The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 976 – สมบัติภูติกระบี่เงิน

ใบมีดของกระบี่ทองสามเล่มตรงหน้าเขาถูกหลอมโดยลู่จือยี่นางใช้ผงและวัตถุดิบอื่นบางอย่าง ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ของนางนั้นอายุน้อยมากและมีสีทองตั้งต้น นั่นหมายความว่ามันนับได้ว่าเป็นสบบัติกึ่งภูติเท่านั้น
ซือหยูเตรียมไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ระดับสูงที่อายุเกินกว่าพันปีมามันมีสีเงินทั้งต้นและมีพลังสายฟ้าอยู่อ่อน ๆ
แม้จะไม่ต้องผ่านฝีมือของนักตีดาบความแกร่งของวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวก็นับว่าเป็นสมบัติวิญญาณชั้นสูงแล้ว ประกอบกับเพลิงลึกลับของกิเลนน้อยและวิชาตีกระบี่ประหลาดของมัน ระดับของกระบี่นี้เกินกว่าสมบัติวิญญาณชั้นสูงไปแล้ว
กิเลนน้อยแววตาเหนื่อยล้ามันบินมาบนไหล่ซือหยูด้วยความอ่อนเพลีย เกล็ดสีชมพูที่เคยมีหม่นหมองไป มันไม่เปล่งประกายเช่นเคย
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
ซือหยูลูบหัวมันด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ ซือหยูสัมผัสได้เลยว่ากิเลนน้อยอ่อนแอลงมาก การตีกระบี่สามเล่มอย่างต่อเนื่องด้วยวัตถุดิบอย่างไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เป็นเวลาครึ่งปีนั้นดูดกลืนพลังของกิเลนน้อยไปมหาศาล
“ข้าไม่เป็นไรแค่นอนหลับลึกสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
กิเลนน้อยตอบนี่เป็นครั้งที่สองที่กิเลนน้อยพูดถึงการหลับลึก เสียงในหัวของมันกำลังจะถ่ายทอดความรู้มาให้
ซือหยูถามเบาๆ
“เจ้าจะหลับใหลไปอีกนานเท่าใดหรือ?”
กิเลนน้อยหยุดคิดและตอบ
“ข้าไม่รู้แต่ข้ามีความอยากที่จะหลับใหลอยู่มาก คงจะไม่ใช่เวลาสั้น ๆ อาจจะหลายปีเป็นอย่างน้อย หรือไม่ก็ตลอดกาล”   ถ้าหากเป็นตลอดกาลกิเลนน้อยอาจจะกลับไปสู่สภาวะตั้งต้นที่ถูกผนึกอยู่ในกระดูก บางทีมันอาจจะตื่นขึ้นมาไม่ได้เป็นแสนปี
กิเลนน้อยลังเลก่อนจะมองซือหยู
“เจ้านายถ้าไม่อยากให้ข้าหลับ ข้าจะตื่นต่อไป เดี๋ยวความอยากหลับของข้าจะหายไปเอง”
ซือหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรสำหรับกิเลนน้อย การหลับครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รับการถ่ายทอดความรู้ เขาไม่มีเหตุให้ต้องรั้ง
“ข้าจะรอจนกว่าเจ้าตื่น”
ซือหยูตอบสั้นๆ กิเลนน้อยมองซือหยู คำพูดสั้น ๆ ของเขาแสดงถึงความสนับสนุน
กิเลนน้อยมุดหัวไปที่คอของซือหยูอย่างใกล้ชิดและอิดโรยราวกับว่ามันกำลังจะหลับใหล
มันฝืนตัวให้ตื่นนานกว่านี้และยืนขึ้นเหมือนมนุษย์มันยื่นขาคู่หน้าชี้ไปที่แสงสีเงินบนอากาส
กระบี่สามเล่มที่เปล่งแสงสีเงินร่อนลงมพร้อมกันพวกมันอยู่เหนือซือหยูสามสิบศอก แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน ซือหยูก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันวิญญาณอันน่าตกตะลึงที่ซ่อนอยู่ในกระบี่ เขาตัวสั่นเล็กน้อย ความกลัวจนหนาวเหน็บก่อเกิดในใจ
เขาสร้างร่างปลอมจากเสี้ยววิญญาณขึ้นมาร่างปลอมนั้นสั่นอย่างไม่มั่นคง มันจะหายไปเพราะแรงกดดันวิญญาณมากขนาดนี้ เสี้ยววิญญาณราวกับจะดับไปเมื่ออยู่ห่างจากกระบี่สามสิบศอก
นี่มันสมบัติระดับใดกัน?แววตาของเขาแสดงความตื่นเต้น เขาเห็นสมบัติวิญญาณชั้นสูงมามากมาย อีกทั้งยังได้เห็นสมบัติกึ่งภูติมาหลายชิ้น แต่ก็ไม่มีชิ้นใดที่เหมือนกับกระบี่ตรงหน้าเขาเลย แรงกดดันวิญญาณนี้สามารถทำให้พลังของดวงวิญญาณสั่นไหวได้ด้วยตัวเอง
คำตอบกำลังจะถูกเผยออกมา  “มันคือสมบัติภูติ”
กิเลนน้อยกระพริบตาสดใสราวกับดวงแก้วของมันและพูดราวกับเรื่องปกติ
“ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์อายุพันปีแล้วการตีสมบัติภูติด้วยวัตถุดิบเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติมาก น่าเสียดายที่ข้ายังเก่งไม่พอ มันเป็นได้แต่สมบัติภูติชั้นต้น”
ซือหยูแปลกใจและดีใจเมื่อได้ฟังตราบเท่าที่มันเป็นสมบัติภูติ แม้แต่ชั้นต้นก็มากพอแล้ว เขาบ่มเพาะมานานและเห็นสมบัติมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีสมบัติชิ้นใดเลยที่มีพลังเกินกว่าระดับภูติ
กระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ทั้งสามเป็นสมบัติภูติและมันก็คือสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเห็น! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้มันมาสามเล่มในคราเดียว!
พลังของกระบี่ทั้งสามหากได้รวมกับ ‘เพลงกระบี่เก้าสุริยา’ แล้วคงจะน่าตกตะลึงเป็นประวัติการณ์!   ซือหยูถึงกับอยากจะต่อสู้กับอสูรเนรมิตรพลังของสมบัติภูติกับเพลงกระบี่เก้าสุริยาจะไปถึงขั้นไหนกัน?
“กระบี่สามเล่มนี้มีแรงกดดันวิญญาณอยู่เยอะถ้าไม่ใช่มุกวิญญาณเก้าหยก ที่เก็บของอื่นก็อาจจะเก็บมันไม่ได้ เจ้านายพกมันไว้กับตัวจะดีกว่า!”
กิเลนน้อยพูดมันอ้าปากพ่นไฟจำนวนมากออกมา ท่ามกลางเพลิงเหล่านั้นคือฝักกระบี่เงินสามฝัก
“มันคือฝักกระบี่ที่ข้าสร้างจากรากของไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์พวกมันหาอาหารชุบเลี้ยงต้นไผ่ มันย่อมเก็บกระบี่ไว้ได้ มันคือวัตถุดิบทำฝักกระบี่ที่ดีที่สุดแล้ว”
กระบี่ทั้งสามสัมผัสฝักกระบี่ได้และบินไปที่ฝักกระบี่ด้วยตัวเองแรงกดดันมหาศาลสลายไป เหลือเพียงกระบี่สามเล่มอันงดงามที่ฝัก
“หากกระบี่อยู่ในฝักจะไม่มีใครรู้ว่ามีสมบัติภูติหลับใหลอยู่ในฝักนั่น…”   กิเลนน้อยบอกมันคิดเผื่อทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้ว
ซือหยูดีใจมากและกอดรับกระบี่ไว้จากนั้นเขาก็เห็นว่ายังมีเพลิงบนท้องฟ้าที่ยังคงลุกไหม้อยู่
“ข้าใช้ไม้ไผ่ไปแค่สามในสิบส่วนอีกเจ็ดส่วนยังเหลืออยู่ ข้าจะมาตีมันหลังจากตื่น”
กิเลนน้อยพูด
แสงสีเงินส่องประกายทั่วฟ้าของเหลวสีเงินที่ปกคลุมด้วยเพลิงม่วงร่อนลงมาและถูกกิเลนน้อยกลืนเข้าไป
ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์สามารถคงอยู่ในสภาพหลอมเหลวได้หากใช้เพลิงม่วงของกิเลนน้อยมิเช่นนั้นมันจะแข็งตัวทันทีเมื่อเย็น และจะต้องพยายามอยากมากเพื่อที่จะหลอมมันอีกครั้ง
“ข้าจะช่วยเจ้านายเก็บไม้เอาไว้ส่วนที่เหลือคือใบของมัน”
กิเลนน้อยพูดแสงสีม่วงจำนวนมากร่อนลงมาจากฟ้าอีกครั้ง มันควบแน่นกลายเป็นหยดวารีสีเงินในเพลิงม่วง
“ทุกหยดมีน้ำเลี้ยงของใบไผ่อยู่มันแกร่งไม่เท่าตัวไม้ ไม่เหมาะกับการตีตัวกระบี่ ถ้าเจ้านายอยากจะใช้มันเมื่อไหร่ก็บอกข้าได้”
กิเลนน้อยพูด
ซือหยูตาเป็นประกายเขามองดูน้ำเลี้ยงใบไผ่
“เช่นนั้นข้าอยากได้สองอย่าง อย่างแรกคือหน้ากากที่เหมาะกับข้า ส่วนที่เหลือข้าอยากจะได้เป็นลูกแก้วสักสี่ลูก”
อย่างแรกก็เพื่อปิดบังรูปลักษณ์ของเขาเพื่อไม่ให้ถูกจำได้ในงานชุมนุมเฟิงหยุนอย่างหลังก็เพื่อใช้ค่ายกลคลื่นดาวตกที่ใช้ลูกแก้วได้มากถึงเก้าลูก
ลูกแก้วจากลำดับห้าธาตุทั้งสี่ลูกของเขาถูกทำลายไปแล้วในการสังหารจินมู่วัตถุดิบที่เหลือนี้เหมาะกับการสร้างลูกแก้วขึ้นใหม่
กิเลนน้อยพยักหน้า  “สมบัติทั่วไปต้องใช้เวลานานหากจะตีติดต่อกันแต่ลูกแก้วกับหน้ากากน่ะของง่าย ๆ มันไม่ต้องตีด้วยซ้ำ แค่ปล่อยให้มันแข็งตัวตามรูปที่ต้องการ”
ซือหยูดีใจ
ไม่นานกิเลนน้อยก็ขยับขาคู่หน้าหยดวารีในเพลิงม่วงแข็งขยับรวมกันเป็นลูกแก้วขนาดเท่าฝ่ามือ มันคือหยดวารีที่เกิดจากการหลอมใบไผ่
เมื่อกิเลนน้อยควบคุมหยดใบไผ่ได้แบ่งตัวเป็นเก้าส่วน แต่ละส่วนมีขนาดเท่าหัวแม่มือ เพลิงม่วงแผ่ออกมาเป็นชั้นบาง ๆ
จากนั้นก็มีส่วนที่สลักเป็นพื้นที่บริเวณดวงตากับจมูกของซือหยูมันถูกบีบเป็นแผ่นเท่าขนาดใบหน้าซือหยู กิเลนน้อยเรียกเพลิงกลับ สิ่งที่ถูกขึ้นรูปเริ่มที่จะแข็งตัว
เมื่อเพลิงทั้งหมดหายไปทุกอย่างที่มันขึ้นรูปไว้ก็กลายเป็นรูปร่างที่ต้องการในเวลาครึ่งชั่วโมง  ซือหยูหยิบขึ้นมาถือหน้ากากที่ได้นั้นบางราวกับปีกจักจั่น มันมีทั้งความอ่อนนุ่มและอบอุ่น มันไม่ได้ถึงกับสลักสลวยแต่ก็เหมาะกับการใช้งานมาก ความแกร่งของไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่พลังภายนอกจะรุกล้ำเข้ามาได้
ซือหยูวางหน้ากากที่หัวกิเลนน้อยและพยายามใช้เนตรวิญญาณมองผ่านแต่เขาก็พบเพียงความว่างเปล่า ราวกับมีพลังมิติมาขวางการมองของเขา
เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วตอนที่เขามองจินมู่ดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างจินมู่ถูกเก็บอยู่ในที่ที่มองผ่านไม่ได้ แต่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ก็มีพลังแบบเดียวกัน หากเป็นหน้ากากแล้ว แม้แต่เนตรวิญญาณยังมองผ่านไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น อสูรเนรมิตรก็คงจะมองใบหน้าที่แท้จริงของเขาไม่ได้เช่นกัน ซือหยูดีใจมาก
เมื่อเห็นสายตายินดีของเจ้านายกิเลนน้อยบินไปอีกลี้และใช้กำลังทั้งหมดขึ้นรูปใบหลอมที่เหลืออีกแปดส่วน ด้วยปริมาณที่จำกัดวัตถุดิบเหล่านั้นทำได้แค่สร้างลูกแก้วที่กลวงเปล่า ลูกแก้วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางห้าศอกนี้มีเพียงชั้นแข็งของวัตถุดิบที่ผิวเท่านั้น ถึงอย่างนั้นวัตถุดิบก็แข็งแกร่งมาก มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำลายมันได้แม้จะมีผิวบางเพียงชั้นเดียวก็ตาม
ครึ่งชั่วยามต่อมาลูกแก้วกลวงแปดลูกที่เปล่งแสงสีเงินได้ถูกขึ้นรูป ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์นั้นมีความเบาและยืดหยุ่นตามคุณสมบัติของไม้ ถึงจะดูใหญ่ ลูกแก้วทั้งห้าก็เบาหวิวเมื่อถือด้วยมือ ทำให้พวกมันใช้งานง่ายยิ่งกว่าเดิมกับค่ายกลคลื่นดาวตก
กิเลนน้อยง่วงมาโดยตลอดหลังจากขึ้นรูปลูกแก้วลูกสุดท้ายเสร็จ มันยืนไม่ไหวอีกแล้ว มันล้มลงบนอ้อมแขนของซือหยู หลับตาและหลับใหลไป
ซือหยูวางมันในกระท่อมข้างสวนด้วยความรักและปล่อยให้มันหลับอย่างเป็นสุข
เขาลูบหัวมันด้วยหัวใจที่มีแต่ความขอบคุณตั้งแต่ที่กิเลนน้อยเริ่มติดตามเขา มันไม่เคยขออะไรจากเขาเลย มันกลับช่วยซือหยูครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่สมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็ถูกกิเลนน้อยตีให้เองกับมือ
“เจ้าหนูน้อยวันหนึ่ง ข้าอยากจะให้มีวันที่เจ้าต้องการข้าบ้าง มิเช่นนั้นข้าจะตอบแทนเจ้าได้อย่างไร?”
ซือหยูพูดกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม ไอลีนโนเวล
หลังจากออกจากกระท่อมซือหยูเป็นจางตี๋เก้อที่กำลังบ่มเพาะอยู่ที่ตีนเขา นางลืมตาเมื่อสัมผัสสายตาซือหยูได้ ตาซ้ายของนางมีพลังภูติผีแฝงอยู่ ตาขวานั้นมีแสงเทพของอรหันต์ พลังอันตรงกันข้ามสองชนิดแผ่ออกมาจากดวงตาของนางพร้อมกัน
“นายท่าน”
จางตี๋เก้อยืนขึ้น
ซือหยูพยักหน้า
“การบ่มเพาะของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
จางตี๋เก้อดูเศร้าหมอง
“ข้าทำให้นายท่านผิดหวังเพราะความโง่เขลาของข้าข้าใช้ตราภูติผู้ส่งสารได้แค่ระดับหนึ่งหมื่น”
“ไม่เป็นไรเจ้าไม่ต้องรีบร้อน ยิ่งเจ้ารีบเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เจ้าล้มเหลวมากเท่านั้น เจ้าเลิกคิดบรรลุเรื่องมันไปก่อนแล้วเพิ่มฐานพลังตัวเองซะ”
ซือหยูคิดก่อนจะเรียกทรายสีทองออกมามันมีหนึ่งในสิบของพลังเซียนจากราชาเขตกลาง ซือหยูดูดซับมันไปเพียงเล็กน้อย และฐานพลังของเขาก็มาถึงภูติระดับเก้าจากระดับหก
ควาามยากในการเป็นภูติระดับเก้าสำหรับซือหยูนั้นยากกว่าคนทั่วไปเสี้ยวพลังที่เขาเคยดูดซับนั้นมากพอที่จะให้คนธรรมดาเป็นจ้าวเทวะอยู่แล้ว
ซือหยูตัดสินใจจะให้จางตี๋เก้อยืมพลังไปส่วนหนึ่งเขาไม่กลัวว่านางจะเอาพลังทั้งหมดไป ส่วนนางจะเพิ่มพลังได้เท่าใดก็ขึ้นอยู่กับนาง
จางตี๋เก้อตกใจไปชั่วครู่และจ้องมองทรายสีทองนางกรีดร้องด้วยความตกตะลึง
“พลังบริสุทธิ์ของเซียน!นายท่านได้มันมาจากไหน?”
ในโลกของภูติผีเซียนนั้นเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน
นางกับซือหยูไม่ได้พบกันเพียงไม่นานแต่ซือหยูก็ได้พลังเซียนมาครองแล้ว
จางตี๋เก้อรู้ว่าคนอื่นไม่มีทางจะได้ส่วนแบ่งพลังเซียนอย่างเต็มใจเช่นนี้และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือซือหยูที่ให้นางดูดซับพลังนี้ด้วยตัวเอง
“รับไปซะฐานพลังของเจ้ายังน้อยเกินไปกว่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อข้า ทรายพลังเหล่านี้จะทำให้เจ้าบ่มเพาะได้ชั่วคราว จะดูดซับได้เท่าใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
จางตี๋เก้อที่มีพลังระดับนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเขานางต้องพยายามดูดซับพลังให้มากพอ การเปลี่ยนชีวิตของนางจะเป็นประโยชน์กับเขาในเวลาต่อมา  จางตี๋เก้อตื่นเต้นมากดวงตานางสดใสราวกับดวงตะวัน
“นายท่านจางตี๋เก้อจะจดจำน้ำใจครั้งนี้เอาไว้ตลาดกาล!”
จางตี๋เก้อทั้งขอบคุณเขาและรู้สึกตื่นเต้นในใจ
จางตี๋เก้อรู้สึกละอายใจมากที่ถูกซือหยูจับตัวเป็นครั้งแรกนางคิดว่านางตกต่ำจนมดปลวกที่ต่ำต้อยกว่านางมากจับตัวได้ แต่ก็ไม่นานนักก่อนที่นางจะได้คิดใหม่ นางได้ผลประโยชน์มหาศาลจากเขา จางตี๋เก้อทึ่งในโชคชะตาเช่นนี้มาก
“เอาล่ะบ่มเพาะให้ดี หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะได้เจอเจ้าในอีกไม่นาน”
ซือหยูพูด
จางตี๋เก้อเก็บทรายสีทองด้วยความมั่นใจ
“นายท่านโปรดวางใจด้วยสิ่งนี้ ข้าจะเพิ่มพลังได้อีกมากในเวลาไม่นาน!”
ซือหยูแปลกใจเขาไม่เคยหวังว่าพลังของนางจะเพิ่มขึ้นได้มากในระยะเวลาสั้น ๆ นางเป็นเพียงภูติระดับสามในตอนนี้ แม้จะมีพลังเซียนจำนวนมาก นางก็คงจะเพิ่มพลังได้ไม่เท่าที่พูด และจะสูญเปล่าหากนางดูดซับพลังเกินจำเป็น ถึงพลังจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปหลายขั้น มันก็จะมีข้อเสียมากกว่าข้อดีหากไร้พื้นฐานของพลัง
ด้วยเหตุนี้ซือหยูจึงยังไม่รีบขึ้นเป็นจ้าวเทวะด้วยพลังเซียนที่มีอยู่แล้ว
“หึหึร่างกายข้าน่ะพิเศษ เรื่องยากสำหรับคนอื่นไม่ถือเป็นปัญหาสำหรับข้า”
จางตี๋เก้อพูดอย่างเจ้าเล่ห์
ซือหยูเลิกคิ้ว…ร่างกายพิเศษรึ?มันคือคุณสมบัติเดียวกับที่นางบ่มเพาะได้ทั้งพลังภูติผีและพลังอรหันต์หรือ?
“ถ้าเจ้ารู้ว่าทำได้เท่าใดก็ดีแล้ว”
ซือหยูอยากจะถามไปมากกว่านี้แต่เขาก็ต้องเรียกวิญญาณกลับสู่กายเนื้อ
ก๊อง!   เสียงระฆังดังไกลมาจากท้องนภาไร้ขอบเขตมันดังสะท้อนไปทั่วเก้าสวรรค์ไร้จุดจบ มันคือคำสั่งจากตำหนักใน เป็นคำสั่งจากตัวม่อเทียนฉวนเอง นางกลับตำหนักมาแล้ว! หรือว่านางจะเรียกรวมตัวเพื่อประลองแย่งสิทธิ์ไปแดนมณี?
ซือหยูเก็บกระบี่เงินสามเล่มและยืนขึ้นช้าๆ
เขาพยายามจะเก็บกระบี่ทั้งสามในแหวนมิติแต่แหวนมิติก็ระเบิดตั้งแต่ก่อนที่กระบี่จะถูกเก็บไว้ภายใน
ซือหยูตรวจสอบอีกหลายครั้งก่อนจะแน่ใจว่ามิอาจเก็บกระบี่ลงในมิติใดได้แม้กระบี่จะอยู่ในฝักเขาต้องปกมันติดตัวไปทุกแห่งหนตามที่กิเลนน้อยบอก ซือหยูหากล่องกระบี่และพกมันไว้ที่ด้านหลัง
กระบี่ทั้งสามเปล่งแสงประกายและด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของซือหยู มันทำให้เขาดูเหมือนกับเซียนกระบี่
เมื่อเตรียมพร้อมซือหยูมองไปยังทิศทางของตำหนักใน

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

นิยาย The Divine Nine Dragon Cauldron
Status: Ongoing Author:
หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset