“พี่ ผมขอไปหาราชาหมาป่าบนเขาได้ไหม” เหยียนลิ่วหยวนถาม “ดูเหมือนว่ามันจะรู้จักผมนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่บอกเหยียนลิ่วหยวนเป็นการส่วนตัวแล้วว่าเขามีข้อตกลงกับฝูงหมาป่าอยู่ เหยียนลิ่วหยวนก็มองออกอยู่แล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่กับพวกหมาป่ามีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่างอยู่ ทั้งสองฝ่ายรวมมือกันล่าพวกทหารนาโนแมชชีน อาจจะฟังดูแปลกประหลาด แต่เหยียนลิ่วหยวนชินแล้วกับการที่เริ่นเสี่ยวซู่มีเรื่องประหลาดน่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะว่า “ได้สิ แต่ต้องอยู่หลังฉันตลอด”
ถึงจะร่วมมือกับพวกหมาป่าพักใหญ่แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังมีข้อประหวั่นอยู่บ้าง ถ้าจู่ๆ ราชาหมาป่าเกิดคลั่งอยากกินเหยียนลิ่วหยวนขึ้นมาล่ะ
จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจขึ้นเขาไป ทว่าทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นไฟหน้ารถพุ่งขึ้นเขามา เขาขมวดคิ้วมุ่น “กลับเข้าบ้านไปก่อน เรียกหลี่ชิงเจิ้งออกมาให้ด้วย”
“ได้” เหยียนลิ่วหยวนไปปลุกหลี่ชิงเจิ้ง
ไม่นานนักหลี่ชิงเจิ้งก็เดินออกมาในชุดทหาร “เสี่ยวซู่ นายเรียกฉันเหรอ”
“มีคนขับรถขึ้นเขา น่าจะเป็นคนของสมาคมตระกูลหลี่” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
“นี่มันวันขึ้นปีใหม่แล้วนะ ใครมีเวลามาขึ้นเขาได้ล่ะเนี่ย” หลี่ชิงเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ประหลาดใจ พวกเขายืนรอกันอยู่หน้าป้อมสังเกตการณ์ รถออฟโรคคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าทางเข้าป้อมสังเกตการณ์ จากนั้นทหารนายหนึ่งก็ลงมาและโยนซองจดหมายสีน้ำตาลใส่ “พวกเรากำลังรวบรวมไพร่พลจากทหารกองกำลังส่วนตัว นี่เป็นเอกสารแจ้งให้รวมพลพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้า หากหน่วยไหนมีคนมาไม่ครบจะโดนสืบสวนและถูกตีตราเป็นทหารหนีทัพ”
ในกองทัพของสมาคมตระกูลหลี่ บทลงโทษสำหรับทหารหนีทัพโหดร้ายมาก นอกจะถูกจับไปรับโทษทางอาญาแล้ว ครอบครัวยังติดร่างแหไปด้วย พวกเขาจะเสียคุณสมบัติในการได้รับส่วนแบ่งน้ำในฐานะผู้อพยพของเมืองน้อย ในยุคสมัยนี้ ไม่มีน้ำให้ดื่มก็ไม่ต่างจากความตายหรอก
อาจจะมีคนหาแหล่งน้ำในแดนรกร้างได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เสี่ยงเสียหน่อย
ทหารนายที่มาส่งเอกสารเสร็จก็กลับขึ้นรถเตรียมจากไป แต่หลี่ชิงเจิ้นลองคำนวณ ตอนนี้ตีสองแล้ว หมายความว่าพวกเขามีเวลาห้าชั่วโมงให้ไปรวมพลรายงานตัวที่นอกป้อมปราการ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทหารหนีทัพไป
เขาหันไปหาทหารนายนั้นแล้วว่า “พวกเราต้องเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี้ ถ้าพวกเราไปตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ คุณยกเว้นให้พวกเราหน่อยไม่ได้เหรอ”
ทหารแค่นเสียง กลับขึ้นรถไป “บอกฉันไปก็เท่านั้น ถ้าไม่อยากรวมพลก็ไม่ต้องมา”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาหลี่ชิงเจิ้ง “ในเมืองน้อยมีครอบครัวที่ไหนหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็เลือกจะหนีก็ได้”
หลี่ชิงเจิ้นพูดอย่างขมขื่น “ฉันจะหนีได้ยังไง ถึงจะไม่มีครอบครัวเหลืออยู่แล้ว คนในหน่วยเราอีกเป็นสิบนายยังมีครอบครัวอยู่ในเมืองน้อย ถ้ามีคนหนึ่งหนีไป ทั้งหน่วยก็จะโดนบทลงโทษไปด้วยน่ะสิ”
นี่เป็นวิถีการลงโทษอันโหดร้ายของสมาคมตระกูลหลี่ พวกเขาให้เพื่อนทหารด้วยกันคอยจับตาไม่ให้ใครหนีกันเอง เพราะหากมีคนหนึ่งหนีไป ทั้งหน่วยก็จบสิ้น
เริ่นเสี่ยวซู่มองหลี่ชิงเจิ้นด้วยความประหลาดใจ ต่อให้เขารู้ว่าพวกตนจะกลายเป็นตัวรับกระสุน ก็ยังไม่คิดจะหนีเพราะเห็นแก่คนอื่น
หูชัวพูดไว้ตั้งแต่มื้อเย็นที่กินด้วยกันเมื่อวานแล้วพวกตนอาจจะกลายเป็นเพียงตัวรับกระสุนในสงคราม
เรื่องนี้ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง จะส่งทหารกองกำลังส่วนตัวไปแนวหน้าด้วยสาเหตุอะไรกันล่ะ พวกเขาจะสามารถช่วยสู้รบในสภาพการณ์อันลำบากได้หรือ ไม่หรอก มีแต่จะถูกส่งไปเป็นตัวรับกระสุนแทนต่างหาก
แต่หลี่ชิงเจิ้งผู้นี้น่าประหลาดใจไม่น้อย ก่อนที่จะรู้จักกัน เขาดูจะใช้ทุกหนทางฉวยโอกาสจากผู้อื่น แต่พอกลายมาเป็นเพื่อนกันแล้ว เขาก็กลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพึ่งพาได้มาก
สถานะนายทหารระดับทั่วไปที่หูชัวให้มาเป็นตำแหน่งถาวร ถ้าหลี่ชิงเจิ้งจะใช้สถานะนี้หนีไปนั้นไม่ยากเลย
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่มีแผนการจะพาเหยียนลิ่วหยวนและคนอื่นๆ เข้าป้อมปราการไปกับตนเองด้วย อย่างไรด้วยสถานะนายทหารของกองสืบสวนพิเศษนี้จะพาพวกเขาเข้าไปเป็นเรื่องง่ายดายมาก
แต่ดูแล้วถ้าเขาพาครอบครัวและตนเองไปซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการ ทหารหน่วยนี้คงได้จบสิ้นแน่
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ไปปลุกทุกคนเถอะ พวกเราต้องเดินทางกันตอนนี้เลย แต่ให้ฉันส่งครอบครัวกลับเข้าเมืองน้อยก่อน จากนั้นค่อยไปจุดรวมพลกัน”
“ตามนั้น” หลี่ชิงเจิ้นพยักหน้า
อยู่ๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกอะไรบางอย่างได้ “นายสอนฉันขับรถหน่อยได้ไหม”
ถ้าในอนาคตพวกเขาต้องหาทางออกไปจากอาณาเขตของสมาคมตระกูลหลี่ ไม่ว่าจะไปป้อมปราการ 88 หรือ 178 การขับรถไปถือว่าเป็นตัวเลือกที่สบายสุดแล้ว ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงคิดจะเริ่มเรียนขับรถ
แถมหลังจากทางกองทัพเรียกรวมพลครั้งนี้ พวกเขาต้องมุ่งไปทางเหนือแน่ ถ้ามีแค่หลี่ชิงเจิ้นคนเดียวที่ขับรถได้ เขาคงต้องลำบากขับรถคนเดียวไปตลอดทาง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าไหนๆ ตนเองก็ขี่จักรยานให้เก่งไม่ได้แล้ว ทำไมไม่กระโดดไปเรียนวิธีขับรถเลยล่ะ
ใช้คัมภีร์คัดทักษะขั้นพื้นฐานเรียนทักษะการใช้ชีวิตแบบนั้นคงไม่ค่อยคุ้มเท่าไรนัก แถมใช่ว่าตอนนี้เขาจะมีคัมภีร์สักม้วนด้วย และต่อให้เขามีสักม้วนจริง เอาไปใช้กับคนอย่างหูชัวคงดีกว่ามาก
หลี่ชิงเจิ้งผงะ “ได้สิ เดี๋ยวสอนให้ระหว่างทาง ขับรถไม่ยากเลย แต่ไม่ควรเริ่มด้วยการขับบนทางภูเขานะ ถ้าได้ลองบนถนนที่เป็นเส้นตรงล่ะก็ นายจะจับทางได้ไวมาก”
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง การขับรถนั้น ถ้าไม่ต้องทำตามกฎจราจรแบบในป้อมปราการ หลังลองขับไปพักหนึ่งก็จับทางได้ไวมาก
คนในป้อมสังเกตการณ์ตาแทบเปิดไม่ขึ้น หลี่ชิงเจิ้งตะโกนสุดเสียง “เลิกนอนได้แล้วโว้ย รีบเก็บข้าวของสบงเสบียงที่พวกเรามีเข้าเป้สนาม อย่าขนขึ้นไปบนรถบรรทุกนะเฟ้ย ถ้าตอนตรวจพวกเขาเกิดเจอเนื้อหมักเกลือขึ้นมา พวกเราโดนแหง”
มีคนถาม “จ้าวหมาป่า พวกเราเก็บของไปทำไมเหรอ”
หลี่ชิงเจิ้งกวาดตามองพวกเขา และว่า “เตรียมตัวไปสนามรบ…”
ทุกคนตะลึง “ตอนนี้เลย? ไม่ใช่ว่าต้องรอให้เทศกาลตรุษจีนจบก่อนเหรอ”
“อย่างกับสงครามจะรอให้ฉลองตรุษจีนเสร็จก่อนงั้นแหละ” หลี่ชิงเจิ้งถอนหายใจ “ไปเก็บของตัวเองเถอะ มารวมพลที่นี่ในอีกสิบห้านาที”
ใบหน้าของทหารในป้อมสังเกตการณ์หมองคล้ำลงไป ทุกคนเพิ่งสนิทกับมากขึ้นราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งยังคุยกันว่าแต่นี้จะอาศัยอยู่ในป้อมสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ แต่ในชั่วพริบตา พวกเขาก็กำลังจะถูกส่งไปเป็นตัวรับกระสุนบนสนามรบเสียแล้ว
“พวกเราไม่ไปได้ไหม” มีคนถาม “อยู่ที่ป้อมสังเกตการณ์ดีกว่ามากเลย”
ตอนที่ทุกคนมาที่ป้อมสังเกตการณ์ครั้งแรก ก็ต่างคิดว่าเป็นงานที่ยากลำบาก แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็คิดว่าการอาศัยอยู่ที่นี่นั้นไม่ลำบากเลย ที่จริงมันสบายกว่าอยู่ในเมืองน้อยอีก
ตอนนี้หลี่ชิงเจิ้นเข้มงวดมาก “ถ้าพวกเราไม่ไปรวมพล ครอบครัวของเพื่อนทหารเราในเมืองน้อยคงไม่รอดแล้ว แถมสมาคมตระกูลหลี่ก็จะตามจับพวกเราแน่ๆ ยังไงก็หนีไม่ได้หรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตพวกเขาจากด้านข้าง ตลอดทั้งป้อมสังเกตการณ์ มีปืนไรเฟิลอัตโนมัติเพียงแค่สิบเอ็ดกระบอกเท่านั้น ระเบิดมือแม้แต่ลูกเดียวก็ไม่มี ปืนครก ทุ่นระเบิด และอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องไปคิดถึง ชุดวิทยุสื่อสารพื้นฐานไว้ใช้สื่อสารกันยังไม่มีเลย ถ้าพวกเขาต้องไปสู้รบในสงครามจริง พวกเขาคงไม่อาจโทรขอกำลังสนับสนุนในสนามรบที่กว้างจนสามารถกินพื้นที่สองเทือกเขาได้หรอก
ถึงเวลานั้น ศัตรูบนสนามรบคงรู้แล้วว่าทหารกองกำลังส่วนตัวนั้นอ่อนแอสุด และตีฝ่าง่ายสุด
แน่ละ ถ้าศัตรูคิดว่าหน่วยของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเหมือนทหารกองกำลังส่วนตัวหน่วยอื่นๆ ล่ะก็ แค่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ให้บทเรียนพวกเขาได้แล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยว่าฝูงหมาป่าจะตามเขามาด้วยหรือเปล่า เขาหันไปมองบนเนินเขา แต่ก็ไม่เห็นราชาหมาป่าแล้ว
ตอนนั้นเอง เฉินอู๋ตี๋ก็เข้ามาหาเริ่นเสี่ยวซู่ “ท่านอาจารย์ พวกเรากำลังไปร่วมสงครามหรือ”
“ดูสถานการณ์ก่อนแล้วกันว่าพวกเราจะไปร่วมสงครามหรือไม่ร่วมกันแน่” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ไปช่วยทุกคนขนของ นายเองก็ไปเตรียมตัวด้วย”
“ขอรับ!” เฉินอู๋ตี๋ตอบ