The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 765-766

DND.765 – ปีกวารีเก้าสวรรค์
  ชางก่วนหยุนซื่อตกใจมากเมื่อทะยานขึ้นฟ้าเขาเป็นภูติระดับเจ็ดย่อมเร็วกว่าซือหยู เขาตามซือหยูทันในเวลาแค่สามลมหายใจ
  “น้องซือข้าจะพาเจ้าไปกับข้า…”
  เขาพูด
  ในตอนนั้นวิหคที่หลับในรังเบิกตาโพลง ดวงตานั้นดูอำมหิต วิหคสองตัวที่ชางก่วนหยุนซื่อพามานั้นมีสัมผัสที่เฉียบคม พวกมันรู้สึกแปลกและรีบบินหนีไป
  แต่ก่อนที่จะได้หนีไปไกลวิหคดุร้ายเก้าตัวที่เป็นภูติระดับสามก็ได้กระโจนเข้าใส่และฉีกทั้งสองตัวเป็นชิ้นๆด้วยกรงเล็บคมกริบ ปีกของทั้งสองตัวขาดสะบั้น เส้นขนกระจุยกระจายตามด้วยโลหิตแดงสดที่หยดลงพื้นราวเกล็ดหิมะ
  กลิ่นโลหิตยิ่งทำให้วิหคอีกหลายตัวสนใจเพียงสามลมหายใจ สัตว์พาหนะทั้งสองก็ถูกเหล่าวิหคจิกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก!
  ชางก่วนหยุนซื่อสีหน้าหม่นหมองเมื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้น
  “ผิดปกติแล้วถึงพวกมันจะมีความเป็นสัตว์ป่า แต่พวกมันไม่ควรจะกระหายเลือดถึงเพียงนี้ มีคนอื่นกำลังควบคุมมัน”
  ซือหยูพยักหน้าคว้าตัวหยวนหยิงหยิงบินหนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยหากไม่ใช่สัตว์พาหนะสองตัวนั้นเบี่ยงเบนความสนใจ พวกซือหยูก็คงจะทิ้งระยะมาไม่พ้น วิหคหลายตัวนั้นก็คงจะพุ่งจู่โจมพวกเขาพร้อมกัน พวกเขาก็คงจะมีชะตาไม่ต่างจากสัตว์พาหนะทั้งสอง!
  เสียงวิหคกรีดร้องดังก้องนภาราวกับคลื่นหยวนหยิงหยิงร้องเบาๆ โลหิตไหลออกมาจากหู
  วิหคภูติระดับจ็ดเจอตัวพวกเขามันรีบบินไล่ตาม ความเร็วนั้นเหนือกว่าวิหคทั่วไปอย่างมาก มันเร็วกว่าชางก่วนหยุนซื่อเสียอีก!
  “แย่แล้ว!”
  ชางก่วนหยุนซื่อชักสีหน้าเขารู้ว่าตนรับมือกับวิหคหนึ่งในสี่ไหว แต่ถ้าหากทั้งหมดเข้ามาพร้อมกัน เขาก็เกรงว่าจะต่อกรไม่ได้
  และถ้าหากเขารีรอให้วิหคตัวอื่นมาทันพวกเขาก็คงจะชะตาไม่ต่างจากวิหคที่ตายไป!
  “บัดซบ!ฝีมือใครกัน?”
  ชางก่วนหยุนซื่อกัดฟันฉีกชุดขาวออกเขาเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า
  หากมองใกล้ๆจะพบว่าผิวบนหลังของเขาขยับตัวแปลกๆจากนั้นกระดูกสองท่อนที่ดูเหมือนปีกนกก็พุ่งออกมาจากแผ่นหลัง!
  พลังวิญญาณได้ถักทอเป็นขนปกคลุมกระดูกนั้นอีกทั้งสองได้ปรากฏบนแผ่นหลังในพริบตาเดียว!
  “น้องซือหนีไปกับข้า…เดี๋ยวนี้!”
  ชางก่วนหยุนซื่อคว้าตัวซือหยูกับหยวนหยิงหยิงพร้อมสะบัดปีกเกิดวายุรุนแรงหมุนวนในอากาศ
  พวกเขาเคลื่อนที่เร็วมากจนราวกับหายตัวไปตอนที่ลดความเร็วลง พวกเขาก็เดินทางมาไกลกว่าล้านลี้แล้ว! พวกเขาหนีรอดมาได้ นี่ไม่ใช่ความเร็วของจ้าวเทวะด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเหล่าวิหคภูติระดับเจ็ดเลย
  หยวนหยิงหยิงมองปีกบนหลังชางก่วนหยุนซื่อนางสูดหายใจเข้าลึก
  “นี่คือปีกวารีเก้าสวรรค์…สมบัติวิญญาณที่จะหลอมรวมไปกับร่างมนุษย์ที่มีค่ามากกว่าแก้วแสนดวงใช่ไหม?ข้าเคยได้ยินว่ามันพาไปไกลได้เกินหมื่นลี้ในลมหายใจเดียว!”
  นางเบิกตากว้าง
  “แต่ข้าก็ได้ยินว่ามันใช้ได้ครั้งเดียวมันจะสลายไปหลังจากที่ใช้งานแล้ว มีแค่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลชางก่วนเท่านั้นที่จะซื้อมันได้!”
  เพระแก้วแสนดวงนั้นคือรายได้ทั้งเดือนของทั้งตระกูลหยวน
  ซือหยูยังคงใจเย็นแม้จะได้ยินเรื่องราวเขาไม่ได้แปลกใจ เพราะคงจะแปลกหากนายน้อยตระกูลร่ำรวยจะเดินทางมาไกลโดยไม่มีสมบัติช่วยชีวิตติดตัว
  “พี่ชางก่วนขอบคุณมากที่ช่วยพวกเรา”
  ซือหยูประสานหมัดขอบคุณ
  แม้ซือหยูจะมีวิธีของตัวเองในการหนีชางก่วนหยุนซื่อก็ปกป้องพวกเขาในเวลาสำคัญ เขาเหมาะสมแล้วกับคำขอบคุณอันจริงใจจากซือหยู นี่จึงเป็นเหตุให้ซือหยูเรียกเขาว่า ‘พี่ชางก่วน’ แทนปกติที่มักจะเรียกว่า ‘นายน้อยชางก่วน’
  ชางก่วนหยุนซื่อหน้าซีดปีกบนหลั่งของเขาเริ่มสลายไปราวกับเขม่าควันดำ นี่เป็นหลักฐานชัดเจนว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว และตอนที่ใช้ก็จะกินพลังภายในไปมาก
  “เหลวไหล!น้องซือหยู ข้าสิควรจะขอบคุณเจ้า ถ้าเจ้าไม่เตือน ข้าก็คงจะโดนพวกมันแล้ว…”
  ชางก่วนประสานหมัดให้ซือหยู
  นั่นคือเรื่องจริงหากซือหยูไม่เตือน เขาคงจะไม่ทันระวังและกลายเป็นชิ้นๆเพราะวิหคเหล่านั้น นั่นก็เพราะว่าเขาจะไม่มีเวลามากพอให้ได้ปีกวารีเก้าสวรรค์!
  ซือหยูพูดต่อ
  “พี่ชางก่วนวิหคเหล่านั้นดูแปลกๆนะ”
  ชางก่วนหยุนซื่อมองซือหยูด้วยความสงสัย
  “ข้าก็อยากจะถามเจ้าสักหน่อยเจ้ารู้ได้ยังไงว่าผู้เฒ่าตระกูลเราอยู่ในท้องของพวกมัน?”
  ซือหยูตอบ
  “เป็นเพราะวิชาบ่มเพาะของข้าตอนที่ข้ามองดูพวกมัน ข้าสัมผัสได้ว่าพวกมันเสียสติและโหดร้ายบ้าเลือด ราวกับถูกคนอื่นควบคุมอยู่”
  ชางก่วนหยุนซื่อไม่ถามอีกเพราะดูเหมือนซือหยูจะไม่อยากเปิดเผยความลับแต่นั่นทำให้เขาสงสัยในตัวซือหยูยิ่งกว่า เพราะวิชาที่จะมองทะลวงไปที่ท้องของวิหคได้จะต้องเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก!
  “น้องซือเจ้าพูดถูก”
  ชางก่วนหยุนซื่อพูดอย่างเคร่งเครียด
  “พวกมันถูกใครบางคนควบคุมถ้าข้าไม่พลาดก็น่าจะเป็นคนฝึกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง”
  คนฝึกสัตว์อสูรรึ?ซือหยูอ้าปากค้าง เพราะเขาก็เคยเห็นคนแบบนั้นในเทือกเขาคราม
  “ถ้าผู้ฝึกสัตว์อสูรคนนั้นควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมากที่มีพลังถึงภูติระดับเจ็ดได้นั่นก็หมายความว่าพวกเรามิอาจต่อกร…”
  เขาดีใจเล็กน้อยเมื่อพูดต่อ
  “โชคดีที่เราหนีมาได้หากต้องเจอกับคนผู้นั้น พวกเราคงสิ้นหวัง!”
  เป็นความรู้ทั่วไปในจิวโจวที่ผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นน่ากลัวแค่ไหนดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกสัตว์อสูร โดยเฉพาะตอนที่เขาควบคุมสัตว์อสูรเป็นจำนวนมาก!
  ซือหยูพยักหน้า
  “แต่เรายังไม่ปลอดภัยเราต้องหนีเดี๋ยวนี้”
  …
  เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชาก็มีเงาวิหคขนาดมหึมาลอยเข้ามาชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงยืนอยู่เหนือวิหคภูติระดับเจ็ดอันดุร้าย เขามองไปยังทิศทางที่ซือหยูหนีไป
  “น่าเสียดายนัก!ข้าเกือบจะได้สังหารชางก่วนหยุนซื่อแล้วเชียว แต่มันบังอาจพังแผนข้า!”
  เสียงของชายหนุ่มแสดงความเสียดายเขาหันหลับบินจากไป
  หลังจากผ่านไปสามวันในการเดินทางไกลอย่างยากลำบากพวกเขาก็มาถึงกลางทะเลสาบเมฆขาว ที่ที่มีเกาะใหญ่ขนาดเท่าทวีปตั้งอยู่ มันใหญ่กว่าโลกเฉินหลงอย่างน้อยสิบเท่า มีภูตินับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้
  ภูติชั้นต้นถูกพบทุกหนแห่งเช่นเดียวกับภูติชั้นกลาง ยังมีภูติชั้นสูงอีกหลายคน! ซือหยูยังสัมผัสพลังที่เหนือกว่านั้นที่เป็นของจ้าวเทวะได้อีกด้วย
  ฟึ่บ!
  เมื่อพวกเขาร่อนลงหน้าประตูเมืองหลักพวกเขาพบตำหนักที่สร้างโดยตระกูลชางก่วนเหมือนกับตำหนักของตระกูลหยวน แต่ไม่เหมือนกับที่นั่น เพราะประตูทางเข้าตำหนักที่นี่มีพลังมิติที่จะย้ายพวกเขาไปข้างในตำหนัก!
  หยวนหยิงหยิงมองด้วยความยอมรับ
  “ค่ายกลมิติ!มีแค่ปรมาจารย์ค่ายกลมิติเท่านั้นที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ ราคาของมันแพงมาก! รายได้ทั้งเทือกเขาครามสิบปีถึงจะมากพอที่จะรักษาค่ายกลปีเดียว! ในดินแดนพรีสวรรค์ นอกจากสำนักใหญ่ทั้งสิบแปดก็มีแค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่จะมีค่ายกลนี้ได้”
  “หึหึ…มันก็แค่ใช้ยักย้ายระยะใกล้ๆในเกาะเท่านั้นมันเทียบไม่ได้กับค่ายกลใหญ่หที่จะพาคนข้ามเขตข้ามทวีปได้หรอก”
  ชางก่วนหยุนซื่อหัวเราะอย่างเบาใจและนำพวกเขาไปยังค่ายกล
  เมื่อเหยียบค่ายกลพวกเขารู้สึกว่าโลกหมุนไปรอบตัว ราวกับตัวเองอยู่ในวายุทะเลคลั่ง
  เมื่อเท้าแตะพื้นอีกครั้งเขาก็ใช้พลังมิติอ่อนๆอย่างชำนาญ มันกระทบพลังมิติรอบข้างเบาๆและทำให้เขาทรงตัวได้ในทันที ส่วนหยวนหยิงหยิงก็ร้องด้วยความตกใจ นางทรงตัวไม่อยู่และตกลงมาไม่สวยนัก! โชคดีที่ซือหยูจับมือนางมาตลอด นางเลยไม่ล้มคะมำลงไป
  “หืม…เจ้าตอบสนองได้ดีนี่!”
  คนใกล้ๆอุทานขึ้นมาเขาประทับใจซือหยูอย่างเห็นได้ชัด
DND.766 – หวังผลไม่หว่านพืช
  เมื่อซือหยูมองไปข้างหน้าก็พบชายตาเดียวพร้อมผ้าปิดตาหนึ่งข้างเขาดูดุดัน แต่แววตาของเขานั้นสุขสงบอบอุ่น แต่ซือหยูก็เบิกตากว้างขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาคือจ้าวเทวะ!
  ชายตาเดียวมองดูซือหยูอย่างสงสัยเขามองอย่างชื่นชมเพราะมีไม่กี่คนที่จะรับมือกับการยักย้ายมิติได้ง่ายดายเช่นนี้! แม้แต่ชางก่วนหยุนซื่อเองยังทำไม่ได้!
  “ลุงฉิน!ท่านเป็นคนเฝ้าค่ายกลรึ?”
  ชางก่วนหยุนซื่อแปลกใจ
  “เมื่อก่อนมิใช่ว่าผู้เฒ่าคนอื่นคอยเฝ้ามันหรือ?”
  ชายตาเดียวคือคนที่รับหน้าที่เฝ้าดูค่ายกล
  ลุงฉินละสายตาจากซือหยูสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
  “ดีแล้วที่เจ้ากลับมาได้เจ้าตระกูลกำลังจะส่งยอดฝีมือไปรับเจ้าอยู่พอดี”
  “เกิดอะไรขึ้นหรือลุงฉิน?”
  ชางก่วนหยุนซื่อเลิกคิ้วเมื่อพบว่ามีบางอย่างแปลกไป
  ค่ายกลยักย้ายนั้นสำคัญอย่างมากเพราะมันจะนำตรงไปยังตำหนักตระกูลชางก่วนดังนั้นจึงต้องมีผู้เฒ่าตระกูลรองที่เป็นภูติระดับเก้าสักสามคนคุ้มกัน
  มีเพียงยามวิกฤติเท่านั้นที่จะมีจ้าวเทวะถูกส่งมาเฝ้าสถานการณ์เช่นนี้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลยในประวัติศาสตร์พันปีของตระกูลชางก่วน
  “มันอธิบายยากไปหาท่านเจ้าตระกูลเถอะ”
  ชางก่ววนหยุนซื่อรู้แล้วว่านี่เป็นเหตุด่วนเขาจะชักช้าไม่ได้
  “ลุงฉินรบกวนดูแลสหายทั้งสองของข้าด้วย ข้าจะรีบกลับมา”
  ชางก่วนหยุนซื่อประสานหมัดให้ซือหยูกันหยวนหยิงหยิงก่อนจะรีบจากไป
  หยวนหยิงหยิงกระซิบข้างหูซือหยู
  “ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่กับตระกูลชางก่วนนะ…”
  ซือหยูพยักหน้าเบาๆเขาระแคะระคายใจมาบ้างแล้วตั้งแต่เหตุที่เกิดบนเกาะวิหคเมื่อสามวันก่อน
  “ท่านทั้งสองเดี๋ยวจะมีคนพาท่านไปที่ห้องพัก ข้ารับหน้าที่ดูแลค่ายกลมิอาจไปส่งได้ด้วยตัวเอง…”
  ลุงฉินกล่าว
  ซือหยูพยักหน้าพร้อมประสานหมัด
  สตรีงามเดินเข้ามานำทั้งสองไปยังสถานที่รับแขกของตระกูลชางก่วนตามที่ชางก่วนหยุนซื่อบอก ห้องที่เตรียมไว้ให้ทั้งสองนั้นค่อนข้างหรูหรา มันคือหนึ่งในห้องที่ดีที่สุดเลยทีเดียว
  “อ๊ากกก!”
  ปั้ง!
  แต่ก่อนที่จะไปถึงเรือนพวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกน ดูเหมือนว่าจะมีบางคนกำลังฝึกวิชากันอยู่
  เมื่อมองไปดูที่ลานฝึกก็พบกลุ่มหนุ่มสาวกำลังฝึกวิชาต่อสู้กันอยู่อายุมีตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี คนที่อ่อนแอที่สุดคือกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง ส่วนที่แข็งแกร่งสุดคือภูติระดับสี่
  ภูติระดับสี่เป็นชายหนุ่มอายุสิบแปดที่ฝึกฝนวิชาหมัดกระบวนท่าของเขาลื่นไหลคล่องแคล่ว มันก่อให้เกิดคลื่นมากมายบนอากาศ
  ซือหยูอยู่จิวโจวมาเกินเดือนแล้วเขารู้ว่าจิวโจวนั้นมีความคงที่กว่าเฉินหลง แม้จะเป็นเรื่องง่ายที่ซือหยูจะกระชากมิติในเฉินหลง แต่ที่นี่นั้นยากมากที่แม้จะทำให้มิติสั่นสะเทือน
  หากชายหนุ่มคนนี้ทำให้มิติสั่นได้ก็แสดงวว่าเขามีพลังกายมหาศาลซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากายามังกรของซือหยูเลย!ถึงกระนั้น ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นหากได้เป็นภูติ ไม่ค่อยยุติธรรมนักหากจะเอาเขาไปเปรียบกับภูติระดับสี่
  “สมกันเป็นยอดฝีมือแห่งเทือกเขาพันวารีกระบวนท่าของเขามีพลังห้าแรงช้าง เหนือกว่าภูติระดับสี่ทั่วไปถึงหนึ่งแรงช้าง! พี่ฉางฟานจะต้องได้เป็นศิษย์ตำหนักโลหิตแน่!”
  ชายหนุ่มผมสั้นข้างๆที่สวมชุดหนังเสือดาวอุทานออกมาด้วยความนับถือ
  แรงช้างนั้นคือหน่วยวัดพลังของยอดฝีมือในจิวโจวอันเนื่องมาจากช้างเพชรคือสัตว์อสูรที่พบได้ทั่วไปในจิวโจว และมันยังขึ้นชื่อในด้านพลังกายที่มาก
  พลังของช้างเพชรนั้นเทียบได้กับมนุษย์ในขอบเขตภูติระดับหนึ่งด้วยเหตุนี้จึงใช้พลังของมันเรียกเป็นหน่วยวัด ภูติระดับหนึ่งโดยทั่วไปจะมีพลังหนึ่งแรงช้าง ภูติระดับสองมีสองแรงช้าง และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยไปในแต่ละระดับ
  เมื่อพลังไปถึงขอบเขตอสูรเนรมิตรคนผู้นั้นจะมีพลังเท่ากับหมื่นแรงช้าง จุดนี้เองที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างภูติกับอสูรเนรมิตร
  ชายหนุ่มนามฉางฟานผู้นี้เป็นภูติระดับสี่ซึ่งคนที่มีฐานพลังระดับนี้จะมีพลังสี่แรงช้าง แต่เขากลับมีพลังถึงงห้าแรงช้างแล้ว นั่นหมายความว่าเขาคือยอดฝีมือ!
  ซือหยูเคยได้ยินเรื่องราวของกลุ่มหนุ่มสาวเหล่านี้แล้วเพราะพวกเขาก็อยากจะเข้าตำหนักโลหิตเหมือนกัน พวกเขาจึงมาเตรียมตัวทดสอบในตระกูลชางก่วนเสียก่อน
  ฉางฟานถอนหายใจ
  “ถึงข้าจะไม่กังวลข้าก็เคยได้ยินว่าการทดสอบเข้าตำหนักโลหิตมิใช่เรื่องง่าย คนที่มีหกพลังช้างก็ไม่แน่ใจว่าจะผ่านการทดสอบได้”
  แม้เขาจะถอนหายใจเขาน้ำเสียงกลับให้ความรู้สึกว่านอกจากเขาแล้วจะไม่มีใครผ่านการทดสอบ แต่คนอื่นๆแสร้งเป็นไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังนี้และชมเชยเขาต่อไป
  พวกเขามิอาจกล่าวโทษเรื่องนี้ได้เพราะการทดสอบเข้าตำหนักโลหิตนั้นอันตรายมาก ถ้าหากพวกเขาผูกมิตรกับยอดฝีมือไว้บ้าง พวกเขาก็จะมีโอกาสผ่านสูงขึ้น
  ซือหยูมองฉางฟานและพยักหน้าดูเหมือนว่าการเข้าตำหนักโลหิตจะไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดคิด
  “ทุกคนดูนั่นสิ!เรามีหน้าใหม่เพิ่มมาอีกสองคนแล้ว! เป็นสาวน้อยกับข้ารับใช้”
  ชายหนุ่มที่สวมหนังเสือดาวเหลือบเห็นทั้งสองด้วยหางตา
  “แปลกจริงๆการแนะนำเลยกำหนดมาแล้วครึ่งเดือน เหตุใดยังมีคนมาอีกเล่า?”
  เขาถาม
  “พวกเจ้ามาจากไหน?”
  หยวนหยิงหยิงตอบ
  “เทือกเขาคราม”
  “เป็นไปไม่ได้!”
  ชายหนุ่มสวมหนังเสือดาวอุทานออกมา
  “ตระกูลชางก่วนเลิกค้นหาคนมีพรสวรรค์จากที่นั่นไปแล้วพวกเจ้าจะมาที่นี่ได้ยังไง?”
  ตระกูลชางก่วนได้ตั้งสำนักยอดฝีมือในทุกเก้าเทือกเขาเจ็ดภูเขาใหญ่ และดินแดนพรสวรรค์ทั้งหก กับห้าหมู่บ้าน พวกเขามองหาผู้มีพรสวรรค์จากที่นั่นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
  แต่ดินแดนห่างไกลอย่างเทือกเขาครามนั้นไม่เคยมีผู้มีพรสวรรค์ที่ดีมาก่อนตระกูลชางก่วนจึงหยุดสนใจ และเทือกเขาครามก็ใกล้กับตำหนักชิงวิญญาณที่จะมีงานชุมนุมครั้งใหญ่ในทุกปีที่จะชิงตัวผู้มีพรสวรรค์ในทุกปีไปอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลชางก่วนจะหาคนมีพรสวรรค์ได้จากที่นั่น!
  ไม่มีคนจากเทือกเขาครามถูกแนะนำมาหลายร้อยปีแล้วพวกเขาจึงหยุดการค้นหาคนจากที่นั่น นั่นเป็นเหตุให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้สับสนที่พวกเขามาจากเทือกเขาคราม
  “เจ้าใช้เส้นสายจากคนสำคัญมาที่นี่สินะ?”
  ชายหนุ่มหรี่ตา
  หยวนหยิงหยิงโกรธกับคำดูถูก
  “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
  เขาหัวเราะ
  “มันเกี่ยวกับพวกข้าทั้งหมดนี่แหละคนที่ใช้วิธีสกปรกย่อมไม่เป็นที่ต้อนรับ!”
  หยวนหยิงหยิงโกรธเขานางรู้สึกราวกับถูกหมายหัวอย่างไร้เหตุผล ซือหยูมองชายหนุ่มสวมหนังเสือดาวและพูดอย่างเหยียดหยาม
  “เจ้าก็ดูไม่ได้ดีไปกว่ากันเลยนี่!”
  เพราะซือหยูบอกได้เลยว่าชายหนุ่มผู้นี้มิได้ใช้พลังในการมาถึงจุดนี้แต่เป็นเพราะโชคเสียมากกว่าเพราะเขาพยายามจะรังแกให้คนอื่นออกไปเพื่อตัวเองจะมีโอกาสมากขึ้น…
  คนพวกนี้มีดีอะไรกันต่อให้ผ่านการทดสอบก็เถอะ?
  “หืม?เด็กผู้หญิงเอาแต่ใจที่พาข้ารับใช้ไปด้วยทุกที่อย่างนางจะดีกว่าข้าได้ยังไง?”
  เขายิ้มเยาะ
  ซือหยูไม่สนใจเขาอีกเขาดึงมือหยวนหยิงหยิงเดินไปยังห้องพัก
  “หยุดเดี๋ยวนี้!ข้าบอกว่าเจ้าไม่เป็นที่ต้อนรับที่นี่ เจ้าไปอยู่ที่อื่นซะ!”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “โอ้?เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นนายน้อยคนใดของตระกูลชางก่วน? เจ้ามีสิทธิ์อันใดขับไล่พวกข้าทั้งๆที่ตระกูลชางก่วนเชิญพวกข้ามาที่นี่? เจ้าไม่อวดดีไปหน่อยรึ!”
  ชายหนุ่มถึงกับก้าวถอยหลังจากคำตอบของซือหยู
  “พูดอะไรของเจ้า?ข้าแค่เห็นว่ายอมรับพวกเจ้าไม่ได้เพราะพวกเจ้ามาที่นี่โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พวกข้าผ่านการทดสอบอย่างยุติธรรม เจ้าสองคนสู้พวกเจ้าไม่ได้หรอก”
  ซือหยูหรี่ตา
  “โอ้จริงรึ?ใยไม่แสดงพลังของคนชอบธรรมอย่างเจ้าให้คนสกปรกอย่างข้าสักหน่อยเล่า?”
  หลายคนเข้ามามุงดูเมื่อได้ยินเสียงคนโต้เถียงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าขบคิด เพราะแม้การพูดของชายหนุ่มสวมหนังเสือดาวจะดูไม่เหมาะ แต่น้ำเสียงของชายแก่ก็ดูหยาบคายไม่แพ้กัน พวกเขาล้วนไม่พอใจ พวกเขาอยากจะเห็นว่าชายแก่ผู้นี้แข็งแกร่งเท่าใด
  ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์
  “ก็ได้ข้าถังเฟิงยอมรับคำท้า!”
  ซือหยูสีหน้าคงเดิมในสายตาเขา ถังเฟิงก็แค่เด็กเอาแต่ใจที่ซือหยูเอาชนะได้ง่ายๆ
  ซือหยูยอมประลองกับเขาเพราะเขาไม่อยากจะให้เกิดปัญหาตามมาอีกถึงเขาจะคิดว่าควรสงบเสงี่ยมเอาไว้เสมอ แต่เมื่อใดที่ถึงเวลาต้องสำแดงพลัง ตอนนั้นเขาก็ต้องไม่ตาขาว! มิเช่นนั้นก็จะพบเจอปัญหาน่ารำคาญไม่จบสิ้น

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset