หลังเริ่นเสี่ยวซู่แวะร้านทองไปสิบกว่าแห่ง เขาก็มีเงินสดในมือถึงสี่แสนสามหมื่นหยวน พูดตามตรง เงินที่ได้มาวันนี้เยอะกว่าที่เขาเคยมีมาตลอดสิบเจ็ดปีของชีวิตเสียอีก
เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกรวยขนาดนี้ เงินจำนวนนี้น่าจะเท่ากับเงินเก็บที่คนส่วนใหญ่ในป้อมปราการมี หรือไม่พวกเขาก็อาจจะไม่มีเท่าตนด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นพระราชวังก็กล่าว [ตรวจพบว่าร่างต้นมีเงินเกินเงื่อนไขในการปลดล็อกสิทธิ์ช่องเก็บของขั้นต่อไป ต้องการปลดล็อกเลยหรือไม่]
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ตอนอยู่เขาจิ้งซานเขาปลดล็อกสิทธิ์ช่องเก็บของไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาใช้เงินสองหมื่นหยวนแลกช่องเก็บของขนาดหนึ่งตารางเมตร
ตอนก่อนนู้นเริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วว่าช่องเก็บของสามารถปลดล็อกเพิ่มได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่าขั้นต่อไปนั้นต้องใช้เงินเท่าไร จึงได้แต่รอจนพระราชวังแจ้งเตือนมา
และแล้วมันก็มาถึง
ไม่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะรักเงินมากแค่ไหน เขาก็ยังเข้าใจดีว่าการมีช่องเก็บของมากขึ้นนั้นสำคัญกว่ามีเงินมากขึ้น
แถมพวกเขาคิดจะหลบหนีออกจากป้อมปราการอยู่แล้ว ถ้าเขามีช่องเก็บของเพิ่ม เขาก็สามารถเติมเสบียงและน้ำสะอาดได้มากกว่าเดิม ถ้าเขาได้บังเอิญเจอซากเมืองเก่าอีก เขาค่อยไปหาทองเพิ่มที่นั่นเอาก็ได้
แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดไม่ออกคือทำไมพระราชวังถึงรับเงินทุกสกุลเลย จะใช้เงินของสมาคมตระกูลชิ่งหรือตระกูลหลี่ก็ได้หมด แต่ก็นะ พระราชวังอย่างเอ็งเอาเงินไปทำอะไรฟะ!
“บอกหน่อยได้ไหมว่าเอาเงินไปทำอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ถามในใจ
เสียงจากพระราชวังตอบ [ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล]
“นายแค่อิจฉาที่ฉันมีเงินมากสินะ” เริ่นถามต่อ
พระราชวังตอบ […ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล]
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ยอมแพ้ “รับเงินกงเต็กไหมอะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก…
“เหอๆ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่พอใจ “เงินที่ธนาคารใต้พิภพออกไม่ถือว่าเป็นเงินเหรอ นายดูหมิ่นโลกเบื้องล่างงั้นสินะ”
ในใจเขาคิดว่าถ้าพระราชวังรับเงินกงเต็ก ป่านนี้เขาคงได้ช่องเก็บของขั้นสูงสุดไปแล้ว
น่าเสียดายจัง…
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รอช้า รีบพูดในใจว่า “ปลดล็อก!”
วินาทีต่อมา เขาก็เห็นว่าช่องเก็บของขนาดหนึ่งตารางเมตรตรงกำแพงนั้นขยายขนาด จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าเงินของตนจากสี่แสนสามหมื่นหยวนเหลือเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน!
เดี๋ยวก่อนนะ! เริ่นเสี่ยวซู่ตกตะลึง ทำไมเงินหายหวบไปเลยล่ะ
เขาสำรวจช่องเก็บของแล้วก็คำนวณคร่าวๆ ได้ว่าขนาดเพิ่มขึ้นอีกสิบห้าเท่า
หลังจากคำนวณในใจเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พอรู้แล้วว่าขนาดช่องเก็บของกับจำนวนเงินนั้นเท่ากันตลอด
ปลดล็อกหนึ่งตารางเมตรเท่ากับเงินสองหมื่นหยวน
ปลดล็อกสองตารางเมตรเท่ากับเงินสี่หมื่นหยวน
ปลดล็อกสี่ตารางเมตรเท่ากับเงินแปดหมื่นหยวน
ปลดล็อกแปดตารางเมตรเท่ากับเงินหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน
ดังนั้นคราวนี้เขาจึงจ่ายออกไปสองแสนแปดหมื่นหยวน ช่องเก็บของของเริ่นเสี่ยวซู่ก็เพิ่มเป็นขนาดสิบห้าตารางเมตร!
เริ่นเสี่ยวซู่เลียริมฝีมากอย่างพอใจ ไม่เลว!
ตอนนี้เขายังมีเงินเหลืออีกหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนกับตัว เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพอใช้ซื้อของสำหรับหนีได้!
…
รอบนี้พวกเขาเตรียมของสำหรับเดินทางอย่างพร้อมพรักจริงๆ แต่ถ้าอยากจะเอาตัวให้รอดในแดนรกร้าง คนเราต้องการอะไรบ้างล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าร้านขายของชำแล้วซื้อเกลือมาหลายสิบถุง นอกจากนี้ยังมีพวกน้ำตาล ฮาร์ดแทก และของจิปาถะอีกมากมาย พอเถ้าแก่ร้านเจอคนจ่ายหนักแบบนี้ก็ยิ้มแฉ่ง
เถ้าแก่ร้านยิ้ม “ซื้อเกลือ น้ำตาล แล้วอาหารไปเยอะแยะทำไมน่ะ คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อของพวกนี้หรอกนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “เตรียมตัวเสียหน่อยไม่เสียหายหรอก”
เถ้าแก่ร้านหัวเราะ “ไม่กี่ปีก่อนมีคนพูดเหมือนเธอเลย พวกเขาบอกว่าในป้อมปราการไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ต้องเตรียมสบงเสบียงให้พร้อม สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนของเน่าเสียหมด เธอก็เห็นว่าป้อมปราการอยู่เป็นปกติมาหลายสิบปีนี่”
“แค่เตรียมตัวไว้ก่อนเฉยๆ” เริ่นเสี่ยวซู่มองหน้าเถ้าแก่
“เจ้าหนู ฉันแนะนำแบบจริงจังเลยนะ อย่าซื้อของพวกนี้มากไปเลยดีกว่า” เถ้าแก่ร้านแนะ “ถ้ามันเสียตอนอยู่ที่บ้านหมดจะทำยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเถ้าแก่คนนี้ใจดีมากจริงๆ แทนที่จะสนับสนุนให้คนซื้อเพิ่ม เขากลับแนะนำว่าอย่าซื้อเลยดีกว่า จะเสียเอาได้ แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะบอกว่าอีกไม่กี่วันในป้อมปราการจะเกิดเรื่องก็ไม่ได้หรอกมั้ง คนไม่มีทางเชื่อหรอก
พอเถ้าแก่เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังยืนกรานอยู่เขาก็ยอมแพ้ หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่จ่ายเงินแล้วออกจากร้านไปแล้ว เถ้าแก่ก็คุยกับผู้ช่วยแกมหัวเราะว่า “ฉันว่าเจ้าหนูนั่นสมองกู่ไม่กลับแล้วล่ะ เดี๋ยวคอยดูนะ ซื้อของไปตุนที่บ้านเป็นสิบๆ ปีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกกับป้อมหรอก”
ภาพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ร้านขายของชำ ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ไปซื้อยาทีร้านขายยาก็เกิดภาพเดิม ผู้ดูแลร้านไม่เข้าใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะซื้อยาไปเยอะแยะทำไม
ยาที่เริ่นเสี่ยวซู่ซื้อล้วนเป็นยาจำเป็นสำหรับพวกตน ยาแก้อักเสบไม่ต้องซื้อแล้ว แต่ยาปฏิชีวนะอย่างบาวิรินต้องมีประโยชน์แน่ นอกจากนี้ยังมียาต้านเชื้อราอย่างคีโตโคนาโซลและยาแก้ท้องเสียอย่างไดออสเมกไทต์ที่ล้วนจำเป็นต่อการผจญในแดนรกร้าง
พวกยาแก้ท้องเสียนั้นสำคัญเป็นพิเศษ ถ้าไม่ดูอาหารที่เข้าปากให้ดี คุณอาจจะต้องถ่ายท้องวันละยี่สิบครั้งจนถึงแก่ชีวิตก็ได้
นอกจากนี้ยังต้องการอุปกรณ์อย่างค้อน เลื่อน พลั่ว คีม เชือก ถังพลาสติก กระดาษชำระ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่…
กระเป๋าอีกหลายใบ ไม้ขีดไฟอีกหลายกล่อง เข็มทิศหลายอัน และผ้าห่มหลายผืน
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เวลาทั้งวันซื้อของที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดในแดนรกร้าง ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในแดนรกร้างเลย คงนึกว่าต้องพกแค่พวกอาหาร น้ำ มีด และของจิปาถะธรรมดาๆ อื่นๆ แต่พอพวกเขาได้เข้าไปแดนรกร้างจริงๆ แล้ว ก็อาจจะตื่นตระหนกตกใจไปเลยก็ได้
แค่วันนี้วันเดียว เริ่นเสี่ยวซู่ที่ซื้อของมาปริมาณมหาศาลจนโดนคนเพ่งเล็งสุดๆ แต่เขาก็บอกเหตุผลที่ซื้อไปแล้วนี่
เขาไม่ได้กลับไปที่ร้านตัวเอง แต่ขึ้นรถรางตรงกลับบ้านล้อมสวนตรงตะวันตกที่สุดของป้อมปราการ เหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
ตอนที่นั่งบนรถรางอยู่นั้น เขาก็ได้ยินชายหนุ่มกำลังคุยเรื่องเทศกาลดนตรีเล็กๆ ที่จะจัดในอีกไม่กี่วัน จากที่เขาพูด เหมือนจะมีหนุ่มหล่อสาวสวยมาแสดงด้วย
มีคนกำลังซุบซิบเรื่องดารากัน พวกเขาคุยกันเรื่องดาราสาวที่ชื่อจือเหลียวชอบทำอาหาร หรือดาราสาวอีกคนที่ชื่อฟางอวี้จิ้งเคยเรียนวิชายาจีนมาก่อน
รถรางเคลื่อนไปท่ามกลางอาทิตย์อัสดง สำแสงสีเหลืองทองจากฟากฟ้าสาดส่องลงมาผ่านช่องว่างของหมู่เมฆ เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่เข้าพวกกับของอย่าง ‘เทศกาลดนตรี’ หรืออะไรพวกนั้นเลย
ความครึกครื้นและสงบสุขนั้นกำลังถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่สังเกตสิ่งรอบกาย เขารู้ดีว่าตัวทดลองกำลังมา และก็รู้ว่าองค์กรทรงอำนาจต่างๆ กำลังมาประกาศสงครามกับสมาคมตระกูลหลี่ภายในสามวัน เขาต้องเตรียมพร้อมให้ดี
พอถึงตอนนั้นทั่วทั้งป้อมปราการจะตกอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ตรม กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็มั่นใจว่าตัวเองจะช่วงชิงประโยชน์เหนือผู้อื่นได้
แต่พอคิดว่าจะมีคนต้องตายไปมากมายแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรยินดีเลย
อย่างไรโลกนี้ก็แปดเปื้อนไปด้วยสีแห่งความทุกข์อยู่แล้ว
พอเขามาถึงบ้านล้อมสวนที่เช่าไว้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็นิ่งอึ้งไป เจียงอู๋อยู่ที่นี้ด้วย
เหยียนลิ่วหยวนกระซิบบอกเริ่นเสี่ยวซู่ “ผมพาครูเจียงอู๋มาด้วย คนอื่นไม่เป็นไร แต่ยังไงเราก็ต้องเตือนครูเจียงกับนักเรียนของเธอหน่อยนะพี่”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ขยี้ผมเหยียนลิ่วหยวน “ทำถูกแล้วล่ะ”