ยามได้ยินเสียงหอน หัวหน้าโจว หลินชี และนายทหารทุกคนใจก็ตกถึงตาตุ่ม ตอนไล่ล่านั้นพวกเขาไม่มองว่าฝูงหมาป่าเป็นภัยด้วยซ้ำ
พวกเขาคิดว่าฝูงหมาป่าอยู่ไกลมาก พวกมันน่าจะอยู่ในวงล้อมของกำลังหลักต่างหาก แต่พอได้รู้ว่าพื้นที่เคลื่อนไหวของหมาป่าอยู่ใกล้พวกตน พวกทหารก็หวาดผวาในพลัน!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ ป้อมสังเกตการณ์ที่โดนหมาป่าโจมตีอยู่ตั้งไกล ถ้าที่นี่เป็นแหล่งเคลื่อนไหวของหมาป่าจริง ทำไมป้อมสังเกตการณ์ของเริ่นเสี่ยวซู่ถึงไม่เป็นอะไรล่ะ
หัวหน้าโจวคิดอยู่แวบหนึ่งและพูดเสียงเย็น “คิดว่าขอบเขตการปฏิบัติงานในป้อมสังเกตการณ์ข้างเคียงจะใหญ่เกินไป พวกหมาป่าตกใจเลยย้ายถิ่นมาที่นี่แทน พวกเราดูถูกความสามารถในการรับรู้รวมถึงอันตรายและหลบภัยของพวกหมาป่ามากไป”
“แบบนั้นก็เป็นไปได้” หลินชีพูดเสียงสั่น “พวกเรายังไงต่อดีครับ”
“จะทำอะไรได้อีกล่ะ ถอยโดยด่วน!” หัวหน้าโจวกล่าวเสียงดัง “ถ้าไม่ยากตายก็รีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ต้องกลับไปป้อมสังเกตการณ์ พวกหมาป่าอาจจะสนใจคนพวกนั้นกว่าก็ได้ นั่นเป็นโอกาสรอดเดียวของพวกเรา!”
ระหว่างคุยกัน หัวหน้าโจวก็เปิดใช้งานนาโนแมชชีนเพิ่มพละกำลังและความเร็วอีกครา คนอื่นๆ เห็นแบบนี้ก็เลิกสนเรื่องอื่นและปฏิบัติตาม
ทว่าใช่ว่าทหารทุกนายในหน่วยมีนาโนแมชชีนกับตัว นายทหารที่เป็นผู้ควบคุมหุ่นยนต์งูนาโนกรีดร้องจากข้างหลัง “พาฉันไปด้วย!”
พอไม่มีนาโนแมชชีน เขาก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดา เขาไม่มีทางหนีการตามล่าจากหมาป่าได้แน่ แบบนี้ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
แต่สหายที่เรียกกันว่าเป็นพี่น้องได้ยินเสียงตะโกนเช่นนั้น กลับไม่หันมามองเขาแม้เพียงแวบเดียว
นี่เป็นผลจากการไม่ได้ผ่านการฝึกทหารอย่างถูกต้อง เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ก็ไม่ต่างไปจากผู้อพยพเลย!
เห็นว่าเพื่อนร่วมหน่วยวิ่งออกไปไกลเรื่อยๆ เช่นนั้น ทหารนาโนแมชชีนผู้ถูกทิ้งก็รู้สึกสิ้นหวัง เขาได้ยินเสียงหมาป่าเคลื่อนในป่าตรงเนินเขาข้างหลังแล้ว!
ไม่รู้ทำไม แต่เขารู้สึกเสียใจนักที่มาเป็นทหารนาโนแมชชีน แม้เขาต้องกลายเป็นผู้อพยพถ้าไม่เป็นทหารนาโนแมชชีน แต่อย่างน้อยเขาก็อาจมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกหน่อย ทว่าตอนนี้ พอเขาหันกลับไปก็ต้องตกตะลึง เขาไม่ได้เห็นแต่ฝูงหมาป่า แต่ยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย
ชายหนุ่มและหมาป่าย่างก้าวเข้ามา ชายหนุ่มผู้นั้นและราชาหมาป่าเดินเคียงข้างกัน ส่วนหมาป่าที่เหลือในฝูงเดินตามหลัง สถานะเขาในฝูงสูงไม่น้อย
ชายหนุ่มผู้นี้คือเริ่นเสี่ยวซู่ที่เขาเพิ่งเจอที่ป้อมสังเกตการณ์ไม่ใช่เหรอ
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่กล่าว “ไม่ต้องห่วงพวกที่หนีไปนะ ฉันคำนวณฝีเท้าพวกเขาและใช้ร่างแยกเงาล่อมาที่นี่ มาในส่วนลึกของภูเขา ตอนนี้พวกเขาวิ่งหนีสุดชีวิต แต่นาโนแมชชีนคงหมดพลังงานในราวๆ สิบนาที จากนั้นพวกคนหลายสิบก็จะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไป”
และเป็นอย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่อนุมานไว้ ข้อจำกัดร้ายแรงของนาโนแมชชีนในตอนนี้คือแหล่งพลังงาน พึ่งพาการใช้พลังงานชีวภาพเพื่อชาร์จพลังงานอย่างเดียวไม่อาจทดแทนอัตราการใช้พลังงานได้ ดังนั้นนาโนแมชชีนของพวกทหารจึงเหมาะกับสงครามสายฟ้าแลบมากกว่าจะใช้ในสงครามทั่วไป แน่ล่ะ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าภายในสมาคมตระกูลหลี่แก้ไขปัญหานี้ได้หรือยัง
ราชาหมาป่ากับเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงหน้าทหารนาโนแมชชีนรายนั้น ทั้งสองคุยกันผ่านการเดาความต้องการของอีกฝ่าย ทหารนาโนแมชชีนพลันรู้สึกว่าตัวเองถูกลืมไปชั่วครู่ ไหงเจ้าพวกนี้ถึงไม่เห็นหัวฉันเลยล่ะ!
แล้วทำไมชายหนุ่มผู้นี้ถึงยืนในฝูงหมาป่าอย่างไร้อันตรายได้ล่ะ มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ไม่สิ! หรือว่าที่ป้อมสังเกตการณ์ถัดไปโดนโจมตีเกี่ยวอะไรกับชายหนุ่มผู้นี้!
ทันใดนั้นราชาหมาป่าก็หันมามองทหารนาโนแมชชีน จากนั้นก็ยกอุ้งมือยื่นไปที่เริ่นเสี่ยวซู่เหมือนกับต้องการอะไรบางอย่าง
เริ่นเสี่ยวซู่เบ้หน้า “เขาไม่มีนาโนแมชชีนเหลือแล้ว ฉันไม่แลกเขากับนายหรอก แถมนาโนแมชชีนของเขา ฉันแย่งมาด้วยวิธีการของตัวเองด้วย”
เขาได้ยินคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วก็ตะลึงไป รู้ได้ทันทีว่าเงานั่นเป็นฝีมือของเริ่นเสี่ยวซู่ หมายความว่าเขาเป็นผู้มีพลังพิเศษน่ะสิ!
แต่ราชาหมาป่าส่ายหัว “ฉันไม่สน!”
เริ่นเสี่ยวซู่หยิบยาดำออกมาขวดหนึ่งยืนให้ราชาหมาป่าอย่างไม่พอใจ “เอาเหอะ คร้านจะทะเลาะกับหมาป่า”
ราชาหมาป่าเห็นยาดำก็ดูเริงร่าขึ้นมา เริ่นเสี่ยวซู่พูด “งั้นฉันขอไปไล่ล่าพวกเขาก่อนแล้วกัน จัดการเสร็จก็มาหาฉันแล้วกัน” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เตรียมตัวจะจากไป
ทหารนาโนแมชชีนที่ถูกทิ้งขวัญผวา “อย่าเพิ่งไป พวกเราต่างเป็นมนุษย์ นายปล่อยให้หมาป่ากินฉันได้ยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่หันมาส่งยิ้ม “ฉันยอมเต้นรำกับหมาป่าดีกว่าข้องแวะกับคนอย่างนาย”
พูดจบก็มุ่งขึ้นเนินเขาเข้าป่าไป ทหารนาโนแมชชีนเห็นความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่หลังของชายหนุ่ม ตอนนี้หทารนาโนแมชชีนคิดอะไรออกได้มากมายนัก ตอนที่พูดว่าอาหารหลักของป้อมสังเกตการณ์คือเนื้อสัตว์ พวกเขาไม่ได้มุสาอะไรเลย
ฝูงหมาป่าไม่โจมตีป้อมสังเกตการณ์นั่นเพราะมีเริ่นเสี่ยวซู่อยู่สินะ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ!
และเขายังสังเกตด้วยว่าบุคคลนามเริ่นเสี่ยวซู่ผู้นี้รู้เรื่องนาโนแมชชีนเยอะมาก
พวกเขาก็สงสัยอยู่ว่าเงานั่นจะขโมยนาโนแมชชีนไปทำไม เอาไปก็ใช่ว่าจะใช้ได้เสียหน่อย
แต่เขาเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว!
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เดินหลบออกไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องไล่หลังมา ทว่าใบหน้าเขาไม่เปลี่ยนสีมากนัก
รวมงูเงินเข้าไปอีกห้าตัว นาโนแมชชีนตอนนี้พอจะใช้คลุมถึงข้อมือแล้ว ระยะทางยังอีกนานกว่าเขาจะรวบรวมนาโนแมชชีนครบจนกลายเป็นเกราะชุดหนึ่ง
พวกหลินชีวิ่งสุดชีวิตขึ้นเนินเขา ไม่มีใครสนใจว่าใบหน้าจะโดนกิ่งไม้กรีด นาโนแมชชีนที่อยู่ในตัวไม่สามารถใช้คลอบคลุมทั้งร่างได้ ผิวหนังพวกเขาไม่ต่างไปจากคนทั่วไป
ตอนที่วิ่งหนีกันอยู่นั้น หัวหน้าโจวรั้งฝีเท้านิดหน่อย “ดูเหมือนพวกหมาป่าจะไม่ได้ตามล่าเรานะ”
“ใช่ครับ” หลินชีพูดด้วยความอกสั่นขวัญหนี “พวกมันไม่ทันเห็นว่าเราอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
“ไม่มีทางหรอก!” หัวหน้าโจวผรุสวาทเสียงเย็น “มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่”
หัวหน้าโจวมีข้อสันนิษฐานหนึ่ง เขาสงสัยว่าพวกหมาป่าจะรู้เรื่องที่นาโนแมชชีนมีข้อจำกัดเรื่องพลังงาน จึงรอให้พลังงานของนาโนแมชชีนหมดก่อน ถึงค่อยเคลื่อนไหวลงมือ
แต่เขาก็รีบปัดความคิดนั้นทิ้งไป หมาป่าจะรู้เรื่องแบบนั้นได้อย่างไร เรื่องนี้แม้แต่ในกองทัพของสมาคมเอง ก็มีแต่เหล่าทหารนาโนแมชชีนที่รู้
พวกหลินชีทิ้งเสบียงไปส่วนหนึ่ง พวกเขาไม่โง่พอจะทิ้งพวกอาวุธหรอก กลับกันพวกเขาทิ้งพวกอาหารสนามไปแทน
แต่ทันใดนั้นหลินชีก็นึกอะไรบางอย่างได้ ตั้งแต่เริ่ม หัวหน้าโจวยังไม่เคยเปิดกระเป๋าสะพายหลังเลย ตอนนี้ประกายสีเงินที่ฉายออกมาจากเส้นเลือดของทุกคนเริ่มหรี่แสงแล้ว แต่เส้นเลือดของหัวหน้าโจวกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลินชีถาม “หัวหน้า ที่กระเป๋าสะพายของคุณมีพวกเครื่องชาร์จอะไรแบบนั้นอยู่สินะ”
หัวหน้าโจวมองเขาตาขวาง “อย่าถามไม่เข้าเรื่อง ไม่ใช่เรื่องของนาย”