ของรางวัลที่พระราชวังให้ไม่เคยเป็นของธรรมดา ภารกิจแรกได้ดาบทมิฬมา ภารกิจสองได้ไพ่ระเบิด ตอนนี้เหรียญคำขอบคุณของเขาค่อยๆ ไต่มาถึงสี่ร้อยหกสิบเหรียญแล้ว แต่เขาเอาเหรียญส่วนหนึ่งไปแลกเป็นไพ่ระเบิดมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขามีระเบิดพร้อมใช้งานกี่ใบกันแน่
ตอนนี้พระราชวังมอบภารกิจมาให้อีกหนึ่ง แถมภารกิจดูไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับอาวุธร้ายแรงอะไรเลย เป็นแค่ ‘เมล็ดพันธุ์’ เล็กจ้อยอะไรบางอย่าง แต่กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ให้ความสำคัญกับมันมาก
‘เมล็ดพันธุ์’ พวกนี้เป็นตัวแทนของความคาดฝัน และเริ่นเสี่ยวซู่ก็คาดหวังว่าตัวเองจะทำภารกิจสำเร็จจนได้รางวัลมา
ถ้าเมล็ดพันธุ์เกิดเป็นของวิเศษอะไรบางอย่างขึ้นมาล่ะก็ เริ่นเสี่ยวซู่จะหาพื้นที่มาปลูกอย่างเร็ว ต่อไปจะได้พึ่งพาตนเองได้!
ปัญหาเดียวคือห้ามมีหมาป่าตายภายในเจ็ดวันนี้มันยากมาก
ดูเหมือนว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะต้องตั้งใจจับตาดูทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่เป็นพิเศษแล้ว ถ้าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จขึ้นมา แล้วพระราชวังไม่มอบภารกิจเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ให้เขาอีกจะทำอย่างไร
ขณะทุกคนกำลังหมักเนื้อกับเกลือกันอยู่นั้น หูชัวก็กำลังฝึกไทเก๊กอยู่ด้านข้าง เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดความคิดขึ้น จึงเอ่ยปากถาม “ท่านฝึกไทเก๊กเพื่อฝึกตนเหรอครับ”
“ฝึกตน?” หูชัวหันมามองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วหัวเราะ “ฉันรำไทเก๊กเพื่อฝึกจิตใจกับฝึกร่างกายต่างหาก อย่าคิดฟุ้งซ่านไป”
เริ่นเสี่ยวซู่อยากรู้จริงๆ ว่าหูชัวมีพลังอะไร ที่จริงหูชัวก็ไม่ได้ปกปิดพลังหรอก แต่คนที่เห็นหูชัวต่อสู้เพียงคนเดียวคือเฉินอู๋ตี๋ผู้ที่ทำเขาพูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูก
หลี่ชิงเจิ้งพูดว่าตนเองเคยเรียนวิชามวยตอนเด็ก เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเป็นเรื่องโม้เหม็นอะไรพวกนั้น แต่เห็นหูชัวฝึกหมัดไทเก๊กทุกวันอย่างมุ่งมั่นแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็อดคิดไม่ได้ว่าหลี่ชิงเจิ้งรู้จักวิชาหมัดทรงพลังอะไรบางอย่างเช่นกัน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงรถออฟโรดหลายสิบคันดังมาจากตีนเขา ตอนที่ทุกคนเห็นรถออฟโรดนั้น ต่างก็หยุดทำงานในทันที
“รีบเก็บของทุกอย่างเร็ว” หลี่ชิงเจิ้งลอบสั่ง
เนื้อหมักเกลือที่พวกเขากำลังทำอยู่ย่อมไม่นับว่าเป็นกิจการอย่างเป็นทางการ อย่างไรหน้าที่เดิมของพวกตนคือการจับตามองศัตรู ถ้าพวกเขามาเพื่อตรวจสอบที่นี่ล่ะก็ พวกตนไม่รอดแน่
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาตรวจอะไรหรอก
รถออฟโรดมาถึงอย่างรีบร้อน เกิดเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม
คล้ายกับว่าป้อมสังเกตการณ์กำลังจะได้วุ่นวายขนานใหญ่แล้ว
ทุกคนคิดว่าถูกส่งมาประจำการณ์ไกลขนาดนี้ คงไม่ได้ติดต่อกับคนอื่นๆ มากนัก แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกๆ ไม่กี่วันต้องมีคนมาหาเสียได้
เกิดอะไรขึ้นกันหนอ
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบสำรวจสถานการณ์ เขาพูดว่าหูชัวกลับเข้าบ้านไปแล้ว ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับคนพวกนี้
ตอนที่รถออฟโรดมาหยุดหน้าป้อมสังเกตการณ์ ก็มีคนลงมาจากรถสี่นาย ต่างประดับยศระดับชั้นสัญญาบัตร
เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ ต่างเป็นทหารเหมือนกัน แต่พวกตนมีเครื่องแบบทหารไม่ครบทุกคน จึงไม่ค่อยใส่ใจกันนัก ส่วนอีกฝ่าย ทหารทุกนายที่มาเยือนต่างใส่ชุดทหารอย่างดี ทำให้ทั้งสองฝ่ายดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ดูจากลักษณะภายนอกอย่างเดียว พวกเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต่างจากคนที่ทำหน้าที่ทำอาหาร ขาดแค่ผ้ากันเปื้อนเท่านั้น…
แต่ที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจคือ หนึ่งในนายทหาร มีคนที่พวกเขาคุ้นหน้าอยู่!
พูดให้ตรงกว่านั้น คือมีคนที่ผู้อพยพต่างรู้จัก ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาถูกเรียกให้รวมกันตรวจร่างกาย มีคนทดสอบอัตราซิงโครไนซ์ผ่านหนึ่งราย!
ตอนนี้คนผู้นั้นกลายเป็นนายทหารอย่างถูกต้องคนหนึ่งของสมาคมตระกูลหลี่แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ลางๆ ว่าผู้อพยพที่ได้รับการยกสถานนะผู้นี้น่าจะชื่อหลินชี
ตอนที่หลินชีลงจากรถ พอเห็นหน้าเริ่นเสี่ยวซู่กับผู้อพยพคนอื่นๆ ก็ผงะไป จากนั้นเขาก็หัวเราะ “อา ไม่คิดเลยว่าจะมาเห็นคนคุ้นหน้า”
เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร ท่าทางมีภูมิฐานวันนี้สละสภาพน่าสังเวชตอนหนีจากป้อมปราการ 109 ออกไป รองเท้าคอมแบทเงาวับก็เข้ากับเขามาก เครื่องแบบเองก็ไม่ต่างกัน
คนที่อยู่หลังหลินชีถาม “รู้จักคนพวกนี้เหรอ”
หลินชีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “พวกเรามาจากป้อม 109 ด้วยกันน่ะ ตอนนี้ได้พบกันที่ป้อมสังเกตการณ์ห่างไกลอีกครั้ง ฉันต้องดูแลน้องชายตัวเองเสียหน่อย”
หลินชีพูดมา พวกเริ่นเสี่ยวซู่พลันกลายเป็นน้องชายของเขาไปแล้ว
หลินชีรู้สึกได้ถึงอำนาจที่เหนือกว่า ตอนหนีกันนั้น กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นหนีอย่างสะดวกตลอดการเดินทาง ทว่าโต๊ะมันพลิกกลับแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่กลายเป็นเพียงผู้อพยพ ส่วนตัวเขากลายมาเป็นนายทหารคนหนึ่งของสมาคมตระกูลหลี่ เขาถึงกับประดับยศร้อยโทด้วยซ้ำ!
ช่องว่างระหว่างหลินชีกับเริ่นเสี่ยวซู่มีป้อมปราการเป็นตัวกั้น สถานะพวกเขาต่างกันราวสวรรค์และพื้นพิภพ
กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้มองว่าหลินชีจะยิ่งใหญ่อะไร ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่เมื่อก่อนอาจจะอิจฉาคนในป้อมปราการ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอิจฉาสักนิด
ทว่าผู้อพยพคนอื่นๆ ที่เคยเดินทางร่วมกับหลินชีกลับรู้สึกอับอายขึ้นมา ตอนที่เห็นเครื่องแบบของหลินชี พวกเขาไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยซ้ำ
หลินชีเริ่มถือดี เขาหัวเราะ “อยู่ที่นี่เป็นไงกันบ้างล่ะ ต้องลำบากมากเลยสินะ ถ้ารู้ว่าพวกนายอยู่ที่นี่กัน ฉันคงเอาเนื้อหมูสักชั่งที่กองทัพปันส่วนมาแบ่งพวกนายแล้ว ทุกคนจะได้กินเนื้อกันบ้าง ยังไงที่แบบนี้ก็คงหาเนื้อยาก ไม่เหมือนฉันที่ได้กินทุกวัน”
พูดเรื่องอื่นคงไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอพูดเรื่องมีเนื้อสัตว์ให้กิน พวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกขนขันขึ้นมาเล็กน้อย พูดตามตรง ตอนนี้พวกเขาขอให้มื้ออาหารมีผักเพิ่มหน่อย กินเนื้อทุกวันท้องจะไม่ย่อยเอา…
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าถ้าหลินชียอมแบ่งเนื้อให้จริงๆ แสดงว่าแม้เขาจะขี้อวดอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีจิตใจที่ดีอยู่ อาจจะมองว่าเป็นการซื้อภาพลักษณ์ ซึ่งไม่มีอะไรไม่ดี
แต่น้ำเสียงของหลินชีพลันแปรเปลี่ยน “ช่างเหอะ เอาเนื้อมาให้ผู้อพยพคงไม่ดี ถ้าฉันให้พวกนายได้กินเนื้อล่ะก็ ต่อไปถ้ากินอะไรไม่ลงอีกคงจะไม่ดีเท่าไร”
เริ่นเสี่ยวซู่เกือบหลุดขำออกมาแล้ว หลี่ชิงเจิ้งที่อยู่ด้านข้างผุดลุกขึ้น ก่อนจะหัวเราะตามอย่างอ่อนน้อม “ท่านครับ ไม่ทราบว่ามีภารกิจอันสูงส่งอะไรถึงมาหาพวกเราเหรอครับ”
หลินชีโดนหลี่ชิงเจิ้นตัดบทเปลี่ยนเรื่องพูดก็หน้าอึมครึมขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ตอบอย่างรวดเร็ว “พวกเรามารวมกำลังกับเพื่อนทหารเพื่อรับมือกับภัยหมาป่าตามภูเขา แต่พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นสนามรบหลัก สนามรบหลักจริงๆ จะเป็นป้อมสังเกตการณ์ถัดไป ที่นั่นมีทหารอีกหลายนายรออยู่”
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง ข้อมูลของสมาคมตระกูลหลี่มีข้อผิดพลาดแล้วแน่ แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ การโจมตีของหมาป่ารอบที่แล้วอยู่ในเขตของป้อมสังเกตการณ์ถัดไป ทำให้กองทัพของสมาคมตระกูลหลี่คิดว่าแหล่งเคลื่อนไหวของหมาป่าอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาแถวนั้นแทน
ถึงว่าทำไมที่นี่ถึงมีทหารนาโนแมชชีนสี่สิบกว่านาย ทว่าตามประสบการณ์ที่เขาเคยสู้กับทหารนาโนแมชชีนมาก่อน ก็พอคาดการณ์ได้ว่าทหารพวกนี้น่าจะอยู่ระดับเดียวกัน เขาไม่คิดว่าทหารจำนวนนี้จะเป็นภัยต่อฝูงหมาป่าได้
แต่เขาก็ดูถูกทหารนาโนแชชีนไม่ได้หรอก เขาเพิ่งพบว่าน่าจะมีการใช้งานนาโนแมชชีนอีกไม่น้อยที่เขาไม่รู้ ตอนนี้เขาใช้ต่างเกราะอย่างเดียว
นี่เป็นโอกาสอันดีให้เขาลองส่องวิธีการต่อสู้ของพวกทหารนาโนแมชชีน