the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 174 การแปรพักตร์ของชิ่งเจิ่น

แปรพักตร์?

เหล่าผู้บริหารในห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบงัน นี่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงมาก

เมื่อก่อนก็มีคนแปรพักตร์ไปจากสมาคมตระกูลชิ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพบเห็นแล้ว เป็นเช่นนี้เพราะว่าราคาของการแปรพักตร์นั้นแพงเกินไป และทางสมาคมจะไม่มีทางปล่อยให้ผู้แปรพักตร์รอดไปได้

มีคนถามเลขา “ชิ่งเจิ่นทิ้งข่าวอะไรไว้หรือเปล่า”

“เขาทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะที่คฤหาสน์ครับ” เลขาพูด “เขาบอกว่าจะออกไปพักผ่อนเสียหน่อย”

ทุกคนในห้องประชุมตะลึงไป ชิ่งเจิ่นเห็นสภาบริหารเป็นของเล่นหรืออย่างไร เขาถูกสั่งว่าห้ามออกจากคฤหาสน์แม้แต่ก้าวเดียว แต่นี่เขาเล่นออกจากป้อมปราการไปเลย!

ผู้อาวุโสคิดพักหนึ่งแล้วเอ่ย “เขาไม่น่าจะไปไกลขนาดแปรพักตร์เข้ากับสมาคมตระกูลหลี่หรอก ฉันว่าเขาน่าจะได้รับข่าวเรื่องตัวทดลองหายไปจากคนอื่นแล้ว สองเรื่องนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกันอยู่ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้น”

มีคนสงสัย “ท่านจะบอกว่าชิ่งเจิ่นออกป้อมเพราะได้ข่าวว่าตัวทดลองหายตัวไป?”

“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ตอนที่ผู้บริหารในห้องประชุมได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปเล็กน้อย “แต่ข่าวตัวทดลองหายไปเกี่ยวอะไรกับชิ่งเจิ่นด้วย ทำไมเขาต้องหนีไปล่ะ”

“เพราะเหมือนชิ่งเจิ่นจะคิดว่าตัวทดลองจำนวนมหาศาลกำลังรุดไปป้อมปราการ 109” ผู้อาวุโสเอ่ย “ชิ่งเจิ่นไปป้อม 109 เพราะต้องการช่วยเหลือพี่ชายของเขา หลัวหลาน”

หลัวหลานอยู่ในป้อมปราการ 109 ไม่ใช่เรื่องลับอะไร สมาคมไม่ได้สั่งให้เขากลับมาเพราะคร้านจะยุ่งเรื่องลูกนอกสมรสคนหนึ่ง

ทุกคนรู้ดีว่าชิ่งเจิ่นกับหลัวหลานสนิทกันมาก แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าชิ่งเจิ่นจะหนีออกจากป้อมปราการ 111 ไปและยอมเสี่ยงจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้แปรพักตร์เพื่อหลัวหลาน

“ชิ่งเจิ่นไปป้อม 109 แล้วจะช่วยอะไรได้” มีคนไม่เข้าใจ “เขาไม่มีคนใต้บังคับบัญชาแล้วเสียหน่อย”

มีคนถามเลขา “ทหารที่ถูกมอบหมายให้ไปหน่วยอื่นเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ พวกเขาล้วนเชื่อฟังอย่างดี ทุกคนยังประจำการอยู่ในฐานของตัวเอง” เลขาว่า

ทุกคนจึงเงียบไป จากนิสัยของชิ่งเจิ่น เขาคงไม่ไปป้อมปราการ 109 โดยไม่พาคนไปด้วยหรอก

อย่างนั้นก็เหลือคำอธิบายเดียวแล้ว ชิ่งเจิ่นยังมีกองกำลังลับใต้อาณัติที่ทางสภาบริหารไม่รู้

และนี่ก็คือเหตุผลจริงๆ ที่สภาบริหารยึดอำนาจชิ่งเจิ่นกลับคืนไม่ใช่หรือ เงาที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมาคมกำลังหลุดบังเหียนแล้ว

สองสามวันมานี้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ที่ทั่วทั้งป้อมปราการพลันดูสงบเงียบ

ไม่มีใครสร้างปัญหา ไม่มีการต่อสู้ที่ไหน เหมือนกับว่าอำนาจใหญ่ๆ ที่พยายามอย่างหนักจนเข้ามาในป้อมปราการ 109 นั้นเข้ามาเพื่อชมของเฉยๆ

หลังสอบปลายภาคเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่เห็นหยางเสียวจิ่นที่งานฉลองปิดภาคเรียนเลย ตามประเพณีแล้วนักเรียนจะได้การบ้านไปทำในช่วงปิดเทอม ร่วมด้วยการประกาศผลสอบและเหล่าคุณครูก็จะมาอธิบายเฉลยคำตอบให้นักเรียนฟัง

แต่หยางเสียวจิ่นหายหน้าหายตาไปเลย

และที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ประหลาดใจเลยคือหยางเสียวจิ่นทำข้อสอบได้ 140 คะแนนพอดีทุกวิชาของการสอบปลายภาค

ตอนที่เจียงอู๋ส่งข้อสอบกลับมาให้นักเรียนนั้น เธอถามว่าข้อสอบชุดไหนเป็นของหัวหน้าห้องหยางเสียวจิ่นและชุดไหนเป็นของคณะกรรมการนักเรียนเริ่นเสี่ยวซู่ และแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำหน้าหนาตอนหยางเสียวจิ่นไม่อยู่ รับกระดาษข้อสอบที่ได้คะแนนสูงกว่ามาอย่างหน้าไม่อาย

เจียงอู๋พูดกับเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไม่แน่ใจนัก “แต่ลายมือที่เขียนบนกระดาษคำตอบดูชดช้อยมากไม่เหมือนตัวเธอเลยนะ”

แต่พอเธอเห็นว่าชื่อบนหัวกระดาษคือ ‘เริ่นเสี่ยวซู่ หัวหน้าห้องม.6/7’ เจียงอู๋ก็โล่งใจ “เป็นข้อสอบของเธอจริงๆ ด้วยไม่นึกเลยนะว่าเธอจะทำคะแนนได้ดีขนาดนี้”

ถึงคราวที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำตัวไม่ถูกบ้างแล้ว

มีข่าวลือว่าเด็กสาวม.6 จากห้องอื่นมาตามหาเริ่นเสี่ยวซู่ตอนบ่าย เธอรวบรวมเพื่อนร่วมห้องมาคิดจะอัดเขา แต่พอนักเรียนกลุ่มใหญ่มาถึงหน้าห้อง ก็โดนนักเรียนชั้นม.6/7 กันไว้เสียก่อน

นักเรียนจากอีกห้องเซ็งจัด ห้องนี้สามัคคีกันดีแบบนี้ ก็ไม่มีทางหาจังหวะตอนเริ่นเสี่ยวซู่อยู่คนเดียวได้น่ะสิ

แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเริ่นเสี่ยวซู่กลับบอกพวกเขาอย่างสัตย์ตรงว่า “ที่ห้ามพวกนายก็เพราะอยากปกป้องพวกนายหรอกนะ เข้าใจไหม”

หลีโม่ไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น “เริ่นเสี่ยวซู่โง่แล้วไม่เจียม เสร่อมาให้ฉันลอกข้อสอบอีก ทำเอาฉันได้แค่ 40 คะแนนจากทุกวิชาเองเนี่ย เขากล้ามากนะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่ในห้องแล้ว เพื่อนนักเรียนของเขามองหน้ากันเองแล้วอุทาน “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เริ่นเสี่ยวซู่สอบได้ 560 คะแนนหรอก!”

หลีโม่ “???”

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่หมดอารมณ์จะไปโรงเรียน แล้วก็ไม่สนด้วยว่าที่โรงเรียนจะเกิดเรื่องอะไร

เพราะเขารู้ดีว่าในไม่อีกไม่กี่วันนี้จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ตอนนี้เป็นช่วงลมสงบก่อนพายุจะมา

ตั้งแต่ได้กลายมาเป็นผู้มีพลังพิเศษ เขาก็ถูกกำหนดมาให้ต้องมีวิถีคิดต่างไปจากนักเรียนคนอื่นๆ แล้ว นักเรียนพวกนั้นคิดแต่ว่าวันหยุดจะไปเที่ยวที่ไหนดี แต่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องเริ่มคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากความวุ่นวายที่กำลังมาถึง

หลังจากเสร็จภารกิจที่ให้หลีโม่ลอกข้อสอบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้รับรางวัลเป็นค่าความคล่องแคล่ว 1.0 แต้ม ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่จึงมีพละกำลัง 8.5 แต้ม และความคล่องแคล่ว 6.1 แต้ม แต่แค่ค่าความคล่องแคล่วเล็กๆ น้อยๆ นี่ไม่น่ามีประโยชน์มากในวิกฤตที่กำลังมาถึง

ที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังเฝ้ารอจริงๆ คือรางวัลที่พระราชวังจะให้หลังเสร็จภารกิจของต่งฟู่หนานต่างหาก รางวัลภารกิจรองที่แล้วคือดาบทมิฬ ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงมองว่าภารกิจรองคือโอกาสได้รับรางวัลคุณภาพเยี่ยม

จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่หยางเสียวจิ่นที่หายหน้าไป หลัวหลานเองก็ไม่ได้มาที่ร้านหลายวันแล้วด้วย ทหารของสมาคมตระกูลหลี่ตามท้องถนนก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปไม่ต่างกัน

ทุกอย่างดูไม่ปกติ ประหลาด แต่บรรยากาศกลับสงบยิ่งกว่าปกติ

เริ่นเสี่ยวซู่ยืนอยู่หน้าร้าน คอยมองคนเดินถนนผ่านไปผ่านมา ตอนนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านเขาไปพร้อมยัดซองกระดาษใส่มือเขา

เริ่นเสี่ยวซู่ถอยกลับเข้าไปในร้านแล้วเปิดซองดู ก่อนจะแปลกใจที่เห็นสัญลักษณ์ใบแปะก๊วยสีซีดข้างในพร้อมกับข้อความสั้นๆ

เป็นหลัวหลานส่งมา ทำไมต้องทำเป็นลึกลับด้วย?

เริ่นเสี่ยวซู่อ่าน ‘ตัวทดลองจำนวนมหาศาลหายไปจากป้อม 113 สันนิษฐานว่ากำลังมาที่ป้อม 109 หาทางออกจากป้อมภายในสามวัน’

ในจดหมายไม่ได้ระบุว่าเขาจะออกไปอย่างไร แต่แค่หลัวหลานแจ้งวันมาก็ใจดีมากแล้ว อย่างไรความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนที่ทุกคนคิด

เริ่นเสี่ยวซู่อ่านข้อความในจดหมายแล้วก็หน้านิ่วคิ้วขมวด สมาคมตระกูลชิ่งไม่ได้โลกสวยเรื่องการมาเยือนของตัวทดลองเลย

เจ้าพวกตัวทดลองนั่นบ้าไปแล้วเหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงบุกป้อมปราการ 109

จะอย่างไรก็เอาเถอะ ในอีกสามวันป้อมปราการจะเกิดเหตุ พวกคนที่จ้องผลงานวิจัยตาเป็นมันก็คงลงมือในอีกสามวันแน่

ทุกคนเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่คำถามคือใครจะเป็นคนลงมือเปิดม่านแห่งความโกลาหลนี้

เริ่นเสี่ยวหันไปหาพูดกับหวังฟู่กุ้ย เสี่ยวอวี้ และคนอื่นๆ “ได้เวลาไปแล้ว ทุกคนเก็บของ”

หวังฟู่กุ้ยลูบเคาน์เตอร์ที่เพิ่งเช็ดไปหมาดๆ ด้วยความเสียดาย “ร้านดีงามแท้ ไม่นึกเลยว่าต้องหนีอีกแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ทำไม อดใจจากไปไม่ได้เหรอ”

“ไม่หรอก” หวังฟู่กุ้ยยิ้มขื่น “เสี่ยวซู่ เธอสังเกตไหมว่าบรรดาป้อมปราการที่อยู่ทั่วแดนรกร้างแต่ไหนแต่ไรอยู่กันปกติสุขมาหลายทศวรรษ แต่ปีนี้ปีเดียวกลับเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อนมันจะเป็นแค่เหตุบังเอิญหรือว่าความวุ่นวายโกลาหลที่แท้จริงมันเริ่มกลับมาแล้วกันแน่”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset