the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 191 ดูสิว่าหม้อนี้มันทั้งกลมทั้งใหญ่ขนาดไหน

จริงๆ ชิ่งเจิ่นก็พูดไม่ผิด ถ้าพวกเขาอยากจะคุยเรื่องนี้กันต่อจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ่งเจิ่นหรือหยางเสียวจิ่นต่างก็โน้มน้าวอีกฝ่ายไม่ได้ทั้งนั้น ทั้งสองฝั่งมองมาจากคนละจุดยืน ไม่มีทางที่จะบอกได้ว่าใครผิดใครถูก อีกทั้ง ‘ถูก’ และ ‘ผิด’ นี้ล้วนเป็นคำตัดสินจากผู้อื่นด้วย

สำหรับเรื่องเทคโนโลยีนิวเคลียร์หรือนาโนโรโบติกส์นั่น เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่ามันผิดหรือถูกทั้งสิ้น มันอยู่ที่ว่าคนที่มีมันเอาไปใช้ทำอะไรมากกว่า

ขณะที่พวกเขากำลังเขม่นกันอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่พลันถามออกมาว่า “ขอถามหน่อย ไอ้เจ้านาโนแมชชีนนั่นมันวิเศษวิโสมากเลยเหรอ”

“ในอดีตก็ไม่หรอก” หลัวหลานอธิบายง่ายๆ “เมื่อก่อนก็ใช้แค่การรักษาอาการตีบของหลอดเลือดผ่านการป้อนโปรแกรมพื้นฐาน แต่ถ้าสามารถใช้เซลล์ประสาทในสมองสั่งการได้โดยตรงและนำมาใช้ในการทหารได้ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องเลย”

“ลองจินตนาการว่านาโนแมชชีนขนาดจิ๋วที่แข็งมากๆ สามารถกลายมาเป็นโครงกระดูกหรือกล้ามเนื้อของร่างกายดูสิ นอกจากนี้เซลล์ประสาทสามารถสั่งการได้ไม่ต่างจากที่นายควบคุมนิ้วตัวเอง พวกมันไม่ต้องการคำสั่งพิเศษอะไรอีก ขอแค่ใช้งานเหมือนกับที่นายใช้งานมือตัวเองก็พอ” หลัวหลานพูด

“ก็ดูเฉยๆ นะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า

“ช่างมันละกัน เอ็งฟังไม่เข้าหัวเลยนี่หว่า!” หลัวหลานหัวร้อน “คร้านจะคุยกับคนเรียนน้อยเฟ้ย”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พอใจ “สอบปลายภาคฉันได้คะแนนห้าร้อยหกสิบนะ จะเรียกฉันเรียนน้อยได้ไง นายสอบปลายภาคได้เท่าไรเชียว”

หลัวหลานอึกอัก “ฮ่าๆๆ เอาเรื่องนั้นมาพูดเพื่อ!”

หยางเสียวจิ่นเหลือบมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาเรียบเฉยและรู้สึกว่าเขาช่างหน้าหนาจริง กล้าหลอกตัวเองแบบนั้นได้เฉยเลย

ทันใดนั้นชิ่งเจิ่นก็หัวเราะแล้วพูด “ยังไงวันนี้พวกเราก็ถือว่าเป็นสหายร่วมรบกัน ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยให้อนาคตเป็นตัวตัดสินเถอะ ฮาร์ดไดรฟ์นั่นยังไงพวกเราก็ไม่ได้ใช้ เธอเอาไปอย่างสบายใจได้เลย”

หยางเสียวจิ่นโพล่งถาม “ตัวทดลองที่พวกนายจับได้ ผลการทดลองออกมาหรือยัง สรุปพวกมันคือตัวอะไรกันแน่”

ชิ่งเจิ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “พูดไปแล้วเธออาจจะไม่เชื่อ ในตัวเจ้าพวกนั้นมีแต่เซลล์มะเร็งเต็มไปหมด ไม่สิ เรียกให้ชัดเจนกว่านั้นคือพวกมันเต็มไปด้วยเซลล์มะเร็งที่อยู่ในสภาพสมดุลดีกว่า”

“ใครๆ ก็รู้ว่าเซลล์มะเร็งประกอบไปด้วยประชากรที่มีลักษณะเป็นวิวิธพันธ์[1] มีทั้งเซลล์ขนาดใหญ่ เซลล์ที่มีนิวเคลียสสองอัน หรือเซลล์หลายนิวเคลียส แต่ว่าเซลล์มะเร็งที่พบในตัวทดลอง พบแต่เฉพาะเซลล์ที่มีนิวเคลียสเดี่ยวเท่านั้น แถมพวกมันยังแยกทำงานเป็นสัดส่วนไม่ต่างไปจากเซลล์มนุษย์ธรรมดาเลย”

“ฉันเดาว่าบริษัทหัวจ่งคิดหาวิธีที่จะทำให้มนุษย์สามารถอยู่ได้เป็นอมตะ ในอดีตมีผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากเธอเสียชีวิต เซลล์มะเร็งของเธอถูกนำมาเพาะเลี้ยง ให้หลังเซลล์พวกนั้นก็ให้กำเนิดเซลล์มะเร็งอีกมากมายนับหมื่นรุ่นรู้จักกันในชื่อว่าเซลล์เฮลา[2]”

เริ่นเสี่ยวซู่ถามโพล่งขึ้นมา “พิสูจน์แล้วหรือนายเดามั่ว”

“อ้อ” ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “ฉันเดาเอาเองน่ะ ยังไงพวกเราก็ยังทำการศึกษาพวกตัวทดลองมาได้ไม่นานนัก อย่าเพิ่งคิดเป็นจริงเป็นจังแล้วกัน”

เริ่นเสี่ยวซู่คิด ถ้าแค่เดามั่วๆ เวลาเล่าก็อย่าทำเสียงมั่นอกมั่นใจขนาดนั้นได้ไหม

“เดี๋ยวนะ” หยางเสียวจิ่นคาดเดา “มนุษย์ที่ถูกเลือกให้ฉีดยานั่น คือมนุษย์ที่มีเซลล์มะเร็งอยู่หรือเปล่า”

ชิ่งเจิ่นพูด “คิดว่านะ ยังไงเซลล์มะเร็งก็เป็นเซลล์ที่กลายพันธุ์มาจากเซลล์ปกติ ถ้าอยากนิยาม จะเรียกว่าการพัฒนาการที่ไม่อาจควบคุมได้ก็ได้มั้ง แต่ฉันคิดว่าการพัฒนาการแบบนั้นเป็นผลิตผลชั้นรอง”

วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่เจอข้อคาดการณ์เสียเยอะเลย แถมข้อคาดการณ์บางอย่างเขาฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ พริบตานั้นเริ่นเสี่ยวซู่เกิดอิจฉาคนที่เข้าเรียนแบบครบหลักสูตรอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ คนพวกนี้คือพวกที่เข้าใจว่าโลกก่อนหน้าเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง

“แยกกันตรงนี้เถอะ” ชิ่งเจิ่นยิ้มพร้อมเอ่ย “จะว่าไปฉันก็กำลังอยู่ในช่วงถูกคุมขังในบ้านล่ะนะ”

“นายไม่กลัวอันตรายที่พวกมันจะนำมาเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

ชิ่งเจิ่นก้าวขึ้นไปบนรถหุ้มเกราะ โบกไม้โบกมือ “พวกมันยังไม่พอทำให้ฉันกังวลหรอก มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่เห็นว่าพวกมันน่ากลัว”

เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองหยางเสียวจิ่นแวบหนึ่ง ถึงว่าทำไมเธอถึงอยากใช้ปืนยิงเจ้านี่นักนะ คนขี้โม้ขนาดนี้ไม่ยิงเสียสักนัดคงน่าเสียดายแย่

แต่จู่ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสมาคมตระกูลชิ่งจากศัตรูกลายมาเป็นอะไรไม่แน่ชัดเสียได้ แต่อย่างน้อยตอนเจอหน้าหลัวหลานครั้งหน้า พวกเขาก็ไม่ต้องสู้ตัดสินแพ้ชนะกันทันที

ว่ากันตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับสมาคมตระกูลชิ่งนักหรอก เขาก็แค่ผู้มีพลังพิเศษธรรมดาที่อยากเอาตัวรอดในแดนรกร้างหลังยุคภัยพิบัติ

เริ่นเสี่ยวซู่ดูรถหุ้มเกราะขับออกไป จากนั้นเขาก็เรียกร่างแยกเงามาแบกเขากับหยางเสียวจิ่นขึ้นไหล่และเริ่มออกตัววิ่ง ตัวทดลองล่าถอยไปเพราะกลัวพลังปืนของรถหุ้มเกราะ ตอนนี้รถไปหมดแล้ว พวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็ต้องหนีเช่นกัน

“เธอมีแผนจะทำอะไรต่อ” เริ่นเสี่ยวซู่ถามขณะกระเด็นกระดอนอยู่บนไหล่ของร่างแยกเงา

“ฉันจะกลับไปป้อมปราการ 88” หยางเสียวจิ่นว่า

“ป้อมปราการ 88? น่าจะไกลมาเลยนะนั่น” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ เลขป้อมปราการมันห่างเกินไป

“ก็ไม่ค่อยไกลเท่าไร” หยางเสียวจิ่นพูด “ห่างไปสองป้อมเอง”

“ฮะ? แล้วทำไมเลขมันห่างจัง” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย

“เมื่อก่อนมันเรียกว่าป้อม 101” หยางเสียวจิ่นตอบ “แต่ทางสมาคมคิดว่าเรียกป้อมปราการ 88 น่าจะเป็นมงคล[3]กว่าเลยเปลี่ยนชื่อน่ะ ส่วนป้อม 88 ก่อนหน้าก็ถูกเปลี่ยนเป็นป้อม 101”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ แบบนั้นก็ได้เหรอ นั่นมันงมงายล้าสมัยไปหน่อยไหม

“แล้วนายล่ะ มีแผนจะทำอะไรต่อ” หยางเสียวจิ่นถาม

“ต้องไปหาพวกเหยียนลิ่วหยวนก่อน ฉันบอกให้พวกเขาขึ้นเหนือ”

ตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว พวกเขาคนหนึ่งอยู่บนไหล่ซ้ายของร่างแยกเงา คนหนึ่งอยู่บนไหล่ขวาของมัน แต่ก็คุยกันไปโดยไม่สนใจอะไรมากมาย ปล่อยให้ร่างแยกวิ่งไป ภาพป้อมปราการที่พังทลายอันน่าขนลุกห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าในอนาคตมีคนมาเยือน คงไม่ทันนึกคิดว่าที่นี่เคยมีความรุ่งเรืองนัก

ขณะเดียวกันสูเสี่ยนฉู่กำลังตะลุยไปในแดนรกร้าง เขาอยู่ไกลออกมาจากอาณาเขตที่สมาคมตระกูลชิ่งควบคุมอยู่มากแล้ว เขาไม่กลัวว่าพวกนั้นจะเข้ามาจัดการเขาอีก

เมื่อวานเขาผ่านเมืองของสมาคมตระกูลจงไป เขาถึงกับใช้เงินที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้มาซื้อเสบียงมาจำนวนหนึ่ง พูดตามตรง เงินสกุลสมาคมตระกูลชิ่งมีค่าที่นี่ไม่น้อย เพียงแค่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดการนิดหน่อย ก็ไม่กลัวว่าเงินจะไม่เป็นที่ยอมรับแล้ว

ในยุคสมัยนี้ คนที่มักเดินทางไปตามป้อมปราการต่างๆ ต้องถือครองเงินหลายสกุลไว้ใช้งาน ซึ่งไม่สะดวกเอามากๆ

ยิ่งสูเสี่ยนฉู่ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไกลขึ้น สภาพทิวทัศน์ก็ยิ่งดูเวิ้งว้าง บางครั้งมีลมพัดมา ทำเอาฝุ่นดินเหลืองม้วนตลบ

ทันใดนั้นเองสูเสี่ยนฉู่ก็ชะงักเท้า ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งเร่งเครื่องจักรยานยนต์มาหาเขา สูเสี่ยนฉู่ที่สัมผัสได้ถึงอันตรายพลันเรียกร่างแยกเงาออกมาทันที

ตอนที่เดินทางขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ เขาก็สงสัยอยู่แล้วว่าพวกผู้อพยพในเมืองของสมาคมตระกูลชิ่งนั้นอาจจะเป็นโจรกลุ่มหนึ่ง

แต่พริบตาที่เขาเรียกร่างแยกเงาออกมา เขาก็ต้องตะลึงไป ไม่รู้ทำไมตรงหน้าเขาถึงมีหม้อใบเบ้อเริ่มโผล่มาตรงหน้าเขาก่อนร่างแยกเงา

กลุ่มคนที่เข้ามาเริ่มเปิดยิงใส่สูเสี่ยนฉู่แต่ไกล แต่ว่ากระสุนก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยให้หม้อสีดำใบโตได้สักนิด!

สูเสี่ยนฉู่มีความสุขสุดๆ พลังพิเศษของเขาพัฒนาไปอีกขั้นแล้วเหรอ

ส่วนเจ้าพวกโจรนั่นน่ะ มีหรือที่ผู้มีพลังพิเศษเช่นเขาจะหวาดกลัว สูเสี่ยนฉู่แสยะยิ้ม ต้องหาคนมาลองพลังใหม่เสียหน่อยแล้ว!

[1] วิวิธพันธ์ (heterogeneous) หมายถึงว่าแม้จะเป็นมะเร็งเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในแง่ของการพยากรณ์โรคและการตอบสนองของผู้ป่วย (ปัญจรัก, 2558) ถึงแม้ว่าเซลล์มะเร็งจะมีต้นกำเนิดมาจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว แต่ระหว่างที่เซลล์มีการเพิ่มจำนวน(แบ่งเซลล์) จะมีการผ่าเหล่า (mutation) ทำให้เกิดเซลล์บางส่วนที่มีความแตกต่างไปจากเดิม (ข้อมูลจาก เพจ ภูมิคุ้มกันบำบัด มะเร็ง)

[2] เซลล์เฮลา (HeLa cells) เป็นเซลล์มนุษย์ที่เป็นอมตะกลุ่มแรก มาจากสายเซลล์ตัวอย่างของเซลล์มะเร็งปากมดลูกของสตรีชาวแอฟริกัน – อเมริกันนามเฮนเรียตตา แล็กส์ (Henrietta Lacks) ในปี ค.ศ. 1951 (greelane, 2018)

[3] เลข 8 八 อ่านว่า ปา เสียงมีความคล้ายกับ 發ฟา ที่แปลว่าร่ำรวย เลข 8 จึงเป็นเลขมงคลที่สื่อถึงความร่ำรวยในความเชื่อจีน

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset