the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 194 จื่อเสีย

เหยียนลิ่วหยวนมองสำรับไพ่ในมือของหวังฟู่กุ้ย ก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอยู่ในมือพี่ ไพ่พวกนี้คงเป็นระเบิดแหละ แต่อยู่ในมือลุงคงเล่นได้แค่ไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด”

หวังต้าหลงที่อยู่ด้างข้างพูด “พวกเราเล่นไพ่จ๋าจินฮวา[1]แทนไม่ได้เหรอ”

เหยียนลิ่วหยวนนิ่งไปพักหนึ่ง “เล่นได้สิ”

หวังฟู่กุ้ยคงยังโดน ‘สามแต้ม’ สี่ใบของเริ่นเสี่ยวซู่ทำประหลาดใจไม่หายถึงยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีก พอเขาเห็นสำรับไพ่ที่คนทำหล่นไว้ถึงได้ยิ้มหน้าแป้นขึ้นมา สำหรับเขามันแทบไม่ต่างไปจากกระสุนปืน แต่พอเหยียนลิ่วหยวนบอกหวังฟู่กุ้ยใช้ไม่ได้หรอกเขาก็เบะปากและพูด “งั้นเก็บไว้ให้เริ่นเสี่ยวซู่ล่ะกัน”

เหยียนลิ่วหยวนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไพ่ของเริ่นเสี่ยวซู่มองผ่านๆ อาจจะคล้ายไพ่ธรรมดา แต่ว่าความจริงนั้นเสกออกมาจากพลังพิเศษต่างหาก

ขณะที่ผู้หลบหนีคนอื่นๆ กำลังอยู่ในสภาพน่าอดสู พวกเหยียนลิ่วหยวนกลับคุยกันอย่างเผ็ดร้อนเรื่องการเล่นไพ่ ตอนนี้พวกเขาแทบพร้อมจะตั้งวงไพ่พิชิตแลนลอร์ดได้ตลอดเวลาด้วยซ้ำ

เตรียมตัวมาพร้อมพรักกับไม่ได้เตรียมตัวเลยช่างมีความห่างชั้นกันอย่างแท้จริง ถึงนอกแดนรกร้างจะหนาวเย็น แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดีก็ยากจะทานรับอยู่ดี ทว่าผู้คนนิยมชมชอบเปรียบเทียบกับผู้อื่น พอเห็นว่าคนอื่นอยู่ในสภาพน่าสังเวชแล้ว ตนเองก็ไม่รู้สึกว่าย่ำแย่อะไรนักอีก

เฉินอู๋ตี๋ทำปากขมุบขมิบอยู่ด้านข้าง “อาจารย์จะถูกเจ้าแคว้นอิตถีจับไป พวกเจ้าไม่ห่วงอาจารย์บ้างเลยหรือ!”

หวังฟู่กุ้ยหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า อาจารย์ไม่ทิ้งเราหรอก”

“จริงอะ?” เฉินอู๋ตี๋ตาทอประกาย

“แน่นอน!” หวังฟู่กุ้ยยิ้ม

เฉินอู๋ตี๋พูด “เช่นนั้นเล่นไพ่จ๋าจินฮวากัน ข้าเล่นเก่งมากขอบอก”

ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาในฝูงคน เฉินอู๋ตี๋ยืนขึ้นหันมอง ก่อนจะเห็นชายผู้หนึ่งพยายามแย่งผ้าพันคอจากหญิงร่างอวบ

หิมะทำพื้นขาวโพลน ชายผู้นั้นคงทนหนาวไม่ไหวเพราะตัวเองใส่เพียงชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิ แต่เขาไม่กล้าไปแย่งชุดของผู้ชายคนอื่น เลยได้แต่แย่งชิงกับสตรีเพศ เสื้อผ้าผู้หญิงเขาใส่ไม่ได้ แต่ผ้าพันคออีกเรื่อง

ยากนึกภาพนักว่าถ้าคนเราตกอยู่ในสภาพหลังชนฝาจะน่ารังเกียจได้ขนาดไหน ชายผู้หนึ่งยอมใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตสืบไป

แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการหนีเท่านั้น ผู้อพยพอย่างเหยียนลิ่วหยวน เสี่ยวอวี้ และคนอื่นๆ รู้ดีว่าฝูงคนหลบหนีพวกนี้มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ

ในการหนีรอบล่าสุด อากาศยังไม่หนาวเหน็บขนาดนี้ สันดานของมนุษย์จึงยังไม่สิ้นหวังถึงขีดสุด รอบนั้นอาหารก็ไม่ได้ขาดแคลนมากด้วยเพราะเจอทุ่งที่อุดดมไปด้วยมันเทศพอดี

แต่ครั้งนี้ยากลำบากนัก ด้านชั่วร้ายของมนุษย์แยกเขี้ยวปรากฏกาย

เฉินอู๋ตี๋รุดตัวขึ้นและพุ่งออกไป “ปล่อยมือจากนาง!”

ชายผู้นั้นหันมามองเฉินอู๋ตี๋ “อย่าเสื*ก!”

เฉินอู๋ตี๋หัวเราะ “ข้าคือฉีเทียนต้าเซิ่งกลับชาติมาเกิด จำต้องยุ่งเรื่องความอยุติธรรมในใต้หล้า ถ้าเจ้ายังไม่ปล่อยมือ จะโทษหมัดสังหารข้ามิได้!”

เหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ มองเรื่องวุ่นวายนี้อย่างเงียบงัน พวกเขารู้นิสัยของเฉินอู๋ตี๋กันหมดแล้ว ตอนแรกทุกคนนึกว่าเฉินอู๋ตี๋แสดงละครเฉยๆ แต่ให้หลังพวกเขาถึงได้รู้ว่าเขาแค่หลงว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้กล้าเฉยๆ

ที่จริงตอนเด็กเหยียนลิ่วหยวนเคยตามเริ่นเสี่ยวซู่ไปฟังนักเล่านิทานที่ร้านเหล้ามาก่อน เขาเองก็เคยจินตการภาพตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้กล้า แต่ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่บอกเขาว่าโลกนี้นอกจากไม่เชื่อในน้ำตาแล้ว โลกนี้ยังไม่เชื่อในวีรบุรุษผู้กล้าด้วย

ยามนั้นเขานึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่พูดโกหก ในใจเขาประทับใจในเรื่องเล่ามาก เริ่นเสี่ยวซู่เองก็คงมีความฝันจะเป็นวีรบุรุษเหมือนกัน แต่เขาต้องสะกดความคิดนั้นไว้

ถ้าการสูญเสียพลังกายภาพคือราคาที่จ่ายไปแลกสติปัญญาฉันใด ความฝันคือสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องจ่ายแลกการเอาชีวิตรอดฉันนั้น

แต่เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่เลือกช่วยเจียงอู๋และรับเฉินอู๋ตี๋เข้ามาตอนหลบหนี เป็นเพราะเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ละทิ้งความฝันการเป็นวีรบุรุษผู้ออกไปอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้ชายที่แย่งชิงผ้าพันคอผู้หญิงส่งหมัดใส่เฉินอู๋ตี๋ แต่เฉินอู๋ตี๋ไม่หลบ ปล่อยให้หมัดกระแทกหน้าอย่างนั้น เกิดเสียงดังแกร๊ก กระดูกข้อมือของชายผู้นั้นคงหักแล้ว ส่วนเฉินอู๋ตี๋นั้นไม่สะเทือนเลย

เหยียนลิ่วหยวนตะโกน “อย่าฆ่าเขาล่ะ”

เฉินอู๋ตี๋พูด “ได้!”

จากนั้นเฉินอู๋ตี๋ต่อยไปที่ท้องของชายผู้นั้นเบาๆ เขาค่อยๆ ล้มตัวลงกับพื้น ร่างกายชาไปหมด

เฉินอู๋ตี๋พูด “บทเรียนเล็กๆ นี่จะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ ด้วย”

หญิงที่ถูกแย่งผ้าพันคอไปลุกขึ้นไปเก็บของมา จากนั้นก็รีบมาหาเฉินอู๋ตี๋ “ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เฉินอู๋ตี๋เตรียมหันหลังจากไป

แต่หญิงคนนั้นพลันทำท่าอยากสนิทชิดเชื้อกับเฉินอู๋ตี๋ เธอพูด “ดูเหมือนว่าพวกเราถูกลิขิตให้มาพบกัน!”

ในแดนรกร้าง มีผู้อื่นคอยช่วยเหลือย่อมเพิ่มโอกาสมีชีวิตรอดอย่างมาก เฉินอู๋ตี๋กับพรรคพวกที่ขี่จักรยานนั้นเด่นมาก ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาเตรียมตัวหลบหนีมาอย่างดี ทั้งพรักพร้อมด้วยอาหาร หญิงผู้นี้จึงคิดจะแอบอิงเฉินอู๋ตี๋

เฉินอู๋ตี๋หันขวับ “หืม ลิขิตอะไร”

เธอทัดผมอย่างเหนียมอาย “คุณคือฉีเทียนต้าเซิ่งไม่ใช่เหรอ ฉันชื่อจื่อเสีย[2] จ้าวจื่อเสีย!”

เฉินอู๋ดั่งถูกอสุนีบาตฟาดใส่ “เจ้าคือจื่อเสีย? แต่อายุอานามดูหาใช่ไม่!”

จ้าวจื่อเสียพูดแกมขำขัน “ฉันคงเกิดก่อนคุณไม่กี่ปีแหละ…”

เฉินอู๋ตี๋ดูหน้าซีดนิดหน่อย นี่เรียกไม่กี่ปี? เรียกว่าอย่างน้อยสิบปีดีกว่ากระมัง ใจร้อนรีบเกิดไปหน่อยนะ! แต่เฉินอู๋ตี๋ก็สงบอารมณ์ลงได้ “พี่สาว ข้าขออภัยด้วย แต่ข้าไม่ใช่ฉีเทียนต้าเซิ่งฉบับเดียวกับของท่าน”

เหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงกองไฟหัวเราะออกมาอย่างโง่งม พอเฉินอู๋ตี๋กลับมา ทุกคนก็กระหน่ำล้อเลียนเขาทันที ก่อนหน้านี้เฉินอู๋ตี๋ยังบอกว่ากำลังตามหาเทพธิดาจื่อเสียอยู่เลย ไฉนพอเจอแล้วถึงเปลี่ยนฉบับฉีเทียนต้าเซิ่งของตัวเองเฉยเลยล่ะ แถมเขายังปรับฉีเทียนต้าซิ่งเป็นเรื่องเล่าเฉบับไหนก็ได้ด้วยน่ะนะ นี่คงเป็นการทิ้งทางหนีสุดท้ายของเฉินอู๋ตี้แล้วแหละมั้ง

ตอนแรกเหยียนลิ่วหยวนกับเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าจื่อเสียน่าจะเป็นเคราะห์กรรมเก่าอะไรแบบนี้ที่เฉินอู๋ตี๋คิดขึ้นมาเอง ตอนนี้จื่อเสียปรากฏกายแล้ว เธอช่วยให้เฉินอู๋ตี๋ตัดกิเลสทางโลกไปอย่างสิ้นเชิง

ตอนนั้นเองเหยียนลิ่วหยวนก็เห็นคนผู้หนึ่งค่อยๆ มุ่งผ่านหิมะเข้ามาหา เหล่าผู้หลบหนีหันคุยกัน ไม่คิดเลยว่ายามนี้จะมีคนรุดมาจากทางป้อมปราการ 109

แต่ก่อนที่ทุกคนจะทันตั้งตัว เฉินอู๋ตี๋และคนอื่นๆ ก็ผุดลุกขึ้น เหยียนลิ่วหยวนโบกไม้โบกมืออย่างตื่นเต้น ตะโกนว่า “พี่! อยู่นี่ๆ!”

ถึงเหยียนลิ่วหยวนจะรู้ดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งก็ทำให้โล่งใจมากอยู่ดี ถ้าไม่มีเริ่นเสี่ยวซู่ เขาคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นปกติสุขเช่นนี้หรอก

[1] ไพ่จ๋าจินฮวา (炸金花) แปลตรงตัวว่าระเบิดดอกไม้สีทอง เป็นเกมไพ่โป๊กเกอร์ชนิดหนึ่ง บนมือจะมีไพ่สามใบ

[2] จื่อเสีย (紫霞) หรือเทพธิดาจื่อเสีย เป็นตัวละครในภาพยนตร์ฮ่องกงแนวแฟนตาซี-คอมเมดี้ที่ดัดแปลงจากเรื่องไซอิ๋วในปี 1995

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset