The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1190 – อันตรายใหญ่หลวงข้างหน้า

DND.

  ลูกหลานเทพในหมู่เมฆาที่รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างกับสิ่งที่ได้ยินก็พลางคิดตาม

  จริงๆ แล้วพวกเขาเข้าใจดี พ่อของพวกเขาปกป้องได้เพียงชั่วครู่ แต่มิใช่ชั่วนิรันดร์

  แต่ลูกหลานเทพส่วนใหญ่นั้นอ่อนแอลงและเกียจคร้านพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นเซียนขั้นสูงสุด ตราบเท่าที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางมากนัก พวกเขาก็จะได้เป็นผู้สืบทอดเทพ ชีวิตไร้แก่นสาร พวกเขาขาดแรงจูงใจ

  แม้พวกเขาจะรู้ว่าต้องเจอกับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในอนาคตแต่เพราะมันอยู่ห่างไกลเกินไปและไม่รู้ว่าเมื่อใดจะมาถึง พวกเขาจึงไม่คิดฝึกหนัก

   หรือเจ้าอาจจะพูดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เดินทางออกจากพันธมิตรบูรพาหากอยู่ในพันธมิตร เหล่าอสูรกับศัตรูจะมาจากที่ใด? 

  ซือหยูเย้ยหยัน

   เปิดตาพวกเจ้าเสีย!พันธมิตรบูรพาแห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ได้อย่างไร้กังวลรึ? 

   ธารดาราโลกนับสิบใบที่อยู่รอดมาเป็นร้อยปี ตอนนี้หายไปหมดแล้ว! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกที่แตกสลายเหล่านั้นเหมือนกับสรวงสวรรค์ในใจเจ้าเพียงใด? แค่สองเดือน! สองเดือนเท่านั้น อสูรจะส่งทัพมาถึงที่นี่ได้! 

   หรือเจ้าอาจบอกว่าพันธมิตรบูรพาอยู่ภายใต้การปกป้องของเทพร้อยคนอสูรมิอาจรุกราน แล้วถ้าหากอสูรทั้งหมดถูกส่งมาเล่า? พันธมิตรจะต้านทานไหวรึ? หรือเจ้าจะพูดว่าหากทั้งเผ่าอสูรรุกราน พวกเจ้าก็เตรียมการล่วงหน้า พอสุดท้ายที่พวกมันบุกเข้ามาจริง ๆ ทุกอย่างก็ถูกเตรียมการไว้แล้ว พวกมันจะทำอะไรไม่ได้! 

  ซือหยูถอนหายใจแรง

   แต่ถ้าพวกเจ้าไม่มีเวลามากพอเล่า? 

   พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่?โลกที่เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ เกิดจากอะไร? เหล่าอสูรเพียงแค่กลืนกินดวงวิญญาณจากภายในโลกนั้นไม่ใช่รึ? 

  ขณะนี้มิใช่เพียงลูกหลานเทพที่ให้ความสนใจในทุกสิ่งที่เขาพูด แม้แต่เหล่าเทพเองก็ฟังซือหยูด้วย

   นั่นหมายความว่าพวกอสูรทั้งหมดออกมาจากรังแล้วพวกเจ้ายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ! เพราะโลกอื่นตลอดทางก็หายไป ไม่มีใครเหลือติดต่อมาหาพวกเจ้า! 

   ข้าขอถามหน่อยหากอสูรอยู่ห่างจากพวกเจ้าเพียงสองเดือน พวกเจ้ามีเวลาเตรียมการหรือไม่? 

   พันธมิตรบูรพาต้องใช้เวลาเท่าใดหรือถึงจะเรียกยอดฝีมือจากโลกต่างๆ มาได้? สองเดือนมันพอเรอะ? 

  ซือหยูถาม

  เหล่าลูกหลานเทพตึงเครียดการจะเคลื่อนทัพทั้งพันธมิตรต้องใช้เวลาแรมปีไม่ใช่หรือ? ในเวลาเพียงสองเดือนก็มีเพียงแต่โลกใบที่อยู่ชายแดนเท่านั้นที่จะรับมือทัน

   แล้วต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะเรียกเทพที่เดินทางไปทั่วกลับมาได้?สองเดือนมันพอแล้วเรอะ? 

  หัวใจของเหล่าลูกหลานเทพเจ็บแปลบยิ่งกว่าเดิมในวันนี้ เทพมากกว่าครึ่งล้วนเดินทางออกจากแผ่นดินตัวเอง ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ต้องใช้เวลาแรมปีกว่าจะกลับมา เทพที่อยู่ไกลอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงสิบปี!

   ถึงตอนนั้นเทพจะถูกเทพอสูรจับตัว ใครกันจะช่วยพวกเจ้าในยามที่คนช่วยพวกเจ้ายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้? ฟ้าดินจะช่วยพวกเจ้าเรอะ? ถ้าพวกเจ้าตะโกนใส่เผ่าอสูรว่าเจ้าไม่ยอมแพ้ เจ้าคิดว่าพวกมันจะกลัวหรือไม่? 

  ทั้งโลกเทพกระเรียนเงียบกริบ

  ทั่วทั้งฟ้าดินมีเพียงเสียงของซือหยูที่ดังก้อง

   หากข้าเป็นอสูรถ้าไม่เข้าตีตอนนี้ ข้าก็รู้สึกผิดกับเผ่าพันธุ์ตัวเองยิ่งนัก 

  ซือหยูถอนหายใจยาวยิ่งเขารวบรวมข่าวและวิเคราะห์ได้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพันธมิตรบูรพาที่ดูเจริญรุ่งเรือง แท้จริงกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง

  การทำลายโลกมิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นแผนเผ่าอสูรที่ทดสอบพันธมิตรว่าจะตอบสนองเช่นใด

  กว่าจะถึงเวลาที่พันธมิตรตอบสนองทุกสิ่งก็จบลงไปแล้ว

  แต่ถึงอย่างไรก็ตามคำพูดของคนธรรมดาอย่างเขาจะไม่มีทางให้เหล่าเทพได้เก็บไปคิด มีเพียงการต่อสู้วันนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาเผยจุดอ่อนของพันธมิตรมาได้

  หากคนส่งข่าวหายไปต่อให้ทัพศัตรูบุกเข้ามา พันธมิตรก็จะไม่รู้อะไรเลย

  กำลังจะกระจัดกระจายขณะที่เผ่าอสูรจะรวมตัวเป็นหนึ่งบุกเข้ามา โลกแต่ละใบจะมีเวลาต่อสู้กับสิ่งที่ถาโถมเข้ามาจนถูกกลืนกินอย่างง่ายดายจากอสูรเท่านั้น

  เหล่าเทพแห่งพันธมิตรจะไม่กลับมาเทพอสูรจะร่วมมือกัน ต่อให้ไม่นับข้อได้เปรียบเรื่องความแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ของอสูรแล้ว พวกมันก็ยังมีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนอีกด้วย หากเทพตายกันหมด พันธมิตรก็ถูกอสูรยึดครอง

  แต่เรื่องร้ายแรงที่สุดก็คือพันธมิตรบูรพาเพียงแค่รู้วิธีสุขสำราญในชีวิตและไม่เห็นวิกฤติตรงหน้าแม้จะเห็นว่าอสูรอยู่ไม่ไกล ภัยพร้อมจะมาทุกเมื่อ พวกเขาก็เพียงหวังกับเหล่าเทพราวกับนกกระจอกเทศชะเง้อคอ เมื่ออันตรายมาถึงเมื่อใด พวกเขาก็แค่ฝังหัวตัวเองลงกับทราย เมื่อมองไม่เห็น อันตรายก็ถือว่าไม่มีอยู่

  แม้วิชากระบี่ของปู้หลูยี่จะแข็งแกร่งแต่เขาก็ต้องยอมรับความจริงในคำพูดของซือหยู

  ส่วนลูกหลานเทพคนอื่นสิ่งที่ซือหยูพูดนั้นดูเหมือนคำเตือนเสียมากกว่า

  เว้นแต่หยางไท่ที่มีเครือข่ายข่าวกรองที่กว้างขวางมีลูกหลานเทพน้อยคนนักที่จะสนใจในเรื่องนี้ ลูกหลานเทพหลาย ๆ คนเกียจคร้านเกินกว่าจะคิดอ่านให้ไกลกว่าเดิม

  นั่นก็เพราะว่ามีเทพที่คุ้มครองพวกเขายังไม่รีบร้อนแล้วใยพวกเขาจะต้องรีบร้อนเล่า?

  พวกเขาไม่รู้เลยว่าเหล่าเทพเองก็กังวลอยู่แล้ว

   สุดท้ายเขาก็พูดสถานการณ์ของพันธมิตรออกมาข้าอยากจะหนีไปให้ไกลจากพันธมิตร แต่คงจะทำไม่ได้แล้ว 

  เทพคนหนึ่งถอนหายใจ

  ในฐานะเทพซือหยูจะพูดสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ได้อย่างไร?

  ต่อให้พวกเขาไม่รู้ความตั้งใจที่อสูรกลืนกินโลกที่เป็นเอกเทศในอื่นตามเส้นทางแต่เดี๋ยวก็จะมีคนรู้ในอีกไม่นาน

  พวกเขาแอบเตรียมการเพิ่มระดับเครือข่ายข่าวกรองเช่นเดียวกับเทพการค้าที่จับตาดูเหล่าอสูร

  แต่เพราะทั้งจักรวาลต้องเดินทางผ่านธารดาราดังนั้นการส่งข่าวจึงเชื่องช้า เวลาที่จะรับรู้การเคลื่อนไหวของอสูรนั้นยาวนานกว่าหนึ่งปี

  พวกเขาเองก็เริ่มแอบเรียกตัวเทพกลับมาล่วงหน้าเมื่อสิบปีก่อนแล้วผลที่ได้คือมีเทพสามสิบคนที่ไม่ตอบกลับ ส่วนมากที่ตอบกลับก็เป็นส่วนที่เดินทางกลับอยู่แล้ว ใช้เวลาหนึ่งปีกว่าเทพที่อยู่ใกล้ที่สุดจะกลับมา แต่เทพที่อยู่ไกลที่สุดต้องใช้เวลาถึงสิบปี

  ถ้าอสูรบุกเข้ามาจริงทุกอย่างจะเกิดขึ้นตามที่ซือหยูบอก

  สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือพวกเขาเหลือเทพเพียงห้าสิบคนเท่านั้น และพวกเขาก็น่าจะถูกบดขยี้โดยจำนวนศัตรูที่มากกว่า

  ต่อมาโลกแต่ละใบจะต้องต่อสู้ด้วยกำลังของตัวเอง และจะถูกกำลังอสูรเอาชนะไปทีละใบ

  หลังจากนั้น…พันธมิตรบูรพาที่ส่องประกายธารดารามาหลายล้านปีจะกลายเป็นความมืดมิดไปตลอดกาล

  พันธมิตรกำลังเจอกับวิกฤติเหล่าเทพเองก็พยายามแก้ไข เพื่อที่จะทำให้ผู้คนสบายใจ พวกเขาเลือกที่จะไม่สร้างความตื่นตระหนกและไม่พูดอะไร

  ในวันนี้ทุกคนรู้แล้วเพราะซือหยู

   ทุกคนบอกว่าเขาเฉลียวฉลาดซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ถ้าเขามาพันธมิตรตั้งแต่หลายสิบปีก่อน บางทีพวกเราก็อาจจะไม่เฉื่อยชาอย่างวันนี้ 

  เทพคนหนึ่งมองเทพจิงและพูดชมซือหยู

  เทพที่อยู่ที่นี่มาเพื่อแสดงความสนับสนุนปู้หลูยี่มีเพียงเทพจิงที่ยืนข้างซือหยู

  ในทีแรกเทพจิงรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่สบายใจเท่าใดนัก เมื่อเขาได้ฟังเทพอีกคนพูดเช่นนั้น เขาจึงอดดีใจไม่ได้ ซือหยูทำให้เขาได้รับเกียรติ

   ถูกต้องซือหยูคิดอ่านได้ยอดเยี่ยม เขาฉลาดขั้นสุดยอด หากเจ้าจะไม่คล้อยตามเขาก็คงจะยากหน่อย 

  เทพจิงพูดชมซือหยูต่อไปอีกนี่คือคำชมจากในจริงที่เขารู้สึกต่อซือหยู

   หึหึพลังของเขาเองก็น่าตกใจ สายใยมังกรสิบสายถูกปลูกถ่ายในร่าง ทั้งสิบล้วนเป็นของว่าที่เทพ ไม่แปลกเลยที่วิชามังกรของเขาจะปล่อยพลังระดับนั้นได้ 

  เทพอีกคนรับรู้ถึงรายละเอียดในพลังมหาศาลของซือหยู

  หลายคนคาดหวังว่าจะได้เห็นการต่อสู้ฝ่ายเดียวซึ่งผลก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่มิใช่จากปู้หลูยี่

  เทพหลายคนเริ่มปรบมือหากเพียงซือหยูเอาชนะปู้หลูยี่ในการต่อสู้นี้ได้ พวกเขาจะไม่ปรบมือเลยเพราะเห็นแก่เทพกระบี่

  แต่พวกเขาประทับใจในคำพูดของซือหยูจากใจจริง

  มีวีรบุรุษนับไม่ถ้วนในพันธมิตรแต่มีน้อยนิดที่คิดอ่านได้อย่างซือหยู เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะชื่นชม

  เทพหลายคนที่รู้สึกขยะแขยงในใจที่เขาลักพาตัวลูกหลานเทพเองก็พยักหน้าเบาๆ และมองซือหยูด้วยความชื่นชม

  เทพกระบี่เคลื่อนไหว

  เขามาถึงตัวซือหยูและปู้หลูยี่ในพริบตา

  ซือหยูพยักหน้าเล็กน้อยและยกเท้าออกจากปู้หลูยี่

  ปู้หลูยี่ยืนอย่างน่าเวทนาเขาก้มหน้าไม่พูดอะไร

   เจ้าได้รับบทเรียนแล้วหรือไม่? 

  เทพกระบี่ถามอย่างไร้อารมณ์

  ปู้หลูยี่ก้มหน้าลงต่ำเขาพ่ายแพ้ต่อคำพูดเฉียบคมของซือหยูจนพูดอะไรไม่ออก ความโอหังของเขาจางหายไป

  แววตาเทพกระบี่ภายใต้แสงเทพขยับเล็กน้อยเขาโล่งใจขึ้นมาบ้าง

  เขาเป้นเทพกระบี่เขาจะไม่รู้หรือว่าปู้หลูยี่บกพร่องในด้านใด? แต่ไม่ว่าเขาจะชี้แนะเช่นใด ปู้หลูยี่ก็อวดดีและคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ ปู้หลูยี่ไม่เคยจำคำพูดเขาใส่ใจ สุดท้าย วิชากระบี่ของเขาจึงบกพร่องมาถึงวันนี้

  ด้วยตำแหน่งเทพกระบี่ของเขาผู้เป็นพ่อไม่มีใครกล้าทำให้เขาตระหนักความจริงจนถึงวันนี้

   หลังกลับวันนี้จงฝึกฝนเสีย! 

   ข้ารู้แล้ว 

  ปู้หลูยี่โค้งกัดฟัน เขาโค้งคำนับให้ซือหยู

   ขอบคุณที่ชี้แนะ! 

  เขาจากไปหลังจากพูดจบ

  จากนั้นจึงเหลือแต่เพียงซือหยูและเทพกระบี่เทพหลายคนเป็นกังวลกับซือหยู

  เมื่อครู่ซือหยูเพิ่งจะเหยียบปู้หลูยี่ด้วยเท้าและจงใจทำให้เขาอัปยศ สำหรับผู้เป็นพ่อ การที่เทพกระบี่จะทำอย่างไรต่อไปนั้นยากจะคาดเดา

   ซือหยูข้าเป็นพ่อคน ข้าควรตอบแทนด้วยตาต่อตา เจ้าทำกับลูกข้าเช่นใด ข้าก็จะทำกับเจ้าเช่นนั้น 

  เทพกระบี่พูดเบาๆ

  เมื่อได้ยินดังนั้นเทพจิงพุ่งเข้ามาทันที เขาจ้องมองเทพกระบี่

  แม้เขาจะไม่ใช่ศัตรูกับเทพกระบี่เลยแม้แต่น้อยแต่เขาจะยอมอยู่เฉย ๆ ให้ซือหยูโดนลงโทษได้อย่างไร? แผนจะไม่เสียหรือ?

   แต่ข้าเป็นเทพกระบี่ข้ายินดีนักที่เจ้าทำกับลูกข้าเช่นนั้น เขาจะมีโอกาสรอดชีวิตในสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรในอนาคต 

  เทพกระบี่แสดงความใจดีออกมาเขาใช้มือหยิบขวดที่เต็มไปด้วยแสงเทพวิญญาณ

   นี่คือโอสถวิญญาณฟ้าเป็นผลดีแก่ดวงวิญญาณเจ้า นี่คือรางวัลที่ข้ามอบให้เจ้า 

  เทพกระบี่คือหนึ่งในเก้าเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของจริงแค่เพียงมองเขาก็บอกได้ว่าซือหยูกำลังบ่มเพาะดวงวิญญาณในขั้นถัดไป

  ซือหยูขอบคุณเขา

   ขอบคุณท่านเทพกระบี่ 

  เทพกระบี่พยักหน้า

   กินมันตรงนี้โอสถวิญญาณฟ้ามีแสงเทพของข้า ยิ่งห่างจากข้าเท่าใด พลังของมันจะอ่อนแอลงเท่านั้น 

  ซือหยูกินมันอย่างไม่ลังเล

  เทพกระบี่ชอบใจที่เห็นเขากินมันในพริบตา

   เจ้าไม่กลัวว่าจะมีสิ่งผิดปกติในโอสถรึ? 

  ซือหยูตอบกลับ

   หากท่านคิดจะทำอะไรกับข้าท่านจะต้องใช้โอสถหรือ? 

   โอ้น่าสนใจดีนี่! 

  เทพกระบี่หัวเราะเบาๆ

   ข้าจะได้เจอเจ้าพรุ่งนี้ในงานชุมนุมเทพ 

  หลังพูดจบเขากลับไปพูดกับเทพหลายคนที่เหลือ

   เทพกระบี่เจ้าหนูนั้นเฉลียวฉลาด ตอนนี้เขาเป็นตัวแทนโลกเทพกระเรียน เราควรให้เขาได้เข้าร่วมการหารือเรื่องกำจัดอสูรกับพวกเราด้วย 

  เทพกระบี่ตอบ

   ใช่แต่รอจนกว่าการบูชายัญเทพจะจบลงก่อน 

  เหล่าเทพทยอยกลับเหลือเพียงเทพจิงที่ยังอยู่ เขาสังเกตเห็นว่าที่เทพในบรรดาหมู่คน

 

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

นิยาย The Divine Nine Dragon Cauldron
Status: Ongoing Author:
หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset