The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1281 – เลือดยักษ์

  ซือหยูแอบส่ายหัวนางผู้นี้แสร้งทำเป็นฉลาด ดูอ่อนแอ แต่ก็มิใช่คนหยิ่งผยอง

   เพราะเจ้ายังเห็นไม่มากพอ… 

  ซือหยูพูดเบาๆ และก้าวพริบตาออกไป เขาหายตัวไปจากสวน

  ใบหน้าน่ารักใต้ผ้าคลุมขาวของปี้หวังชิงไม่พอใจนักริมฝีปากแดงเผยอ นางพูดด้วยความใจเย็น

   นี่คือต้นตอแห่งความโกลาหลที่ท่านอาจารย์ให้ข้าติดตามหรือ?เขาไม่ได้ฟังคำแนะนำของข้าแม้แต่น้อย คนเช่นนี้จะพาข้าไปหาผลลัพธ์อันไม่คาดคิดได้รึ? 

  นางส่ายหน้าเบาๆ และถอนหายใจอย่างหมดหวัง นางตามกำลังจะตามไป แต่ก็พบว่าซือหยูหายตัวไปเฉย ๆ!

  เว้นเสียแต่เทพมีว่าที่เทพขั้นสูงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ก้าวพริบตาได้!   นางตามซือหยูไปจนถึงแท่นบูนชา

  นางคิดในใจ

  ‘เจ้าทำทีว่าจะไม่ฟังข้าแต่สุดท้ายเจ้าก็มาที่นี่ไม่ใช่รึ? ให้ตายเถอะ เจ้าแค่ไม่อยากเสียหน้าเท่านั้นเอง’

  ซือหยูบินเข้าใกล้ขึ้นเขาสูดกลิ่นเลือดและยืนยันความคิดตัวเอง

   จะต้องป้องกันทางหนีก่อน 

   คิกๆ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว ใยเจ้าใช้เวลานานนัก? 

  องค์หญิงหกก้าวพริบตามาทางซือหยูด้วยความร่าเริงมือนางยังเปื้อนเลือดอยู่

  ซือหยูตอบ

   มีเรื่องเล็กน้อยถ่วงเวลาข้าองค์ชายหนึ่งคงจะบุกไปถึงตำหนักหลวงแล้วใช่ไหม? 

  แววตาองค์หญิงหกดูมีความสุขเมื่อมองตาซือหยูซือหยูพยากรณ์เรื่องที่เทพตำราจะทำได้ถูกต้องทุกประการ ความสามารถในการคาดเดาอนาคตของเขาเหนือกว่านางไปมาก  อุบายของซือหยูทำให้องค์หญิงหกที่เย่อหยิ่งคล้อยตามเขาเป็นคนประหลาดอย่างแท้จริง

   น่าจะไม่มีปัญหาด้วยกำลังของท่านพี่และทัพของเรา เทพอสูรเจ็ดส่วนในตำหนักหลวงถูกส่งไปจัดการกับยักษ์ทะเลขม 

  องค์หญิงหกยอมรับซือหยู

   ต้องขอบคุณเจ้าแม้แต่ท่านพี่ก็ชื่นชมความคิดเจ้าในการล่อลวงยักษ์ออกมา! 

  ซือหยูยิ้มเขามองโลหิตเทพที่ตัวนางและเกิดความคิด

   แล้วก็ขอบคุณสำหรับการเตรียมการล่วงหน้าของเจ้าเราจึงเข้าตำหนักได้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัว ฮ่าๆๆ เจ้านี่มันผู้นำกบฏครั้งนี้ชัด ๆ 

  ปี้หวังชิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเลิกคิ้ว

   หืม?องค์หญิงหกหมายความว่ายังไง? ยักษ์ทะเลขมขึ้นฝั่ง และกลุ่มรัชทายาทที่ก่อกบฏ…มันเกี่ยวอะไรกับซือหยูล่ะ?    นางมองซือหยูและองค์หญิงหกองค์หยิงหกจึงมองนาง

   นางเป็นใคร?อืม…นางมีพลังแบบเดียวกับเทพอสูรเนตรม่วง นางคือทายาทเขางั้นรึ? ทำไมนางถึงอยู่กับเจ้า? 

   มันเป็นสัญญาน่ะ… 

  ซือหยูพูดเบาๆ

  องค์หญิงหกเฉลียวฉลาดเพียงใดน่ะหรือ?ได้ยินเพียงเท่านี้นางก็ยิ้มออกมา

   เทพอสูรเนตรม่วงที่กำลังจะหมดลมหายใจ…พร้อมที่จะส่งต่อทายาทให้กับเจ้าสินะ? 

  องค์หญิงหกหัวเราะเมื่อมองปี้หวังชิง

   เจ้าโชคดีแล้วที่ได้ติดตามคนแบบนี้อนาคตจะมีโชคดีรอเจ้าไม่ขาดสาย 

  อ๊ะ!

  ปี้หวังชิงสับสนเล็กๆ อาจารย์นางพูดเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร แต่องค์หญิงหกถึงกับพูดอย่างเดียวกัน  เหตุในองค์หญิงหกถึงบอกว่านางจะได้ผลประโยชน์มากมายเมื่อติดตามซือหยูกัน?

  จากที่นางเห็นเมื่อได้พบเขาเพียงครู่สั้นๆ เขาไม่ใช่คนที่ดูยิ่งใหญ่อะไร เพียงแค่คนที่พยายามรักษาหน้าเท่านั้น

  ซือหยูไม่มีเวลาคิดตามนางเขาเดินไปยังแท่นบูชาเพื่อเก็บซากเทพและโลหิตบนพื้น

  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์หญิงหกไม่สนใจแต่สำหรับซือหยู มันใช้การได้หลายรูปแบบ

  ปี้หวังชิงไม่พูดอะไรเมื่อมองดูซือหยูเก็บโลหิตเทพนางส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบา ๆ

  องค์หญิงหกมองนางแววตาทะลุทะลวงนั้นมองออกว่านางกำลังคิดอะไร

   หึหึเจ้าไม่พอใจสินะ 

  ปี้หวิงชิงตอบอย่างไร้อารมณ์

   ฝ่าบาทคิดมากไปแล้ว 

   หึหึ… 

  องค์หญิงหกอ่านคนมานับไม่ถ้วนนางรู้ความคิดของปี้หวังชิงเพียงการเหลือบมองครั้งเดียว นางส่ายหน้าหัวเราะ

   เจ้าก็แค่ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองฉลาดเทพอสูรเนตรม่วงก่อปัญหาให้ซือหยูซะแล้ว 

  อะไรนะ!

  ปี้หวังชิงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไม่นานมานี้ ซือหยูบอกว่านางทำตัวฉลาดเกินไป แล้วทำไมองค์หญิงหกถึงพูดแบบเดียวกันกับนางอีกล่ะ?

  เนตรที่ได้สืบทอดพลังนี้มองเห็นและเข้าใจทุกสิ่งบนโลกปี้หวังชิงมักจะสัมผัสได้ถึงความเหนือกว่าทุกคน

  แต่ในวันนี้นางกำลังถูกดูหมิ่น เท่านี้ก็มากพอแล้วที่ทำให้นางไม่พอใจ

   ฝ่าบาทแม้ท่านจะเป็นองค์หญิง ท่านก็ไม่จำเป็นต้องดูหมิ่นข้าขนาดนี้ไม่ใช่รึ? 

  ปี้หวังชิงพูดเบาๆ

   ดูหมิ่นรึ? 

  องค์หญิงหกยิ้มเยาะ   ที่ข้าบอกว่าเจ้าแสร้งเป็นฉลาดก็เพราะว่าเจ้ามันอวดดี!ข้าขี้เกียจอธิบายให้เจ้าฟังแล้ว 

  ซือหยูกลับออกมามีกายหยาบของเทพและโลหิตของสามคน ซือหยูเก็บจนไม่เหลืออะไรทิ้งไว้

   หืม?เจ้าจะเอาเลือดพวกนั้นไปทำอะไร? 

  องค์หญิงหกเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย

  ซือหยูตาเป็นประกาย

   มันพอมีทางให้ใช้ได้อยู่ที่นี่ถูกคุ้มกันทั้งหมดแล้ว เราทิ้งคนคุ้มกันไว้สองคนแล้วไปทีตำหนักกัน 

   เราไม่จำเป็นต้องไปท่านพี่เป็นคนลงมือ ที่ตำหนักก็ไม่มีกำลังคุ้มกันมากนัก มันเกือบจะจบแล้ว! ตราบเท่าที่เราเข้าตีจุดต้องห้ามในตำหนักและถึงจุดที่ท่านพ่อบ่มเพาะพลังอยู่ได้ เราจะปลุกท่านพ่อขึ้นมา ถึงตอนนั้น ไม่ว่ามเหสีหยุนเซี่ยจะวางแผนมาดีแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยนางได้ 

  ซือหยูกอดอกส่ายหน้า

   เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไปฟังข้าและไปช่วยพวกเขาเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปกับเจ้า 

  องค์หญิงหกตอบกลับอย่างแน่วแน่

   ก็ได้!ยังไงเจ้าก็เป็นคนวางแผนการยึดอำนาจนี้ คำแนะเจ้าทำให้พวกเราสูญเสียน้อยลง ข้าจะฟังเจ้า! ไปกันเลย! 

  นางดึงซือหยูก้าวพริบตาไปด้วยกัน

  ปี้หวังชิงตกตะลึงนางตกตะลึงโดยแท้จริง นางแทบจะคิดว่าตัวเองหูฝาด

  องค์หญิงหกพูดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจครั้งนี้คือซือหยูงั้นรึ?

  เป็นไปได้ยังไง?รัชทายาทจะมาฟังคนนอกให้ก่อกบฏได้ยังไง?

  แต่องค์หญิงหกก็ดูไม่น่าจะโกหก!

  เสียงคำรามดังก้องในจิตใจนางไม่หยุดนางคิดถึงบทสนทนาระหว่างนางกับซือหยูที่หน้าเรือน

  นางคิดว่านางมองเห็นทุกอย่างบนฟ้าดินนางเป็นยักษ์ทะเลขมขึ้นฝั่ง นางเห็นทัพกบฏรัชทายาท เห็นโอกาสหนีจากโลกอสูร และยังเตือนซือหยูไม่ให้พลาดโอกาสนี้ไป

  กลับกลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดถูกบงการโดยซือหยู!

  เขาไม่ต่างจากยอดฝีมือที่แสดงวิชาให้กับคนผ่านไปมาที่ไม่สนใจมากนักแต่ทุกคนกลับรู้ว่าผู้ที่ผ่านทางมาก็คือผู้คิดค้นวิชานั้นขึ้นมา!

  ไม่แปลกเลยที่ซือหยูจะบอกว่านางคิดว่าตัวเองฉลาดเกินไปเมื่อนางไม่เห็นด้วยกับเขา เขาก็เพียงบอกนางว่านางยังเห็นไม่มากพอ

  เนตรนางเห็นเพียงเหตุการณ์ที่ดำเนินเกิดขึ้นแต่นางมิอาจเห็นคนบงการที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดได้เลย!

  นางคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่ได้เจอองค์หญิงหกที่องค์หญิงหกบอกว่านางอวดดีและทำเป็นฉลาด ปี้หวังชิงเริ่มรู้สึกร้อนรุ่ม

  จากที่เห็นเมื่อครู่…นางคือคนที่อวดดีจริงๆ!

  แต่นางก็ยังไม่คล้อยตามไปเสียทั้งหมดนางไม่มีทางเชื่อนอกจากจะได้เห็นกับตาตัวเอง

   ถ้าเจ้าอยากให้ปี้หวังชิงผู้นี้ติดตามด้วยความเต็มใจเจ้าก็แสดงพลังที่มีให้ข้าได้เห็น มิเช่นนั้น ข้าขอตายในการใช้ชีวิตของตัวเอง ดีกว่ามือของคนไร้น้ำยาของเจ้า! 

  ปี้หวังชิงก้าวพริบตาตามไป

  เมื่อซือหยูถึงตำหนักมันก็กลายเป็นทุ่งสังหารไปแล้ว

  ศพว่าที่เทพเกลื่อนกลาดเต็มไปหมดมีศพของเทพปะปนอยู่ด้วย

  ในอดีตตำหนักหลวงเคยล่มสลายระหว่างสงครามเทพ มันกลายเป็นซากเทพจะทั้งหมด เหลือเพียงจุดศูนย์กลางต้องห้ามที่ไร้รอยข่วน

  ทัพกบฏบุกไปถึงที่นี่แล้วเขาใช้กำลังบังคับให้ทุกคนในตำหนักถอยมารวมกัน

  หลังจากการต่อสู้อย่างน่ากลัวก็เหลือเทพเพียงห้าคนจากยี่สิบคนในตำหนัก และทุกคนยังมีบาดแผล

  แต่ในทัพกบฏเหล่ารัชทายาทปลอดภัยไร้ความสูญเสีย มีเจ้าเมืองไม่กี่คนเท่านั้นที่ตายไป

  นี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่ง่ายกว่าที่ใครคาดคิด

  ต้องขอบคุณยักษ์ทะเลขมที่ดึงกำลังขนาดใหญ่ออกไป

  เหล่ารัชทายาทมองสถานที่ต้องห้ามเหล่าทหารเชลยหน้าตำหนัก และสตรีวัยกลางคนในชุดราชวงศ์ รัชทายาทถูกกลุ่มเจ้าเมืองคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทุกคนจ้องไปที่นางด้วยจิตสังหาร

  องค์ชายหนึ่งมีกระบี่อสูรในมือเขาชี้ไปที่สตรีวัยกลางคน

   มเหสีหยุนเซี่ยเจ้าไม่มีทางหนีแล้ว ยอมแพ้ซะ! อย่าขัดขืนโดยไม่จำเป็น! 

  ซือหยูมองนางจากระยะไกลเขาหรี่ตา นั่นคือมเหสีหยุนเซี่ยรึ?

  นาเงป็นสตรีวัยกลางคนในชุดสีเพลิงมีปิ่นสีทองปักผมเอาไว้

  ดวงตานางสงบนิ่งดั่งภูผาแสดงความยิ่งใหญ่ที่เทียบได้กับจักรพรรดิ

  นางนั่งอยู่หน้าตำหนักหลวงเงียบๆ เผชิญหน้ากับทัพกบฏ สีหน้านางสงบนิ่งแม้จะเห็นศัตรูจำนวนมาก

  ความยิ่งใหญ่นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อทัพกบฏโดยเฉพาะกับเหล่าเจ้าเมืองที่ไม่กล้าสบตาคู่นั้น

   ผู้ที่สร้างความวุ่นวายก่อกบฏ ไม่รู้จักคุณบิดามารดา สมควรถูกประหาร! 

  มเหสีหยุนเซี่ยพูดเสียงเบาแต่ด้วยความยิ่งใหญ่ มันทำให้เหล่าเจ้าเมืองรู้สึกผิด  องค์ชายหนึ่งพูดขึ้น

   มเหสีหยุนเซี่ยเจ้าใช้อำนาจมากพอแล้ว หากไม่คิดกลับใจเสียใหม่ ข้าจะต้องใช้ไม้แข็ง! แม้ท่านพ่อที่ปิดประตูฝึกตนอยู่จะรู้ตัว ราชวงศ์ก็ต้องกำจัดเจ้า ข้าเชื่อว่าท่านพ่อจะไม่ว่าอะไร 

  มเหสีหยุนเซี่ยสีหน้าดังเดิมนางไม่คิดจะยอมแพ้

   บุก!ถ้าท่านพ่อว่าจะไร ข้าจะรับไว้ทั้งหมดเอง! 

  องค์ชายหนึ่งกล่าว

  เหล่ารัชทายาทปล่อยพลังออกมาและจู่โจมไปพร้อมกัน

  เพื่อที่จะจัดการมเหสีหยุนเซี่ยและกำจัดคนชั่วในแดนอสูรทางเดียวได้มาถึงแล้ว!

  แต่องค์ชายเจ็ดตาลุกวาวขณะที่บุกตามองค์ชายหนึ่งเข้าไป เขาขว้างตะขาบสีเลือดใส่องค์ชายหนึ่ง

  องค์ชายหนึ่งไม่ทันรู้ตัวและถูกตะขาบแดงรัด

  ตะขาบแดงทะลวงร่างองค์ชายหนึ่งในพริบตา

  องค์ชายหนึ่งกรีดร้องกายาเทพเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว!

   โลหิตยักษ์ทะเลขม!!! 

  ในร่างของตะขาบมีโลหิตของยักษ์ทะเลขมอยู่ภายใน!

  โลหิตยักษ์ทะเลขมนั้นแข็งแกร่งมากต่อคนในราชวงศ์

  มันคือเหตุผลที่องค์หญิงเก้ากลับสู่ร่างต้นของตัวเอง

   ผนึกเจ็ดสาย! 

  องค์ชายหนึ่งตอบสนองอย่างรวดเร็วพลังเทพทะลักออกจากร่าง มันชะล้างโลหิตยักษ์ที่ปะปนข้างใน

  แต่ก็ยังมีโลหิตยักษ์ส่วนน้อยที่ยังปะปนอยู่องค์ชายหนึ่งใช้พลังเทพส่วนมากเพื่อกำราบพลังของเลือดยักษ์ไม่ให้แพร่กระจายไปมากกว่านี้

   ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่จะแอบฝึกผนึกเจ็ดสายที่ไม่เคยมีใครในราชวงศ์ฝึกสำเร็จมาก่อน! 

  เสียงดังมาจากข้างหลัง

  เขาหันกลับไปจ้ององค์ชายเจ็ดที่ทำร้ายเขา

   เจ้าเลือกข้างมเหสีหยุนเซี่ยงั้นเรอะ? 

  องค์ชายเจ็ดหน้าซีดองค์ชายเจ็ดปลีกตัวไปด้านหลังราวกับนักปราชญ์

   ใช่แล้วเพราะว่าเมื่อพวกเจ้าทุกคนตาย ข้าจะกลายเป็นรัชทายาทเพียงคนเดียว 

  ด้านหลังองค์ชายเจ็ดมีว่าที่เทพชั้นสูงปรากฏตัวตามๆ กันมาเป็นจำนวนมาก แต่ละคนมีตะขาบแดงอยู่หนึ่งตัว และในตะขาบทุกตัวยังมีโลหิตของยักษ์ทะเลขม

  พวกเขาถูกล้อมไว้หมดแล้ว!

  มเหสีหยุนเซี่ยยืนขึ้นเมื่อพวกเขาถูกล้อมนางมองด้วยความเวทนา   ข้ารอพวกเจ้ามานานแล้วถ้าพวกเจ้าไม่ล้ำเส้น ข้าจะกำจัดเจ้าไปทีละคน แต่โชคร้ายนักที่พวกเจ้าพยายามจะก่อกบฏ! เลือดยักษ์ทะเลขมนี้รอพวกเจ้ามานานแล้ว! 

  รัชทายาททุกคนหนาวสั่นไปถึงกระดูก!

  เลือดยักษ์ทะเลขมไม่ต่างจากของแสลงของราชวงศ์แม้จะสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กลับมาสู่ร่างต้น!

  ทีแรกเหล่ารัชทายาทเป็นฝ่ายล้อมมเหสีหยุนเซี่ยแต่คราวนี้กลับถูกล้อมโดยองค์ชายเจ็ดทีหักหลัง

  และองค์ชายหนึ่งยังเสียพลังไปมากจากเลือดยักษ์ทะเลขมที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกายเท่ากับว่าเสียผู้นำไปแล้ว!

  สถานการณ์ที่เคยเป็นใจเมื่อครู่กลับเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา!

  แต่ซือหยูที่ชมการแสดงนี้จากระยะไกลมองดูอย่างไม่แยแสราวกับทุกสิ่งเกิดขึ้นตามแผนที่เขาวางเอาไว้  องค์หญิงหกเป็นห่วงองค์ชายหนึ่งและมองตาซือหยูด้วยความยอมรับอีกครั้ง

   เจ้าพูดถูกอีกแล้วน้องเจ็ดคือตัวปัญหาจริง ๆ! โชคดีที่เจ้าคิดมาก่อน ไม่เช่นนั้นพี่น้องข้าคงจะต้องตายไปจริง ๆ เราอาจจะถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปแล้ว! 

 

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

นิยาย The Divine Nine Dragon Cauldron
Status: Ongoing Author:
หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset