the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 230 อีกหนึ่งภาพลักษณ์ที่พังยับ

จากความเข้าใจของสมาคมต่างๆ ที่มีต่อโลกใบนี้ พลังพิเศษเป็นความสามารถอันมีอัตลักษณ์จำเพาะ เหมือนกับเป็นดีเอ็นเอของผู้มีพลังพิเศษก็ว่าได้ ถ้าลองจับคู่พลังพิเศษดู ก็จะทราบได้ว่าพลังนี้เป็นของผู้มีพลังพิเศษคนไหน

ผลคือหลังจากหมายจับสูเสี่ยนฉู่จากสมาคมตระกูลหลี่ถูกยกเลิก สมาคมตระกูลหลี่ก็ตั้งหมายจับสูเสี่ยนฉู่ต่อ

พลังพิเศษของสูเสี่ยนฉู่ไม่ได้เป็นความลับ แถมตอนหลัวหลานยังอยู่ป้อมปราการ 109 เขายังให้ลู่หยวนช่วยตามจับสูเสี่ยนฉู่เป็นพิเศษด้วย ดังนั้นพอหัวหน้าโจว หลินชี และคนในหน่วยที่เหลือกลับมารายงานภารกิจ ผู้บัญชาการของกองทัพของรู้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาเป็นฝีมือของสูเสี่ยนฉู่!

ส่วนที่ว่าทำไมฝูงหมาป่าถึงเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะมันสัมผัสได้ถึงอันตรายและย้ายถิ่นฐานล่วงหน้าแน่ๆ!

แถมเดิมทีมันอาจจะเล็งเป้าไปที่ป้อมสังเกตการณ์ที่หลี่ชิงเจิ้งบัญชาการอยู่แล้วก็ได้ แต่ทหารนาโนแมชชีนบังเอิญช่วยพวกเขาจากหายนะเสียได้

ได้แต่คิดแบบนี้ ทุกอย่างถึงจะดูสมเหตุสมผลหน่อย…

แต่นายทหารชั้นบัญชาการบางรายของกองกำลังสมาคมตระกูลหลี่สังเกตเห็นรายงานที่หัวหน้าโจวเขียนระบุไว้ว่า ‘สูเสี่ยนฉู่’ กำลังรวบรวมนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่อยู่!

เบื้องบนของสมาคมทราบแน่ชัดอย่างหนึ่ง ถ้ามีคนอยากจะใช้นาโนแมชชีน ก็ต้องมาเข้ารหัสจับคู่ภายในสมาคมก่อน แล้วสูเสี่ยนฉู่ที่เป็นผู้มีพลังพิเศษจะอยากได้นาโนแมชชีนไปทำไมกัน

ตอนนี้เหล่ามันสมองชั้นยอดของสมาคมเริ่มวิเคราะสถานการณ์ จากข้อมูลเดิมที่พวกเขามี สมาคมตระกูลชิ่งเปิดหมายจับสามคนอย่างสูเสี่ยนฉู่ หยางเสียวจิ่น และลั่วซินอวี่ หยางเสียวจิ่งยืนยันแล้วว่าเป็นคนของสมาคมตระกูลหยางและผู้ก่อจลาจล เธอเป็นเชื้อสายของตระกูลหยาง แต่เป็นสมาชิกขององค์กรผู้ก่อจลากล สถานะของเธอค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว

สูเสี่ยนฉู่ที่ถูกหมายหัวเวลาเดียวกันกับหยางเสียวจิ่นและลั่วซินอวี่ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสูเสี่ยนฉู่เป็นพวกเดียวกับสมาคมตระกูลหยางไม่ก็ผู้ก่อจลาจล แต่ว่าสมาชิกของผู้ก่อจลาจลที่ระบุตัวได้นั้นล้วนเป็นสตรีเพศทั้งหมด ดังนั้นสูเสี่ยนฉู่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามของตระกูลหยางมากกว่า

ข้อมูลนี้สำคัญมาก เพราะสมาคมตระกูลหลี่ได้รับข้อมูลที่ยืนยันความถูกต้องมาด้วยว่าประสาทเทคโนโลยีนั้น หลังจากป้อมปราการ 109 พังลง ก็ตกไปสู่เงื้อมมือของสมาคมตระกูลหยางแล้ว ซึ่งหมายความว่าตอนนี้สมาคมตระกูลหยางกำลังทำการทดลองและตรวจสอบการประสานงานแบบเต็มพิกัดเกี่ยวกับการใช้งานนาโนแมชชีนในฝั่งของสมาคมตระกูลหยางเอง

ตอนนี้จู่ๆ สูเสี่ยนฉู่ก็โผล่มาขโมยนาโนแมชชีนในเขตพื้นที่ในการควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่ มันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ มันหมายความสมาคมตระกูลหยางต้องการเปิดสงครามกับสมาคมตระกูลหลี่อย่างไรเล่า!

ในห้องใหญ่ของศูนย์บัญชาการมีนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่หลายสิบนายกำลังยืนฟังรายงานอยู่ ตอนที่พูดมาถึงข้อสรุปนี้ ใบหน้าคนก็หม่นหมอง

ที่นั่งตรงโต๊ะกลมเป็นนายพลวัยกลางคน “พวกเราตั้งใจจะโจมตีก่อน ใครจะไปคาดคิดว่าสมาคมตระกูลหยางกลับรีบร้อนกว่าเรา ท่านทั้งหลายคือเกียรติยศของสมาคมตระกูลหลี่เรา โปรดกลับไปที่ค่ายของตัวเองเพื่อเตรียมตัวเถอะ”

มีคนถาม “พวกเราจะเอายังไงกับสูเสี่ยนฉู่และฝูงหมาป่าดี”

“หลังจากการโจมตีรอบล่าสุด สูเสี่ยนฉู่คงหนีไปไกลแล้วล่ะ ยังไงที่ต้องการก็เป็นแค่ตัวอย่างนาโนแมชชีน หลังได้ไปบ้างแล้ว เขาคงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ” อีกคนว่า “สิ่งสำคัญสุดของเราตอนนี้คือจัดการล้างบางพวกตัวทดลองจากป้อมปราการ 109 ให้ได้ สำเร็จแล้วถึงจะสร้างความมั่นคงในพื้นที่แนวหลังได้”

“กองพลที่ถูกส่งไปที่นั่นอยู่ไหนแล้ว” นายพลผมสีดอกเลาแห่งสมาคมตระกูลหลี่เอ่ยถาม

“พวกเขาเพิ่งถึงฐานปฏิบัติการหน้าที่สร้างใหม่เมื่อวานนี้เองครับ แต่วันนี้พวกเขายังไม่รายงานมาเลย” นายทหารฝ่ายเสนาธิการกล่าว

“ติดต่อพวกเขาไป” นายพลสั่งเสียงนิ่ง

นายทหารฝ่ายเสนาธิการผู้นั้นออกจากห้องไปทันที สิบนาทีให้หลัง เขาพลันวิ่งเปิดประตูพรวดเข้ามาในศูนย์บัญชาการ “พวกเราขาดการติดต่อกับทั้งกองพลที่สี่ หลังออกจากฐานปฏิบัติการหน้าก็ติดต่อไม่ได้อีกเลยครับ”

ทั้งศูนย์บัญชาการตกอยู่ในความเงียบงัน ทหารสี่พันห้าร้อยนายหายตัวไปได้อย่างไร

เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ไกลถึงป้อมสังเกตการณ์ไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย ส่วนสูเสี่ยนฉู๋ที่อยู่ไกลถึงป้อมปราการ 178 ยิ่งไม่รู้เลยว่าเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว…

ตอนนี้ในป้อมสังเกตการณ์มีแต่บรรยากาศสุขสันต์ ตรุษจีนใกล้เข้ามาถึง อดีตผู้อพยพที่เดิมทีไม่รู้ว่ามื้อหน้าจะมีอะไรให้กินหรือเปล่า พลันแปรเปลี่ยนเป็นมีอาหารมากมายให้กินทุกวี่วัน นี่น่าจะเป็นวันตรุษที่ดีที่สุดที่ทุกคนเคยมี

หลังจากพวกหลินชีจากไป เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าจะมีกองกำลังทัพใหญ่ขึ้นเขามาถล่มฝูงหมาป่าอีกครั้งอะไรแบบนั้นเสียอีก แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นวี่แววพวกเขาเลย

ทว่าว่ายังมีคนกลุ่มน้อยคอยเข้าเขาไปกู้นาโนแมชชีนอยู่ แต่ก็อย่างที่สมาคมตระกูลหลี่คาดการณ์ไว้ พวกเขาพบว่านาโนแมชชีนน่าจะโดน ‘สูเสี่ยนฉู่’ เอาไปหมดแล้ว…

คนอื่นๆ ที่ขึ้นมานอกจากนั้นก็มีแต่คนของหูชัว พวกเขาไม่ได้ขึ้นมารายงานเกี่ยวกับหน้าที่อะไร แต่เอาพวกกระดาษแดง พู่กัน และหมึกมาส่ง

ตอนที่ทุกคนพูดว่าจะติดกลอนคู่สำหรับตรุษจีนเสียหน่อย หูชัวกลับไม่ยอมเขียนให้ บอกเพียงว่าเขาไม่เคยเขียนกลอนคู่มาก่อน

แต่อย่างไรทุกคนก็ต้องติดกลอนคู่หน่อยไม่ใช่หรือ ตรุษจีนไม่มีกลอนคู่ก็ไม่เรียกตรุษจีนสิ!

ในอดีต คนมักจะติดกลอนคู่เพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ ตลอดทั้งเมืองน้อย อาจจะคนหรือสองคนที่เขียนอักษรเป็น หรือจะพูดว่ามีคนหรือสองคนที่มีพู่กัน

พอตรุษจีนมาถึง ทุกคนในเมืองก็จะซื้อกระดาษแดงแล้วไปขอ ‘นักเขียนพู่กัน’ ให้ช่วยเขียนกลอนคู่ให้ ซึ่งก็ไม่ได้แพงนัก ราคาอาจเพียงเท่าอาหารมื้อหนึ่ง

ในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่มีใครสนใจเงินเล็กเงินน้อยหรอกว่าจะยากจนแค่ไหน

ตลอดทั้งป้อมสังเกตการณ์ มีแต่หูชัวที่ดูเป็นปัญญาชน ถ้าไม่ได้หูชัวช่วยเขียนให้ พวกเขาจะไปขอให้ใครช่วยได้อีกล่ะ

สุดท้ายหูชัวก็ไม่อาจทานการตอแยไหว เขาเลยสั่งให้คนของตัวเองส่งของสำหรับเขียนกลอนคู่มาให้

หูชัวตั้งโต๊ะหน้าป้อมสังเกตการณ์ จากนั้นก็วางกระดาษแดงที่ตัดไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์มาล้อมมุงที่โต๊ะ สำหรับพวกผู้อพยพแล้ว การเขียนพู่กันเป็นเรื่องไกลตัวมากจริงๆ

ข้างๆ หูชัว มีคนพูด “ท่านครับ ท่านคงไม่เก็บเงินพวกเราค่ากลอนคู่นี้ใช่ไหม”

หูชัวมองเขาตาขวาง “ไม่ต้องจ่าย”

“ตัวอักษรท่านต้องสวยงามมากแน่ๆ” มีคนประจบ ภาพลักษณ์ของหูชัวในทุกวันนี้แทบไม่ต่างไปจากเทพเซียน ดูเหมือนผู้ชำนาญการในสี่ศิลปะ[1]

หูชัวเก็บงำไม่พูดจา เขารวบสมาธิหน้าโต๊ะอยู่นาน ก่อนจะเขียนว่า ‘อยากร่ำรวย สร้างถนนก่อน…’

เริ่นเสี่ยวซู่มองตัวอักษรโย้เย้บิดเบี้ยวบนกระดาษด้วยความเงียบงัน ก่อนจะรำพึงรำพันว่า “คนเราไม่อาจตัดสินด้วยหน้าตา[2] จริงด้วย ตัวอักษรที่ท่านเขียนกับภาพลักษณ์ที่ท่านแสดงออกไม่เห็นเข้ากันเลยสักกะนิด”

หูชัวได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ “ก็บอกแล้วว่าไม่อยากเขียน แต่พวกเธอก็เซ้าซี้ให้เขียนอยู่นั่นแหละ ไม่คิดเงินก็ดีถมเถแล้ว จะเอาอะไรอีกหา”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเคร่ง “ถ้าท่านเขียนแบบนี้แล้วอยากให้แปะไว้ที่เมืองน้อยของผมก่อนหน้านี้ล่ะก็ ท่านต้องจ่ายเงินแล้วล่ะ”

หูชัวจ้องเขาเขม็ง “ดีแต่วิจารณ์ ไม่พูดแล้วจะตายเหรอ”

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังสับสนงุนงงอยู่มาก “ท่านมีความรู้จะตาย สอนคณิต ฟิสิกส์ เคมีก็ดี อย่างน้อยก็เก่งกว่าคุณจางของเมืองน้อยของผมมากใครจะไปคิดว่าท่านจะเขียนของอย่าง ‘อยากร่ำรวย สร้างถนนก่อน’ ออกมาได้ แถมลายมือยังออกจะ…โย้เย้นิดหน่อยนะ!”

หูชัวล่ะกลุ้มใจ “…”

ภาพลักษณ์ของพังยับเยินแล้ว!

[1] สี่ศิลปะ ได้แก่ พิณ หมากล้อม พู่กัน วาดภาพ (琴棋书画) เป็นงานอดิเรกอันเป็นที่นิยมของปัญญาชนจีนในอดีต

[2] มาจากสุภาษิตเต็มที่ว่า อย่าติดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกฉันใด น้ำทะเลมิอาจวัดได้ด้วยกระบวยเล็กฉันนั้น (人不可貌相,海水不可斗量) (สำนวนแปลโดย ประวิทย์ ทั้งทวีสุข)

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset