the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 201 เหล่าผู้หลบหนีตั้งก๊กตั้งเหล่า

หิมะตกลงในตอนเย็น

สายตามองเห็นแต่หิมะขาวโพลน ราวกับพวกเขาหลุดมาในอีกโลกหนึ่ง

หนูนาตัวโตคลานออกจากพื้นและตะกุยหิมะหาอาหาร มันได้กลิ่นธัญพืชตอนอยู่ในโพรง ช่วงฤดูหนาว ขนสัตว์จะดกขึ้น หนูนาจึงไม่ต่างจากลูกบอลขนฟูเลย

ทว่าก่อนที่มันจะได้ไปไกลจากโพรง เริ่นเสี่ยวซู่ที่ซ่อนอยู่ในหิมะข้างหลังก็กระโจนออกไป เขานอนนิ่งให้หิมะตกมานานจนหิมะทับถมปิดร่างและกลิ่นอายเขาเอาไว้

หนูนาตัวอวบอ้วนตกใจจนขนพอง แต่ก็สายไปแล้วที่จะหันหนีกลับโพรง

ในยุคสมัยนี้หนูนาในแดนรกร้างรวดเร็วมาก ไม่มีทางที่คนทั่วไปจะจับได้ แต่กระนั้นคมมีดก็เสียบร่างมันราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะเคลื่อนตัวไปทางไหน เจ้าหนูนาตายคาที่ระหว่างกลับหนีเข้าโพรง

เสียงโห่ร้องดังมาจากไกลๆ เจียงอู๋และนักเรียนของเธอกำลังถูมือตัวเองด้วยความหนาวและร้องยินดี เย็นนี้พวกเขามีเนื้อกินอีกแล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่เดินจับขาหนูนาห้อยไปหาพวกเขา “จะล่าในแดนรกร้างต้องมีความอดทน สัตว์ป่านับวันยิ่งมีแต่จะฉลาดขึ้น แค่วางเหยื่อล่อข้างนอกไม่พอหรอก ถ้าไม่อดทนกว่าพวกมัน ก็จะไม่มีอะไรให้กิน”

หิมะเพิ่งหยุดลง แต่เริ่นเสี่ยวซู่อยู่ในหิมะมาหลายชั่วโมงแล้ว ถึงเขากับเฉินอู๋ตี๋จะออกไปล่าหมูป่าเองก็ได้ แต่วิธีนั้นไม่เหมาะจะใช้สอนพวกนักเรียน

และจุดประสงค์หลักที่สอนพวกเขาก็คือ…เหรียญคำขอบคุณ

เริ่นเสี่ยวซู่แบ่งปันประสบการณ์เสร็จ พวกนักเรียนก็ขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม เพียงแค่วันเดียว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้รับเหรียญคำขอบคุณมาสี่ร้อยกว่าเหรียญจากความเคารพนับถือที่พวกเขามีต่อตนแล้ว

ตั้งแต่ได้ภารกิจรองมา เขาก็พยายามสุดตัวจะหาเหรียญคำขอบคุณมาให้มากที่สุด และแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้พบว่าพวกนักเรียนนี่แหละหนาที่หลอกล่อง่ายสุดแล้ว

ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าการที่เจียงอู๋พานักเรียนมาเยอะขนาดนี้มีแต่จะทำให้ความเร็วในเดินทางล่าช้า แต่ตอนนี้เขาเพียงนึกว่าเธอเอานักเรียนมาน้อยเกินไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เหรียญคำขอบคุณไวกว่านี้อีก

เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ สอนพวกนักเรียนล่าสัตว์ สร้างกับดัก และการหารังกระรอกทุกวัน ช่วงลี้ภัยเช่นนี้ทุกคนรับประทานอาหารอย่างเต็มที่ ใบหน้าดูแดงระเรืออิ่มเอิบมาก

ตอนที่กลับมาถึงแคมป์ ก็เอ่ยว่า “ถ้าเจอรังกระรอกช่วงหน้าหนาวได้ล่ะก็ถือว่าเจอของดีแล้วล่ะ ในนั้นมีอาหารทุกอย่างที่พวกกระรอกจะเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับฤดูหนาว พอจะให้คนกินได้หลายวันเลยทีเดียว แถมยังไม่ต้องกลัวพวกพิษด้วยเพราะเป็นอาหารที่กระรอกกินจริงๆ”

นักเรียนคนหนึ่งว่า “ถ้าพวกเราฉกอาหารกระรอกมาหมด แล้วพวกมันจะอยู่รอดตลอดหน้าหนาวยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ปลอบ “ถ้ากินกระรอกไปด้วย พวกมันก็ไม่ต้องเอาตัวรอดตลอดหน้าหนาวแล้วไง”

เจียงอู๋ที่เยื้องย่างตามหลังพวกนักเรียนมาได้ยินคำสอนจากเริ่นเสี่ยวซู่แบบนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ที่แคมป์ เหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ ตั้งกองไฟเรียบร้อย ขณะเดียวกันพวกนักเรียนก็ขนฟืนเข้ามา ถ้าไฟถูกจุดได้อย่างยาวนาน พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวหนาวคืนนี้แล้ว

ผู้หลบหนีกลุ่มใหญ่อีกพวกก็ตั้งแคมป์กันอยู่ไม่ไกล ตอนนี้กลุ่มผู้หลบหนีตามติดพวกเริ่นเสี่ยวซู่ตลอด แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้นัก แต่ถ้าเทียบกับจำนวนเริ่มต้นตอนหนีมาจากป้อมปราการแล้ว ตอนนี้มีไม่ถึงครึ่งที่ตามกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่มาได้

เสี่ยวอวี้รับหนูนาจากเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นก็เตรียมเนื้อหนูนาอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากนั้นก็ใช้หิมะชะล้างเลือดที่ติดตามมือ

เหยียนลิ่วหยวนกระซิบให้เริ่นเสี่ยวซู่ฟัง “พวกผู้ลี้ภัยตั้งก๊กตั้งเหล่ากันแล้ว วันนี้ผมเห็นว่ามีบางคนคอยสั่งคนอื่นๆ ทำงาน ส่วนตัวเองได้ผลประโยชน์ไปเฉยๆ”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ส่งเสียงในลำคอ เขานั่งอยู่ขอบสุดของกองไฟ ใช้ไม้เขี่ยไฟให้ลุกโชนกว่าเดิม เขาโยนเปลือกสนเข้าไปในกองไฟจนได้ยินเสียงปริแตก “ช่างหัวพวกเขาไป เรื่องพวกนี้มันเลี่ยงไม่ได้หรอก ตอนแรกที่หนีทุกคนมีแต่จะวิ่งกัน แต่ไม่นานคนที่มีปัญญามากกว่าและคนที่ดุร้ายมากกว่าก็จะเริ่มใช้งานผู้อื่น สันดานของมนุษย์ก็แบบนี้แหละ”

“เมื่อก่อนพวกเขาใช้ชีวิตในป้อมปราการด้วยการเชื่อฟังกฎเกณฑ์และทำงานประจำวันไป ไหนยังจะมีเรื่องบันเทิงมากมายให้ต้องใช้จ่าย ถึงพวกเขาจะทำงาน แต่ก็ไม่อาจเก็บเงินได้มากนัก ชีวิตมีแต่เวียนวนทุกวันไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น” เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “แต่พอออกมาอยู่ในแดนรกร้างแล้ว พวกเขาก็ได้รู้ว่าโลกที่แท้จริงเป็นอย่างไร”

จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจ “ป้อมปราการพวกนั้นเป็นโลกที่องค์กรต่างๆ ออกแบบมาเพื่อให้ชาวป้อมปราการอยู่จริงๆ”

ทันใดนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นในหมู่ผู้หลบหนี เริ่นเสี่ยวซู่หันไปดู แล้วก็ต้องแปลกใจว่ามีชายจำนวนหนึ่งพยายามตามจับคนผู้หนึ่งอยู่

ผู้หลบหนีคนนั้นสะบัดตัวออกจากการจับกุมและหนีมาหาเริ่นเสี่ยวซู่

“พี่ เอาไงดี” เหยียนลิ่วหยวนถาม

“ดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน” เริ่นเสี่ยวซู่หยิบเนื้อหนูนาขึ้นมาย่าง

ชายกลุ่มนั้นวิ่งตามคนคนนั้น ทว่ามาได้ครึ่งทาง ก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่นั่งข้างกองไฟจึงชะงักฝีเท้า

ผู้หลบหนีปกปิดตัวเองอย่างดี ถึงกลุ่มข้างหลังเธอจะหยุดฝีเท้าแล้ว เธอก็ยังจะวิ่งต่อและสะดุดล้มลงบนพื้นหิมะไม่ไกลจากกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นเธอก็นิ่งไป

ผู้หลบหนีคนนั้นคิดว่ากลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่คงโดนความโกลาหลทำให้ระวังตัวขึ้นมา ทั้งคงมีคนเข้ามาช่วยเธอสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่า เธอนอนนิ่งบนพื้นเป็นชั่วโมง

หลังผ่านไปพักใหญ่ เฉินอู๋ตี๋ที่นั่งอยู่แถวกองไฟก็อดพูดไม่ได้ว่า “อาจารย์ ตรงนั้นมีคน”

“ไม่ต้องห่วง เธอแค่ง่วงน่ะ ปล่อยให้เธอนอนไป อย่าไปรบกวนเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม ผู้อื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขาสัมผัสได้ว่าคนที่นอนบนพื้นผู้นั้นมีจังหวะหายใจไม่ปกติ

ถ้าสลบไปแล้วไม่มีทางหายใจแบบนั้น อีกทั้งท่านอนไม่ค่อยสบายเท่าไร เธอถึงกับลอบขยับตัวเปลี่ยนท่าด้วยซ้ำ

สุดท้ายผู้ที่นอนอยู่บนพื้นหิมะก็ลุกขึ้น เธอทำท่าเหมือนกับตัวเองเพิ่งได้สติ ถอดผ้าพันคอออกเผยให้เห็นใบหน้างดงาม เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “เป็นผู้หญิง”

หญิงผู้นั้นมองเริ่นเสี่ยวซู่กับพรรคพวกตาใส “เอ้า ฉันสลบไปได้ยังไงกัน สวัสดี ฉันชื่อฟางอวี้จิ้ง”

เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมอง “ได้สติแล้วก็กลับไป”

เขาไม่สนใจคนเจ้าเล่ห์แบบเธอหรอก ถึงจะสวย แต่ก็ไม่ได้สวยที่สุดที่เขาเคยเจอเสียหน่อย

“พวกคุณไม่รู้เหรอว่าฉันคือใคร” ฟางอวี้จิ้งนิ่งไป

ทุกคนในกลุ่มเริ่นเสี่ยวซู่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก จ้องหน้าคนอื่นๆ รอบกองไฟ เริ่นเสี่ยวซู่ “พูดไปเธออาจไม่เชื่อ แต่พวกเราไม่รู้ถ้าเธอคือใครจริงๆ…”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset