the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 236 จุดเริ่มต้นความเห็นต่าง

ในแดนรกร้างกอปรด้วยป้อมปราการหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดแห่ง ป้อมปราการ 178 แห่งทิศพายัพเป็นป้อมที่ตั้งอยู่สุดทิศตะวันตกในหมู่อาณาเขตของป้อมปราการทั้งหลาย และสภาพอากาศที่นั่นก็โหดร้ายมาก

ถ้าลองยืนทอดสายตาเหนือกำแพงป้อมปราการ 178 ล่ะก็ ทุกอย่างที่เข้ามาในสายตาคือดินเหลืองสุดลูกหูลูกตา กระทั่งแม่น้ำที่ทอดตัวทางตะวันออกก็เป็นสีเหลืองข้นไม่ต่างกัน

อาณาเขตของสมาคมตระกูลชิ่ง หลี่ หยางตั้งอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่นี่ ด้วยสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ ทั้งสามสมาคมจึงเป็นเส้นทางเชื่อมต่อที่ดีที่สุดลงตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนสมาคมที่ครอบครองอาณาเขตอื่นๆ ก็ยากที่จะขยับขยายลงทางตะวันตกเฉียงใต้เช่นกันเพราะเส้นทางไม่อำนวย

ตลอดทั่วทั้งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ สมาคมตระกูลหลี่อยู่ทางใต้สุด ถ้ามุ่งลงใต้ไปกว่านี้ ก็จะเจอพื้นที่ป่าฝนที่ง่ายต่อการหลงทางอยู่ในนั้น ที่นั่นมีแมลงพิษมากมาย ว่ากันว่ายังไม่มีใครเคยเดินทางผ่านป่านี้เพื่อลงไปใต้มากกว่านั้นได้เลย

เพราะการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก สภาพอากาศในภูมิภาคของสามสมาคมนี้จึงหนาวเย็นขึ้นมาก ในช่วงหลายปีมานี้ ระบบนิเวศของป่าฝนเปลี่ยนแปลงอย่างตาลปัตร สมาคมตระกูลหลี่เคยคิดจะวาดอาณาเขตครอบคุมป่าฝนนี้และกะจะสร้างป้อมปราการแห่งใหม่ข้างในนั้นด้วยซ้ำ

สมาคมตระกูลชิ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสมาคมตระกูลหลี่ เป็นพื้นที่ที่ง่ายต่อการป้องกัน แต่ยากจะจู่โจม เพราะตั้งอยู่ชิดภูเขา ป้อมปราการ 111 จึงได้รับขนานนามว่าเป็นนครขุนเขา มันเป็นดินแดนสำคัญและเป็นแหล่งน้ำของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นี้

สมาคมตระกูลหยางอยู่ในแอ่งแผ่นดินคู่กับพื้นที่หลงหนานแห่งสมาคมตระกูลจงโดยมีป้อมปราการ 178 อยู่ทางเหนือ ทว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาก สมาคมตระกูลจงวางแผนชิงอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือในการครอบครองของป้อมปราการ 178 อยู่ตลอด แต่กระนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไรกับสมาคมตระกูลหยาง

สภาพภูมิประเทศของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้แบ่งเป็นการช่วงชิงอำนาจของสามฝ่าย ทั้งสามสมาคมไม่ได้แบ่งปันทรัพยากรกัน อะไรที่สมาคมตระกูลหลี่มี สมาคมตระกูลหยางก็จะไม่มี อะไรที่สมาคมตระกูลหยางมี สมาคมตระกูลชิ่งก็จะไม่มี

เหตุผลให้ก่อสงครามมีตลอด และมีทรัพยากรต่างๆ เป็นแรงจูงใจที่แท้จริง

แต่มีคนเคยพูดว่าตนเคยไปที่ราบตอนกลาง[1]จนไปถึงตะวันออกมาก่อน พวกเขาบอกว่าที่นั่นเจริญรุ่งเรืองมาก นอกป้อมปราการมีถิ่นฐานของมนุษย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วยซ้ำไป

แต่ในโลกหลังภัยพิบัติ โลกที่พวกเขารู้จักไม่มีอยู่อีกแล้ว

วันสิ้นปีผ่านพ้น หูชัวกลับไปที่ป้อมปราการ 108 เครื่องจักรสงคราม[2]ของทั้งสามสมาคมต่างถูกส่งไปประจำชายแดนแล้ว พวกมันอยู่ห่างกันไม่กี่สิบกิโลเมตร รอคอยให้สงครามที่แท้จริงระเบิดออก

ตอนแรกพวกเหยียนลิ่วหยวนก็ตื่นเต้นกันใหญ่ แต่นานไปก็ทนง่วงไม่ไหวจนหลับไป เริ่นเสี่ยวซู่นั่งคิดแผนการในอนาคตคนเดียวอยู่ที่กองไฟ เขากำลังคิดว่าตนควรทำอะไรเพื่อให้ทุกคนสามารถรอดพ้นจากคลื่นสงครามนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

จากที่หูชัวว่าไว้ เขาสามารถส่งพวกเหยียนลิ่วหยวนเข้าไปในป้อมปราการ 108 ได้ก่อน ต่อให้ตัวทดลองมาโจมตี พวกมันก็ไม่อาจตีฝ่าแนวป้องกันหนาแน่นของป้อมปราการได้ อีกทั้งผลกระทบจากสงครามสามสมาคมก็ไม่น่ามาถึงตัวป้อมปราการไวขนาดนั้นด้วย

สู้ในสงครามก็เหมือนการเล่นเกม คนฉลาดไม่เริ่มด้วยการเทหมดหน้าตักหรอก

หิมะเริ่มตกแล้ว ประตูบ้านหลังหนึ่งพลันหนึ่งเปิดออก เหยียนลิ่วหยวนในเสื้อกันหนาวเดินออกมา เขานั่งข้างเริ่นเสี่ยวซู่ “พี่ กำลังเป็นห่วงเรื่องสงครามอยู่เหรอ”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบรับ

“ทำไมพวกเราไม่หนีไปจากที่นี่เลยล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “ต่อให้พวกเรามุ่งลึกเข้าไปในป่าเขา พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างดีได้แน่”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเขา แล้วว่า “แล้วก็จะไม่ติดต่อโลกภายนอกอีกต่อไปน่ะนะ”

“พี่ ผมรู้นะว่าพี่อยากไปหาพี่เสียวจิ่นที่ป้อมปราการ 88 ทำไมไม่ให้เธอมาหาพี่แทนล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนว่า “ที่จริงผมเจอแล้วว่าป้อม 88 อยู่ทางไหนแต่ไม่อยากบอกพี่ ยังไงพวกเราไปอยู่นั่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก เธอเป็นบุคคลสำคัญในสมาคมตระกูลหยาง ส่วนพวกเราเป็นแค่ผู้อพยพ”

เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวน ในอดีตพวกเขาก็เคยมีข้อเห็นต่างเช่นกัน อย่างเช่นตอนที่เหยียนลิ่วหยวนอยากเรียนรู้วิธีการล่าสัตว์มากกว่าไปโรงเรียนเป็นต้น เริ่นเสี่ยวซู่ปฏิเสธ สุดท้ายพวกเขาก็ทะเลาะกัน

ทว่าครั้งนี้ เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่าเหยียนลิ่วหยวนต่อต้านคำว่า ‘ป้อมปราการ’ จากสุดกดบึ้งของหัวใจจริงๆ และนี่ทำให้เขาเกลียดพวกที่อยู่ในป้อมปราการเช่นกัน

เหยียนลิ่วหยวนว่า “พี่ ป้อมปราการไม่ต้อนรับคนแบบเราหรอก”

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าตอนที่อยู่ป้อม 109 แล้วนายบอกว่าเข้ากับเพื่อนร่วมห้องได้ไม่เลวนั่น นายโกหกสินะ”

“อืม” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า “ไม่มีใครอยากคุยกับผมแล้วก็หวังต้าหลงเลย ที่จริงทุกคนหลบหน้าเราอย่างกับกลัวโรค พวกพ่อแม่ของพวกเขาก็บ่นลูกตัวเองกลัวพวกเขาจะมาเป็นเพื่อนกับพวกเรา ตอนที่ครูถามคำถามแล้วผมตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเรียนมาก่อน เจ้าครูนั่นก็พูดว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแหละ พวกผู้อพยพเรียนหนังสือไม่เป็นแถมยังโง่กันด้วย มีครั้งหนึ่งเพื่อนในห้องทำของหาย ทุกคนก็หันมาสงสัยว่าผมกับหวังต้าหลงเป็นคนขโมย…”

เริ่นเสี่ยวซู่เงียบงันไป คนในป้อมปราการล้วนคิดเช่นนี้ต่อผู้อพยพ เป็นความคิดฝังหัวพวกเขามาหลายสิบปี

เหยียนลิ่วหยวนพูดต่อ “พวกเขาค้นโต๊ะพวกเราสองคนแต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไร ตอนนั้นพี่เสี่ยวอวี้ให้เงินค่าขนมมาโรงเรียนบ่อยๆ แถมจำนวนไม่น้อยด้วย มากกว่าที่นักเรียนคนอื่นๆ ได้กัน พอครูเห็นเงินจำนวนนั้นก็หาว่าพวกเราขโมยมา ใจเขาเชื่อไปแล้วว่าผู้อพยพไม่มีทางมีเงินมากขนาดนั้นได้หรอก”

“พวกเราอธิบายอะไรไปก็ไม่มีผล หวังต้าหลงกลัวมากจนร้องไห้ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ร้องหรอก พี่เคยพูดก่อนหน้านี้แล้วนี่ว่าโลกใบนี้ไม่เชื่อในน้ำตา” เหยียนลิ่วหยวนว่า “พี่ ผมไม่ชอบป้อมปราการ และก็ไม่ชอบคนในนั้นด้วย พี่หยางเสียวจิ่นอาจจะต่างไปจากคนอื่นก็จริง แต่ครอบครัวกับเพื่อนของเธอล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ไม่รู้สินะ”

“งั้นพี่…” เหยียนลิ่วหยวนโพล่ง “รอเธอมาหาพี่ดีกว่า ถ้าเธอไม่มา ต่อให้พี่เดินทางขึ้นเหนือไปจนถึงป้อมปราการ 88 ก็เท่านั้นแหละ พี่พูดเองว่าอย่าให้ความทุกข์ตรมของโลกกลายเป็นความทุกข์ตรมของเรา แต่ความทุกข์ตรมของโลกนี้กลายเป็นมะเร็งที่ฝังแน่นอยู่ในชาวป้อมปราการไปแล้ว”

“นายน่าจะให้ฉันไปคุยกับครูคนนั้นนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า

“แล้วพี่จะจัดการยังไง” เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่

“ใครกล้าแหยมกับนายฉันก็เชือดทิ้งไง” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ยังไงพวกเราก็เดินทางขึ้นเหนือไม่ได้อยู่ดี รุ่งสางพรุ่งนี้ฉันจะส่งทุกคนกลับไปที่ป้อม 108 นายไม่ต้องเข้าโรงเรียนแล้วล่ะ ให้ครูเจียงสอนให้นายแทนก็พอ ถึงเธอจะเป็นครูภาษาจีน แต่ก็เคยผ่านการศึกษาอย่างเป็นทางการมาก่อน แค่นั้นก็น่าจะพอสอนคณิตฟิสิกส์เคมีให้นายได้”

เหยียนลิ่วหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตาทอประกาย “ผมชอบครูเจียง ผมว่าครูเหมาะกับพี่ไม่เลวนะ”

“เจ้าตัวแสบ!” เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาตาขวาง

ทันใดนั้นเหยียนลิ่วหยวนก็หันไปมองทางเนินเขา เริ่นเสี่ยวซู่มองตามสายตาเขา ก่อนจะเห็นราชาหมาป่ายืนนิ่งมองเหยียนลิ่วหยวนกลับ

เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าราชาหมาป่าไม่มองตนแต่เป็นเหยียนลิ่วหยวน รอบที่แล้วตอนหนีกันอยู่ก็เป็นเช่นนี้ เริ่นเสี่ยวซู่เกิดข้อสงสัยอยู่บ้าง ราชาหมาป่าน่าจะพาฝูงเข้าไปลึกในขุนเขาแล้วสิ แต่พอคืนนี้เหยียนลิ่วหยวนมาเยือนป้อมสังเกตการณ์ มันกลับยอมเสี่ยงออกมามองเหยียนลิ่วหยวนเชียว

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นายเคยเจอราชาหมาป่ามาก่อนเหรอ”

“ไม่นะ” เหยียนลิ่วหยวนส่ายหน้า

[1] จงหยวน (中原) หรือพื้นที่ภาคกลางของจีน

[2] เครื่องจักรสงคราม (War Machine) หมายถึงทรัพยากรทางทหารต่างๆ อาทิ กองทัพทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset