the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 222 ยอมตายดีกว่ายอมรับผิด

ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางเนินเขาแบบนี้ คนอื่นๆ ก็นั่งไม่ติดที่แล้ว พวกเขาวิ่งไปสุดป้อมสังเกตการณ์และก้มลงมองผ่านเนิน โดยที่หูชัวยังคนนั่งกินเนื้ออย่างสบายอุรา เขาถามขึ้น “รีบกลับมาอย่างงี้ ขนพวกเครื่องปรุงรสและของอื่นๆ มาพร้อมหรือเปล่า ถึงเนื้อสัตว์ป่าจะอร่อยมากก็เถอะ แต่ทาเกลือก็เค็มเกิน พวกเราต้องหาเครื่องปรุงแจ่มๆ แบบอื่นมาใช้บ้าง!”

เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้าเขา “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พวกเราซื้อทุกอย่างมาพร้อมแล้ว”

รอบนี้หลี่ชิงเจิ้งทำข้อตกลงกับเหล่าหวังได้ผลสำเร็จมาไม่น้อย นอกจากเอาเกลือกลับมาพอใช้หมักเนื้อที่เหลือแล้ว เขายังเอาน้ำส้มสายชู โป๊ยกั้ก พริกไทยเสฉวน และเครื่องเทศอื่นๆ ด้วย ถึงพริกไทยเสฉวนจะหาไม่ยาก ในแดนรกร้างมีเป็นกองก็เถอะ

ระหว่างที่แลกเปลี่ยนกันนั้น หลี่ชิงเจิ้งพบว่าค้าขายกับเหล่าหวังสะดวกกว่าค่อยๆ ขายเนื้อหมักเกลือเองมาก

ตอนนั้นเองก็มีคนจากทหารหน่วยอื่นเดินมาหาหูชัว “พวกเขาห้าคนถูกยิงสังหารแล้วครับ”

“อืม” หูชัวพยักหน้า “ส่งร่างพวกเขากลับป้อมปราการ จากนั้นก็รายงานสถานะของภารกิจต่อเบื้องบน บอกพวกเขาว่าให้ระวังพวกบริษัทหัวจ่งให้มาก ฆ่าคนของบริษัทหัวจ่งไม่ใช่เรื่องผิด”

“รับทราบครับ” หลังจากทหารรับคำสั่ง เขาก็พาพรรคพวกจากไป

เริ่นเสี่ยวซู่มองพวกเขาไป พลางเกิดความสับสนเล็กน้อย คนพวกนี้ไม่ได้ใส่เครื่องแบบของสมาคมตระกูลหลี่ แต่กลับแข็งแกร่งว่ากองกำลังส่วนตัวมาก พวกเขามาจากกองกำลังไหนกัน

หูชัวกินไปยิ้มไป “ทำภารกิจเสร็จ ตอนนี้ฉันสบายใจละ พวกเธอทุกคนก็รู้ ช่วงนี้ฉันกังวลเรื่องนี้มากจนนอนไม่ค่อยหลับกินไม่ค่อยลงเลย”

เริ่นเสี่ยวซู่ถามพวกนักเรียน “วันนี้อาจารย์สอนเรื่องอะไรเหรอ ขอฉันดูที่พวกนายจดหน่อยจะได้เรียนตามทัน จากนั้นก่อนอาจารย์หูเข้านอน ฉันจะไปขอคำชี้แนะเสียหน่อย”

พูดจบหูชัวก็ลุกพรวด “ฮ่าๆๆ ฉันง่วงแล้วล่ะ ขอไปนอนก่อนนะ!”

หูชัวกลับเข้าบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่ให้พวกนักเรียนขนของจากรถบรรทุกเข้าบ้าน ทั้งยังแจกจ่ายชุดหน้าหนาวที่เสี่ยวอวี้เย็บให้พวกเขาด้วย

เฉินอู๋ตี๋กลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านอย่างมีความสุข เริ่นเสี่ยวซู่ เฉินอู๋ตี๋ และนักเรียนทั้งแปดคนล้วนได้รับชุดเช่นกันพอหลี่ชิงเจิ้งเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “มีครอบครัวนี่ดีขนาดไหนกันนะ”

ช่วงดึกของวัน เริ่นเสี่ยวซู่ลอบมุ่งไปยังส่วนลึกของภูเขา เขาอยากไปเตือนให้หมาป่าระวังการซุ่มโจมตีจากทหารนาโนแมชชีนที่กำลังถูกส่งมาอีกสักรอบ

อย่างไรตอนนี้พวกหมาป่ามีภาระกับลูกหมาป่าเกิดใหม่ ถ้าสมาคมตระกูลหลี่โจมตีจนพวกมันไม่มีเวลาให้พาลูกหมาป่าหนีล่ะก็ แบบนั้นคงน่าเศร้ามาก

แต่ก่อนที่เขาจะทันเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขา ก็เห็นราชาหมาป่ารออยู่บนถนนดิน พอราชาหมาป่าเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ มันก็นำเขาไปยังรังหมาป่าทันที

เริ่นเสี่ยวซู่พึมพำ “พวกมันหายบาดเจ็บหมดหรือยัง กินอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือเปล่า”

ราชาหมาป่าคร้านจะตอบคำถาม ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงรังหมาป่านั้น เขาก็สังเกตว่าพวกหมาป่าดูจะเป็นมิตรกับตนมากกว่ารอบล่าสุด เริ่นเสี่ยวซู่ไปดูอาการบาดเจ็บของหมาป่าก่อน หลังจากเห็นว่าพวกมันหายหมดแล้วก็โล่งอก

เขานั่งลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง “ดูเหมือนว่าสมาคมตระกูลหลี่จะส่งทหารชั้นยอดมา ‘ประลอง’ ฝีมือกับพวกนายนะ รับมือไหวหรือเปล่า”

ราชาหมาป่ามองเขา เผยสีหน้าเหยียดหยาม เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเข้ม “แต่พวกเขาเป็นทหารยอดมนุษย์ที่มีนาโนแมชชีนกับตัวนะ พวกเขาได้รับภารกิจให้มากำจัดพวกนายเป็นพิเศษเลย สมาคมตระกูลหลี่ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย ถ้าพวกเขาตั้งใจจะโจมตีพวกนาย แสดงว่าพวกเขาต้องมั่นใจในแผนการของตัวเองแน่”

ราชาหมาป่ายังมองมาด้วยสายตาเหยียดหยาม

“เอาเหอะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “หลังจากพวกเขาตายแล้วอย่ากินลงท้องแล้วกัน พวกเขายังมีนาโนแมชชีนอยู่ในร่าง กินไปทำให้ท้องเสียเปล่าๆ ถึงเวลาก็ซ่อนร่างพวกเขาไว้ให้ฉันก่อน ฉันจะเอายาดำมาแลก”

ราชาหมาป่าได้ยินคำว่า ‘ยาดำ’ ตาก็ทอประกาย

“แต่ยังไงพวกนายก็ต้องขยับรังไปให้ลึกกว่านี้” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ลูกหมาป่าในฝูงวิ่งไม่เร็ว ถ้าโดนกระสุนลูกหลงคงแย่แน่”

ระหว่างทางกลับ เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอยู่ว่ามีหมาป่าช่วยเขาคงได้นาโนแมชชีนไวมากขึ้น แค่คิดเขาก็ตื่นเต้นแล้ว

เช้าวันต่อมา ทุกคนรีบเอาเนื้อที่ซ่อนไว้ออกมาหมักเกลือ ตอนแรกต้องหยุดกระบวนการไว้ก่อนเพราะเกลือไม่พอ

พวกเขาตั้งโต๊ะหลายตัวหน้าป้อมสังเกตการณ์ จากนั้นก็ทำงานขะมักเขม้นจนเหงื่อไหลไคลย้อย ทว่าพอคิดว่าตนจะมีอาหารดีๆ ให้กิน ทุกคนก็รู้สึกปลื้มปิติเป็นล้นพ้น

ถ้ามีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวเดินขึ้นเขามาเห็นที่นี่ล่ะก็ คงนึกว่าที่นี่เป็นโรงงานแปรรูปเนื้อ ไม่ใช่ป้อมสังเกตการณ์แน่นอน ทุกคนทิ้งปืนไว้ที่บ้าน บางคนถึงกับไม่ได้จับปืนมาหลายวันแล้ว

ว่าตามความสัตย์จริง ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาตัวรอด ก็ไม่มีใครมาอยากเป็นทหารในที่ห่างไกลแบบนี้หรอก อย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นคนของสมาคมตระกูลหลี่อะไรอยู่แล้ว ยุคสมัยที่ทุกคนไร้ซึ่งความศรัทธาหรืออารมณ์ให้พูดถึง เอาตัวรอดไปวันๆ ก็ดีถมเถ มีเนื้อให้กินก็สำคัญเสียยิ่งกว่าอะไรดี

มีคนยิ้มพูด “นี่ใกล้ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้องหาเมล็ดองุ่นมาจากบนเขามาปลูกบนที่โล่งๆ ของป้อมสังเกตการณ์แล้วล่ะ หน้าร้อนจะได้เก็บได้ แถมเอามาหมักเหล้าได้ด้วย”

“จริง เรามาทำซุ้มไม้เลื่อยไว้ปลูกองุ่นกันดีกว่า ข้างๆ ปลูกกระเทียม หัวหอม แตงกว่า และก็แครอทด้วยก็ได้ พอถึงหน้าร้อน เราก็เอาแตงกวาผสมกระเทียมบด จากนั้นเอาแครอทฝอยมากินกับเหล้า ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว!”

เสียงหัวเราะดังทั่วหน้าป้อมสังเกตการณ์ ความหนาวเย็นในฤดูเหมันต์พานทานทนได้ ตรุษจีนใกล้เข้ามา จิตใจทุกคนจึงไม่เหมือนเดิม คิดแต่ว่าจะเฉลิมฉลองอย่างไรดี

เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันมีเรื่องจะประกาศ ฉันยังมีครอบครัวอยู่ในเมืองน้อย ฉันกะจะใช้รถบรรทุกพาพวกเขามาฉลองตรุษจีนด้วย แต่พวกเรามีบ้านไม่พอให้พวกเขามาอยู่ด้วย ช่วงนี้ก็ทำงานหนักขึ้นกันนิดหนึ่งนะ จะได้สร้างบ้านไม้หลังใหม่ให้พวกเขาได้ ว่าแต่มีใครเก่งงานไม้ไหม”

“ข้าเอง!” หลี่ชิงเจิ้งยิ้ม “ข้าเคยทำงานเป็นช่างไม้มาสองปี ข้าเก่งมากทีเดียว”

“เอาล่ะ งั้นหมักเกลือเนื้อกันเสร็จก็ไปช่วยเริ่นเสี่ยวซู่สร้างบ้านดีกว่า” ชายผู้หนึ่งยิ้มเอ่ย

ชายผู้นี้คือผู้ลี้ภัยที่หนีมาพร้อมกับกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย ตอนมาแรกๆ เขาโดนหลี่ชิงเจิ้งรังแกอยู่บ่อยๆ แต่หลังจากทุกคนสนิทกลมเกลียวกันแล้ว การขุ่นเคืองก็มลายหายไป

บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดว่าถ้าทุกคนอยู่อาศัยบนภูเขาแบบพึ่งพาตนเองกันได้คงดีไม่น้อย

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงจากพระราชวังก็ดังมา [ปลดล็อคภารกิจรอง ภายในเจ็ดวันนี้ห้ามมีหมาป่าตัวไหนเสียชีวิตเพื่อปลดล็อคสินค้าใหม่ในตู้หยอดเหรียญ เมล็ดพันธุ์]

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนี้ก็ชะงักไป พระราชวังให้ภารกิจที่มีรางวัลเป็นเมล็ดพันธุ์ เพราะเขาคิดอยากอยู่แบบพึ่งพาตนเองได้บนภูเขา?

แต่พระราชวังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเมล็ดพันธุ์โตขึ้นมาเป็นต้นอะไร มันน่าจะเป็นผลอัศจรรย์อะไรบางอย่างนะ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset