขณะที่กู้ไทซูบุกไปยังหอคอยได้ด้วยพลังพิเศษของเขา เขาจะพาทุกคนในตำหนักเมฆาม่วงเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็น
กู้ไทซูอาจจะไม่รู้เรื่องเส้นไหมล่องหนที่กรีดทางเปิดตัวเขาอาจเข้าไปยังหอคอยได้ แต่เขามิอาจควบคุมประตูได้
ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อดวงตาเศร้าหมอง หมอกวารีปกคลุมดวงตา แต่นางก็มิได้เสียใจมากนัก เพราะจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนางเลือกกู้ไทซู?
“ใช้ไม่ได้!”
เมื่อนางกลับมาข้างกู้ไทซูสิ่งที่ต้อนรับนางกลับเป็นคำต่อว่า
ตั้งแต่ที่กู้ไทซูกลับมาจากสิ่งที่เขาเรียกว่าธุระเมื่อสามวันก่อนสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อนางนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มตำหนิและทำให้นางอับอายแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย มันไม่เหมือนกับกู้ไทซูที่เคยอ่อนโยนกับนางเลย
แต่ด้วยเหตุผลที่นางไม่รู้ลู่จือยี่จึงไม่กล้าต่อต้านเพราะความรู้สึกผิดในใจ นางทำได้แค่อดทนยอมรับคำต่อว่า
และนางยังเชื่อมั่นว่าทางเลือกของนางไม่ได้ผิดมันต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน
“ไปกันเถุอะ!สวนสัตว์อสูรคือสถานที่สุดท้ายของแดนมณีและสถานที่ที่สำคัญที่สุึด!”
กู้ไทซูหันไปพูดกับคนตำหนักเมฆาม่วงสำหรับเขา หอวิชานั้นมีประโยชน์ แต่ก็มีขีดจำกัด เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือสวนสัตว์อสูร
ตลอดในทั่วทั้งดินแดนจิวโจวโลหิตของจิตวิญญาณประเภทสุดท้ายสามารถหาเจอได้จากสวนสัตว์อสูรในแดนมณีเท่านั้น
เมื่อกายาเก้าวิญญาณของเขาสมบูรณ์จะไม่มีใครนอกจากเซียนที่จะเทียบเขาได้อีกแล้ว! ไม่แม้แต่นภาจรัส ไม่แม้แต่ม่อเทียนฉวน!   “เจ้าปฏิเสธนางเพราะกลัวว่าข้าจะหึงสินะ?”
ปิงหวูชิงหัวเราะเบาๆ
ซือหยูส่ายหน้า
“ไปเถอะเราช้ามาหนึ่งชั่วยามแล้ว”
ศิษย์ตำหนักโลหิตทุกคนเข้าไปยังหอคอยและเริ่มไต่ระดับ
ฟึ่บ!
เมื่อเข้าไปถึงซือหยูได้สัมผัสพลังมิติและถูกพาไปยังพื้นที่ที่เป็นเอกเทศ ปิงหวูชิงเอกก็เช่นกัน
รอบกายซือหยูนั้นมีแสงสว่างจ้าดูเหมือนว่าเขาจะมาอยู่ในลานประลองแห่งหนึ่ง ที่กลางลานประลองนี้มีหุ่นเชิดที่ดูเหมือนจริงอย่างมาก ซือหยูตกใจเมื่อเห็นว่ามันเหมือนจริงเพียงใด ถ้าหากเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในแดนมณีก็มิอาจกลบความรู้สึกแค้นเคืองไปได้
“ม่อเทียนฉวน!!”
หุ่นเชิดนี้คือม่อเทียนฉวน!   นางอ่อนวัยกว่าม่อเทียนฉวนที่ซือหยูรู้จักนางดูเหมือนกับสาววัยรุ่นอายุราวสิบแปดปี แต่ดูจากโครงหน้า นางคือม่อเทียนฉวนแน่นอน
ซือหยูระลึกขึ้นได้ถึงข้อมูลที่ได้รับมาจ้าวชั้นจะเปลี่ยนในทุกครั้ง มันขึ้นอยู่กับยอดฝีมือที่ผ่านชั้นได้ไกลที่สุดในครั้งก่อนหน้า
ผู้ไต่หอคอยที่ทรงพลังที่สุดในยุคที่แล้วจะถูกหอคอยบันทึกเอาไว้และจะถูกจัดให้เป็นจ้าวชั้นคนต่อไปม่อเทียนฉวนคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในการไต่หอคอยเมื่อร้อยปีก่อน
เมื่อเห็นนางซือหยูยิ้ม
“เจ้าตอนเด็กรึ?ข้าสู้กับเจ้าตอนนี้ไม่ได้ แต่ข้าจะสู้กับเจ้าตอนเด็กได้ไหมนะ?”
ซือหยูยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาก้าวเข้าสู่ลานประลอง
หุ่นเชิดนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง
“อย่างที่ข้าได้ยินจากยอดฝีมือคนอื่นจ้าวชั้นจะไม่ลงมือโจมตีก่อนถ้าผู้ท้าชิงไม่เริ่มลงมือ”
ซือหยูพยักหน้าเขาพลิกฝ่ามือเรียกลูกแก้วแปดลูกมารายล้อมม่อเทียนฉวน
เขาใช้ค่ายกลคลื่นดาวตกเป็นกระบวนท่าสำรองเพราะไม่มีใครรู้ว่าม่อเทียนฉวนเมื่อร้อยปีก่อนแข็งแกร่งแค่ไหน
หลังวางค่ายกลซือหยูพบว่าตัวเองเคลื่อนที่ช้าลงไปมาก มันไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหว แต่ในจิตใจเองก็ด้วย เขาช้ากว่าโลกภายนอกสามในสิบส่วน
นี่คืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในหอคอย…มันคือการทำให้พวกเขาช้าลงด้วยเวลาที่บิดเบี้ยว!ยอดฝีมือทุกคนจะเชื่องช้าลงในหอคอยแห่งนี้
“มาเริ่มกันเลย!”
เมื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อยซือหยูซัดกระบี่พลังชีวิตเล็งไปที่ม่อเทียนฉวน
เมื่อกระบี่ห่างจากตัวสามสิบศอกม่อเทียนฉวนที่ปิดตาสนิทเริ่มตอบสนอง นางลืมตาช้า ๆ คลื่นพลังเข้มข้นไหลออกมาจากดวงตาไร้ชีวิตชีวานั้น พลังชีวิตของซือหยูสลายไปในพริบตาเดียว
พร้อมกันนั้นคลื่นพลังอสูรยังร้องคำรามออกมาจากร่างม่อเทียนฉวนสัตว์อสูรหลายตัวที่เกิดจากพลังอสูรพุ่งเข้าใส่ซือหยู พวกมันกรีดร้องเสียงดัง
ซือหญูไม่กลัวเกรงเขาใช้วิชามังกรเก้าอสูรเรียกมังกรทั้งหกออกมาข้างหน้า พวกมันเข้าซัดกับสัตว์อสูรพลังอสูร
ต่อมาซือหยูสัมผัสสายลมเย็นยะเยือกได้จากความว่างเปล่า
ม่อเทียนฉวนนั้นกำลังถือกระบี่หักสีดำสนิทในมือพลังนั้นเล็งที่ซือหยูพอดี
ซือหยูตกใจเขาบอกระดับพลังม่อเทียนฉวนได้จากกระบี่เล่มนี้ แต่ดูจากพลังชีวิต นางก็ควรจะเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าแล้ว แต่พลังของกระบี่นี้เกินกว่าพลังของนางมาก!
มิติในหอคอยถูกกระบี่ฟาดฟันจนเกิดเป็นรอยแยกมิติปั่นป่วนพลังกระบี่มหาศาลทำให้หอคอยสั่นไหว มันเทียบพลังได้กับอสูรเนรมิตรเลย!
ในด้านพลังม่อเทียนฉวนไม่ได้อ่อนแอไปกว่ายอดฝีมือแห่งดินแดนจากยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นปี้หลิงเทียนหรือกู้ไทซู
แต่มิได้หมายความว่าม่อเทียนฉวนจะมีพลังเพียงแค่นี้เพราะหอคอยเพียงแค่บันทึกพลังที่นางแสดงออกมา มิใช่พลังอื่นที่นางเก็บซ่อนเอาไว้
กระบี่ซัดเข้าหาซือหยูเขาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว Aileen-novel
“มา!”
ตู้ม!ตู้ม!
เหล่าลูกแก้วภายใต้ม่อเทียนฉวนเริ่มหมุนวนเป็นค่ายกลคลื่นดาวตก!
ค่ายกลนี้มีพลังมากจนม่อเทียนถูกขังไว้ที่กลางค่ายพลังกระบี่ถูกค่ายกลซัดแตกเป็นเสี่ยง ๆ  “กระบี่ฟันโลกา!”
ม่อเทียนฉวนกล่าวกระบี่ดำสนิทในมือปล่อยพลังอสูรที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อออกมา
พลังอสูรได้กลายเป็นกระบี่หลายล้านเล่มพุ่งตรงใส่ซือหยูราวกับเมฆาทมิฬพุ่งเข้าหาเขา
ซือหยูตกใจมากนี่คือวิถีกระบี่ชั้นกลาง กระบี่ไร้วันสลาย! ม่อเทียนฉวนเองก็เป็นปรมาจารย์กระบี่รึ? ซือหยูเพิ่งจะพบความลับที่ไม่มีผู้ใดรู้
จากข่าวลือของทั้งทวีปม่อเทียนฉวนมิได้เกี่ยวข้องกับวิถีกระบี่เลย ตั้งแต่ที่นามของนางเป็นที่รู้จักทั่วทวีป นางอาละวาดใต้หล้าด้วยจักรบินของนาง ไม่เคยใช้กระบี่แม้สักครั้ง
หุ่นเชิดม่อเทียนฉวนตรงหน้าซือหยูทำให้ซือหยูมองม่อเทียนฉวนใหม่
แทบจะไม่มีใครในจิวโจวที่บ่มเพาะวิถีกระบี่จนถึงกระบี่ไร้วันสลายได้มันคือวิถีในระดับที่ไร้เทียมทาน เกินกว่าจะวีดด้วยฐานพลัง!
ตัวอย่างเช่นปิงหวูชิงกระบี่ไร้วันสลายของนางจะแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อนางเป็นจ้าวเทวะระดับเก้า? แม้แต่อสูรเนรมิตรก็ไม่กล้าประมาทนาง
และเมื่อม่อเทียนฉวนคืออสูรเนรมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจิวโจวพลังกระบี่ไร้วันสลายของนางจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่า มันจะน่ากลัวแค่ไหนกัน?
ซือหยูคงต้องคิดดูใหม่เมื่อจะล้างแค้นและสะสางเรื่องราวกับม่อเทียนฉวนเมื่อกลับโลกภายนอก
ผู้หญิงคนนั้นแท้จริงกลับกลายเป็นคนที่เก็บซ่อนพลังไว้มาก นางคือคนที่ปิดบังเรื่องราวทุกอย่างไว้มากที่สุด! ซือหยูรู้สึกราวกับได้เจอความลับอันยิ่งใหญ่ของม่อเทียนฉวน
กระบี่ไร้วันสลายซัดค่ายกลคลื่นดาวตกและเอ่อพลังเข้าหาซือหยู  ซือหยูเยือกเย็นไม่มีใครอื่นที่นี่ เขาสามารถใช้พลังสูงสุดได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว
สุดท้าย…เขาก็เจอที่ที่เขาจะได้ทดสอบกระบี่ของตัวเอง!
ซือหยูพลิกฝ่ามือจับกระบี่ฝักกระบี่บนแผ่นหลังเปิดออก กระบี่สามเล่มเปล่งแสงสีเงินสะท้อนไม่หยุด
กระบี่เปล่งพลังไปยังท้องฟ้ามันปกคลุมพื้นที่โดยรอบด้วยแสงสีเงิน คลื่นกระบี่ของม่อเทียนฉวนแตกสลายไม่เหลือชิ้นดีด้วยกระบี่ของซือหยูที่ไม่เคยสั่นคลอน
เมื่อพลิกฝ่ามือซือหยูใช้กระบี่อีกเล่มซัดใส่ม่อเทียนฉวน เขาใช้พลังอย่างเรียบง่ายไร้ซึ่งทักษะ ไร้ซึ่งพลังกระบี่ ไม่มีแม้แต่เสียงกระบี่ถลาลม
ถึงอย่างนั้นม่อเทียนฉวนก็กลายเป็นฟองอากาศลวงที่สัมผัสไม่ได้ นางสลายไปพร้อมกับกระบี่หักในมือ
กริ๊ง!   เสียงแหลมดังสองสิ่งตกลงมาจากภาพลวง หนึ่งในนั้นคือลูกแก้วทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือ มันจะต้องเป็นลูกแก้วที่เป็นรางวัลในการเอาชนะจ้าวชั้น มีรูปสลักอยู่บนลูกแก้ว มันคือลูกแก้วหนึ่งดาว
อย่างที่สองคือชิ้นกระดูกมีตัวเลขมากมายสลักเอาไว้ มันคือคะแนนที่ซือหยูไต่หอคอยสำเร็จ เขาได้รับหนึ่งคะแนน
นี่คือชิ้นกระดูกที่ใช้บันทึกคะแนนรึ?ซือหยูคิดและจ้องมองกระดูกก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยซือหยูยังไม่ไปที่ชั้นสองทันที เขายืนนิ่งและครุ่นคิด
หุ่นเชิดม่อเทียนฉวนนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมากโดยเฉพาะกระบวนท่าที่สามที่มีพลังขั้นอสูรเนรมิตร ด้วยฐานพลังปัจจุบันของเหล่ายอดฝีมือ นอกจากผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนก็ยากที่จะต่อสู้ไหว!
แต่พลังป้องกันนางนั้นอ่อนแอถ้าหากใช้โอกาสที่นางตั้งตัวไม่ทันก่อนกระบวนท่าที่สามมาถึงได้ คนอื่นก็จะผ่านชั้นหอไปได้
The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

นิยาย The Divine Nine Dragon Cauldron
Status: Ongoing Author:
หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset