บรรยากาศในห้องดูกระอักกระอ่วนไปพักหนึ่ง พูดตามตรง ขนาดเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ ผู้ป่วยจิตเวชสองคนปรับคลื่นความถี่คุยกันได้เสียอย่างนั้น
นี่มัน…เกินความคาดหมาย
พูดไปแล้ว…นับวันกลุ่มอัญเชิญพระไตรปิฎกก็ยิ่งครบองค์ประชุม เฉินอู๋ตี๋ไม่คิดเผื่อว่าต้องการแค่ศิษย์สามคน เขายังคิดเผื่อไปถึงว่าพวกเขาต้องการไม้หาบด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดว่า ตอนนี้หากมีตะกร้าอีกสองใบกับม้ามังกรขาวมาร่วมกลุ่มก็ครบแล้ว
ตอนนั้นเองเหยียนลิ่วหยวนก็มองเด็กหญิงแล้วยิ้ม “น้องสาว ชาตินี้ชื่ออะไรเหรอ”
“ฉันชื่อซือหลีเหริน” เธอตอบ
“เธอมีพลังพิเศษอะไรเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อ
“ฉันแรงเยอะมากๆ เลยล่ะ” ซือหลีเหรินพูดอย่างภาคภูมิใจ
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย คนที่พูดอย่างนั้นรอบล่าสุดตอนนี้ยังโดนจับมัดในห้องนอนอยู่เลย…
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ อย่างไรเสียเธอก็คุยกับเฉินอู๋ตี๋ได้…
เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม แล้วว่า “แรงเยอะขนาดไหนเหรอ แสดงให้พวกเราดูหน่อยได้ไหม”
ซือหลีเหรินส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะยกหวังต้าหลงขึ้นอย่างไม่เปลืองแรงทำเอาเขาร้องโวยวายตกใจ
เหยียนลิ่วหยวนพ่นลมหายใจ “ดูเหมือนว่าชาตินี้จะเป็นซัวเจ๋งที่ถูกไม้หาบแบกแทนนะเนี่ย”
เสี่ยวอวี้ที่อยู่ข้างกันยิ้ม “หลีเหรินหิวหรือยังจ๊ะ ให้พี่สาวทำอะไรให้กินไหม”
“หนูยังไม่หิว” ซือหลีเหรินกล่าวได้อย่างน่ารักน่าชัง
หลัวหลานรับไม่ไหวแล้ว ไม่เข้าใจเลยคนที่เขาพยายามช่วยชีวิตมาแทบตายทำไมถึงไปร่วมคณะเดินทางอัญเชิญพระไตรปิฎกเสียหมด
อุตส่าห์วางแผนมาหลายวัน เริ่นเสี่ยวซู่กลับเป็นคนคาบไปกินเสียได้ ทำไมผู้มีพลังพิเศษทุกคนถึงไปวนอยู่รอบตัวเริ่นเสี่ยวซู่กันหมดเลยฟะ!
“ฉันไม่เชื่อหรอก เด็กคนนี้อาจจะเดาชื่อมั่วๆ ก็ได้!” หลัวหลานคำราม
“แต่ใช่ว่ามีคนเตี๊ยมกับเธอก่อนเสียหน่อย…” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างกระอักกระอ่วน “นายเป็นคนพาเธอมานะ แถมยังอยู่ในสายตานายตลอดเวลาด้วย”
“ก่อนหน้านี้เฉินอู๋ตี๋พูดถึงม้ามังกรขาวไง” หลัวหลานเอ่ย “เธออาจจะเดาจากตรงนั้นก็ได้”
จากที่หลัวหลานมอง โลกนี้ไม่น่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ นายตะโกน ‘เจ้าไม้หาบ’ นะ แล้วฉันจะตะโกนตอบว่า ‘ศิษย์พี่?’ ใครแม่*จะไปเชื่อเรื่องแบบนี้ลงฟะ! แสดงตลกกันอยู่เหรอไง!
หลัวหลานมองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขาก็รีบตอบ “มองฉันทำไม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเฟ้ย”
คนหนึ่งเป็นบ้ายังพอเข้าใจ แต่ให้สองคนแสดงอาการวิกลจริตเหมือนกันเนี่ยนะ? นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่อดรู้สึกว่าเขาอาจเป็นพระถัมซัมจั๋งกลับชาติมาเกิดจริงๆ ก็ได้
แน่ล่ะ เขามั่นใจมากว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้น
จู่ๆ เหยียนลิ่วหยวนก็ชี้ไปที่หลัวหลานแล้วถามเด็กหญิงว่า “นี่ใคร”
เด็กหญิงมองหลัวหลานแล้วว่า “เปินปัวเอ๋อร์ป้า”
หลัวหลาน “???”
หลัวหลานแทบสติแตกแล้ว เปินป้าเธอสิ มาถึงขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย
เหยียนลิ่วหยวนชี้ไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ “แล้วนี่ใคร”
“ท่านอาจารย์!” เด็กน้อยยิ้มหวาน
“แล้วฉันล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อขณะพิจารณาอย่างใกล้ชิด
“อ้อ นายคือม้ามังกรขาว” เด็กหญิงพูดออกอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะ “โทษทีนะ แต่ฉันไม่ใช่หรอก”
เด็กหญิงเงียบไป สีหน้าสับสน ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงตบมือดังมาจากนอกร้าน ก่อนที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจะเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ก็คงงั้นแหละ พวกเราหลอกทุกคนไม่ได้แล้ว หลีเหรินมานี่เร็ว”
พริบตานั้น บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดขึ้นมา เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มผู้นี้เข้ามาตอนไหน
หลัวหลาน ถังโจว และคนของเขาควักปืนเล็งไปที่ชายหนุ่มคนนั้นราวกับเจอศัตรูอันตรายยากตอแยก็มิปาน
ไม่ใช่เพราะหลัวหลานตกใจกลัว แต่เป็นเพราะว่าเขารู้ว่าคนผู้นี้คือพรายกระซิบต่างหาก!
หลัวหลานไม่กล้าช่วยชายหนุ่มผู้นี้ออกมาชัดๆ แล้วเขาออกมาจากห้องนั้นได้อย่างไร หรือว่า…
ทันใดนั้นหลัวหลานก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของโรงพยาบาลจิตเวช เขาควบคุมทุกคนในนั้นมาตั้งแต่แรก
พลังสะกดจิตสุดอัศจรรย์ที่ควบคุมผู้อื่นอย่างเงียบงัน ถึงพนักงานของโรงพยาบาลจะระวังเขาอยู่ตลอด แต่ก็คงตกอยู่ในอำนาจสะกดจิตอย่างไม่รู้ตัวไปแล้ว
ไม่ใช่หลัวหลานปลดปล่อยพรายกระซิบผู้นี้ แต่เป็นเขาเข้าออกโรงพยาบาลได้ตามใจมาตั้งนานแล้ว
พลังสะกดจิตเช่นนี้มากพอให้อำนาจทุกฝ่ายเกรงกลัว
ต่อไปป้อมปราการ 109 มีแต่จะวุ่นวายยิ่งขึ้น
พวกเขาเห็นชายหนุ่มยังยิ้มได้แม้ถูกปืนเล็งใส่ เขาพูด “ขอแนะนำตัวเองก่อนนะ ฉันชื่อว่าหลี่เสินถาน บุตรผู้ถูกทิ้งแห่งสมาคมตระกูลหลี่ และฉันมาอย่างเป็นมิตร”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลัวหลาน คนผู้นี้เป็นคนของสมาคมตระกูลหลี่จริงๆ? เริ่นเสี่ยวซู่รู้แล้วว่าเขาคือใคร คนผู้นี้น่าจะเป็นตัวอันตรายที่หยางเสียวจิ่นพูดถึง แต่ไม่เห็นเธอจะพูดเลยว่าเขามาจากสมาคมตระกูลหลี่
หลัวหลานกระซิบ “เขาคือพรายกระซิบ อันตรายมาก”
หลัวหลานเองก็กำลังสับสุนงุนงงไม่ต่างกัน เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลี่เสินถานนั้นมาจากสมาคมตระกูลหลี่ แต่ทำใมคนของสมาคมตระกูลหลี่ถึงถูกขังอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชได้ล่ะ ที่นี่เป็นอาณาเขตของสมาคมตระกูลหลี่ไม่ใช่เหรอ
ดูเหมือนว่า ‘บุตรผู้ถูกทิ้ง’ ที่ว่าจะมีความหมายมากกว่านั้น
เด็กหญิงนามซือหลีเหรินกลับไปอยู่ข้างกายหลี่เสินถามแล้ว ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจให้เด็กหญิงคนนี้ถูกหลัวหลานช่วยไว้ แต่ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย หรือเพราะอยากรู้ว่าฐานของพวกตนอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ
เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดความรู้สึกว่าตนเองถูกเปิดโปง หลี่เสินถานรู้เรื่องเฉินอู๋ตี๋ ทั้งยังรู้ด้วยว่าเขาเคยพูดอะไรมาบ้าง เขาถึงกับรู้ว่าเฉินอู๋ตี๋เรียกหลัวหลานว่าเปินปัวเอ๋อร์ป้าด้วยซ้ำ!
ความรู้สึกเช่นนี้แย่มาก ราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่เสินถานหมดแล้ว
แต่เขาไปรู้เรื่องพวกนั้นได้ยังไง มีสายลับอยู่ในสมาคมตระกูลชิ่งอย่างงั้นเหรอ แต่ด้วยพลังของเขาจะหาข้อมูลจากคนของสมาคมตระกูลชิ่งไม่น่าเป็นเรื่องยาก
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบ “นายต้องการอะไร”
หลี่เสินถานมองเริ่นเสี่ยวซู่ ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเราอยู่กันเองในป้อมสองคนแล้วมันเหงาๆ น่ะ ไหนๆ เพื่อนๆ ก็มาอยู่ที่นี่กันหมด ฉันเลยรู้สึกว่าตัวเองสมควรออกมาทักทายทุกคนเสียหน่อย”
“งั้นก็แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะไล่พวกเขาออกไป เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพรายกระซิบผู้นี้
ไม่รู้ทำไม เริ่นเสี่ยวซู่ที่เห็นว่าซือหลีเหรินไม่ใช่ ‘ไม้หาบ’ จริงๆ ก็โล่งอกยกใหญ่ เขาไม่อยากเป็นพระถังซัมจั๋งหรอกนะ
หลี่เสินถานดูประหลาดใจกับท่าทางของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่น้อย แต่เขาไม่สนใจอะไรนัก
เขาพลันพูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ไม่รู้สินะ แต่ฉันว่านายมีอะไรพิเศษมาก”
เป็นคราวของเริ่นเสี่ยวซู่ต้องแปลกใจบ้างแล้ว “ฉันหล่อมากงั้นสิ?”
“เปล่าๆ ไม่ใช่เลย” หลี่เสินถานชี้ไปที่ศีรษะตัวเองแล้วหัวเราะ “ตรงนี้ของนายพิเศษมาก งั้น…ถ้าโชคชะตานำพา พวกเราคงได้พบกันอีกครั้ง อ้อแล้วก็เถ้าแก่หลัว ฉันไม่ได้สะกดจิตลูกน้องนายของนายหรอกนะ ไม่ต้องเป็นกังวลมากไป”
เริ่นเสี่ยวซู่ที่ยังไม่หายสงสัยถามขึ้น “แล้วทำไมถึงเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวชล่ะ”
หลี่เสินถามคิดพักหนึ่งกล่าวว่า “เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ใช่เวลาน่ะสิ” จากนั้นหลี่เสินถานก็นำซือหลีเหรินเดินหายเข้าไปในความมืด
ก่อนที่พวกเขาจะหายลับไป ซือหลีเหรินก็หันมาโบกมือให้ทุกคน “ทุกคนบ๊ายบาย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยนะคะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่วิเคราะห์จากคำพูดของหลี่เสินถานได้ว่าเขามีธุระต้องจัดการเลยออกจากโรงพยาบาลมา มันเกี่ยวข้องอะไรกับผลงานวิจัยของสมาคมตระกูลหลี่หรือเปล่านะ?
หลัวหลานถอนหายใจออกมายกใหญ่ “ทุกอย่างสูญเปล่าแล้ว ฉันไปคุยกับตงฟู่หนานต่อดีกว่า อย่างน้อยเธอก็ยังน่าเชื่อถือมากกว่า”
เริ่นเสี่ยวซู่เหม่อมองหลัวหลาน…
ในใจหันรีหันขวาง ไม่รู้จะบอกหลัวหลานดีไหมว่าตงฟู่หนานเองก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเหมือนกัน…