ต่อให้ทุกคนจะไม่ชอบ แต่ก็ยังต้องเอากลอนคู่ไปแปะอยู่ดีเพราะพวกตนเป็นผู้ตอแยให้ผู้เฒ่าหูชัวเขียนเอง แถมเขายังเขียนเสร็จไปเรียบร้อย
ที่จริงกลอนคู่เป็นเพียงตัวแทนให้เห็นถึงความหวังของปีใหม่[1] จะเขียนอะไรไปไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทุกคนมีความสุข
บ้านไม้ธรรมดาถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย เพื่อให้ในบ้านอบอุ่น ทุกคนจึงแล่หนังสัตว์ที่หมาป่าส่งมาให้ จากนั้นนำไปล้างจนสะอาด พอแห้งแล้วก็เอามาแปะกำแพงนอกบ้าน กันไม่ให้ลมลอดเข้าไปได้
หลังจากสร้างบ้านเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่และหลี่ชิงเจิ้งสองคู่หูก็คิดจะขับรถกลับเมืองน้อย พวกเขาจะพาหวังฟู่กู้ย เหยียนลิ่วหยวน เจียงอู๋ และคนอื่นๆ มาที่ป้อมสังเกตการณ์
แต่หูชัวปรามพวกเขาไว้ “ด้านนอกเมืองน้อยไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าจะพาเพื่อนๆ มาที่นี่อาจจะเกิดเรื่องได้ รออีกสองวันค่อยไป”
เริ่นเสี่ยวซู่ตกใจ “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“สมาคมตระกูลหลี่เสียไปทั้งกองพลน้อยไปกองหนึ่ง” หูชัวตอบ
ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์สะดุ้งเฮือก “กองพลน้อยหนึ่งกองมีคนตั้งหลายพันไม่ใช่เหรอครับ พวกเขาตายไปหมดได้ยังไง”
หูชัวหัวเราะ “แต่พวกเขาก็ตายไปแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นนอกป้อมปราการ 108 จึงประกาศกฎอัยการศึกเต็มอัตรา มีสนามเพลาะถูกขุดแล้วด้วย ถ้ากลับไปตอนนี้ เข้าเมืองน้อยไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับออกมาก็ได้”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว “พวกเราควรทำยังไงต่อครับ”
“รอสักวันก่อน” หูชัวหัวเราะ “เดี๋ยวฉันจัดการให้”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เขาอยากรู้ว่าหูชัวจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
สองวันผ่านไป วันตรุษจีนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หูชัวก็พูดน้อยลงเรื่อยๆ
ทุกคนมักเห็นหูชัวไปนั่งอยู่หน้าผาป้อมสังเกตการณ์โดยไม่ทำอะไรนอกจากทอดสายตามองออกไปไกล
เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปหาหูชัวแล้วถาม “คิดถึงครอบครัวเหรอครับ”
หูชัวเมินเขา แต่เริ่นเสี่ยวซู่ถามอีกครั้ง “นอกจากหลานชายคนนั้น ท่านไม่มีครอบครัวคนอื่นแล้วเหรอ”
หูชัวจ้องหน้าเขา “ไม่มี ทำไม”
“ผมเห็นสองสามวันมานี้ท่านเศร้ามาก” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างกังวลใจ “ถ้าไม่ว่าอะไร พวกเรามาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันไหมครับ ไหนๆ ผมก็มีน้องชายคนหนึ่ง พวกเราสามารถเป็นสามพี่น้องร่วมสาบานแห่งสวนท้อ[2]ได้นะ”
“ไสหัวไปเลย!” หูชัวตัดบท “คิดจะใช้ประโยชน์จากฉันงั้นสิ หลานชายฉันแก่ว่าเธออีก!”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างเศร้าสร้อยอยู่หน่อยๆ “นี่ก็ใกล้ตรุษจีนแล้ว เขายังไม่มาหาท่านเลย”
“เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ” หูชัวเอ่ย
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สัมผัสได้ว่าหูชัววางแผนการใหญ่อะไรบางอย่างอยู่ หลานชายคนนั้นที่ว่าคงเป็นบุคคลสำคัญในแผนการนี้ด้วย “เดี๋ยวนะ หลานชายท่านแซ่หลี่?”
หูชัวกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “คนแซ่หลี่มีมากมาย หลี่ไหนล่ะที่พูดถึง”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งค้างไป เขาน่าจะคิดเรื่องนี้ได้นานแล้ว ถ้าหลานชายของหูชัวเป็นคนที่เขาคิด พฤติกรรมหลายๆ อย่างของหูชัวก็อธิบายได้แล้ว
…
เช้าวันต่อมามีรถขับมาที่ป้อมสังเกตการณ์ เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าน่าจะมาหาหูชัว
ตอนที่นายทหารทั้งสองลงมาจากรถ เขาก็ถือเครื่องแบบทหารมาสองชุดด้วย หูชัวที่นั่งอยู่ที่ลานหน้าป้อมชี้ไปที่เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งแล้วว่า “เอาให้สองคนนั่น”
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นี่คืออะไรเหรอครับ”
“ถ้าอยากจะเข้าเมืองน้อย ก็ต้องมีเครื่องแบบสองชุดนี้” หูชัวว่า
“แต่นี่มันเป็นเครื่องแบบทหารของสมาคมตระกูลหลี่นะครับ!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างแปลกใจ “จะเข้าเมืองน้อยต้องมีใบแสดงตนด้วยนี่ ถ้าเราโดนจับขึ้นมาจะไม่เป็นปัญหาใหญ่เอาหรอกเหรอ”
แต่นายทหารทั้งสองกล่าว “พวกเราเตรียมเรื่องนั้นไว้ให้แล้ว” จากนั้นก็ส่งหนังสือเล่มเล็กสีฟ้าน้ำเงินมาให้
เริ่นเสี่ยวซู่ดู ก็เห็นเป็นข้อมูลตัวตนนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่ มีหมายเลขประจำตัว ประทับตรา แถมยังมีรูปเขาติดไว้ด้วย
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนไปถ่ายรูปตอนไหน!
หูชัวหัวเราะ “ทำลายฟิล์มทิ้งไปแล้ว ไม่ต้องห่วง หมายเลขประจำตัวเป็นของจริง ยศร้อยเอกก็ของจริง ทุกอย่างจริงหมด ตอนนี้เธอเป็นลูกน้องฉันแล้ว ดังนั้นถ้ามีคนคิดตรวจสอบเธอ คงไม่เจอปัญหาอะไรแล้วล่ะ แต่ฉันคิดอยู่นะว่ามีคนกล้าขอตรวจคนของเราหรือเปล่า ยังไงทหารธรรมดาก็ค่อนข้างกลัวคนจากกองสืบสวนพิเศษ”
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในความเงียบงัน อิทธิพลชายชราในสมาคมตระกูลหลี่ดูยิ่งใหญ่ไม่น้อย ได้เป็นทหารธรรมดาของสมาคมตระกูลหลี่ก็ถือเป็นความฝันของหลายคนแล้ว แต่ในมือของคนผู้นี้ มันไม่ต่างไปจากของขวัญเล็กน้อยที่จะมอบให้ใครก็ได้ตามใจ
อีกอย่างที่เขาให้สถานะนี้กับคนคงมีจุดประสงค์อื่นสินะ ไม่อย่างนั้นจิ้งจอกเฒ่าแบบหูชัวคงไม่ลงแรงกับเขาขนาดนี้หรอก ถ้ายอมลงทุนลงแรงขนาดนี้เพื่อมอบสถานะนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่ให้เขา ส่งคนไปรับพรรคพวกของเริ่นเสี่ยวซู่มาที่นี่ไม่ง่ายกว่าเหรอ
เริ่นเสี่ยวซู่ที่สงสัยไม่สร่างถาม “ไม่กลัวว่าผมจะเอาตำแหน่งนี้ไปใช้งานอย่างอื่นเหรอครับ”
หูชัวหัวเราะ “เธอน่ะนะ เธอจะเอาไปทำอะไรได้”
หลังมื้อเที่ยงวันนี้ เริ่นเสี่ยวซู่และหลี่ชิงเจิ้งขับกลับเมืองน้อยในชุดเครื่องแบบของสมาคมตระกูลหลี่ หลี่ชิงเจิ้งดูตื่นเต้นมาก “ฉันกลายมาเป็นนายทหารทั่วไปของสมาคมตระกูลหลี่แบบนี้? ฉันก็เข้าไปในป้อมปราการได้แล้วน่ะสิ”
“อะไรจะอยากเข้าไปในป้อมปราการขนาดนั้น” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
หลี่ชิงเจิ้งหัวเราะ และพูดออกมาทันทีว่า “ใครจะไม่อยากล่ะ ได้ยินว่าในป้อมปราการไม่ต้องปิดประตูบ้านตอนกลางคืนด้วยซ้ำ ไม่มีพวกโจรเลยด้วย”
“งั้นฉันว่านายต้องผิดหวังแล้วล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดระหว่างมองออกไปนอกหน้าต่าง
หลี่ชิงเจิ้งตอบ “ไม่เชื่อหรอก นายต้องโกหกฉันแหงเลย แต่หมอดูคนนั้นบอกว่าหลังเจอผู้พลิกชะตาคนนั้นแล้วฉันจะได้เข้าไปในป้อมปราการ ฉันเชื่อแค่นั้นแหละ”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไร เลือกจะเชื่อหมอดู แต่ไม่เชื่อในตัวเอง
พอมาถึงจุดตรวจที่เมืองน้อย พวกเขาก็ถูกสั่งให้ยื่นใบแสดงตน ตอนที่ทหารยามเห็นคำว่า ‘ทหารกองสืบสวนพิเศษ’ เขาก็ตะลึงพรึงเพริด รีบปล่อยให้เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งผ่าน
ขณะเดียวกันพวกหวังฟู่กุ้ยก็เก็บของเรียบร้อย เตรียมให้เริ่นเสี่ยวซู่มาถึง
เริ่นเสี่ยวซู่พูดว่าจะพาพวกเขาไปฉลองตรุษจีนที่ป้อมสังเกตการณ์ ไม่มีใครสงสัยเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะทำได้หรือไม่ได้ ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็มารับพวกเขาแล้วจริงๆ พวกเขาต่างแบกกระเป๋าน้อยใหญ่เหมือนจะไปออกค่ายอย่างไรอย่างนั้น อารมณ์ต่างจากคนอื่นๆ ในเมืองอย่างสิ้นเชิง…
ตอนที่หญิงร้านขายของชำร้านข้างๆ เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ในเครื่องแบบทหาร เธอก็แข็งค้างไป เขากลายมาเป็นทหารของสมาคมตระกูลหลี่ตอนไหน รอบที่แล้วเขายังเป็นแค่ทหารจากกองกำลังส่วนตัวอยู่เลย
ตอนนั้นเพราะสถานะทหารกองกำลังส่วนตัว เธอจึงเยาะเย้ยเริ่นเสี่ยวซู่ไว้มาก ที่จริงแล้ว คนรักของเธอเป็นทหารของสมาคมตระกูลหลี่
เธอรู้ดีว่าจะเป็นทหารทั่วไปในกองทัพของสมาคมตระกูลหลี่นั้นยากเย็นเพียงไร ตอนนี้กิจการร้านขายของชำของเธอดิ่งลงเหวเพราะหวังฟู่กุ้ยมาเปิดร้านข้างๆ เมื่อก่อนคนอื่นๆ ต้องขอร้องให้เธอขายของให้ แต่ตอนนี้ หวังฟู่กุ้ยยินดีจะทำการค้ากับทุกคน แน่นอนทุกคนย่อมอยากจะซื้อของจากเขามากกว่า ยิ่งเห็นว่านับวันกิจการของหวังฟู่กุ้ยยิ่งรุ่งเรืองขึ้น เธอยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และคนอื่นๆ กำลังเก็บของกันอยู่นั้น เธอก็ลอบวิ่งออกไปจากค่ายทหารนอกเมืองน้อย
[1] ตรุษจีนคือปีใหม่จีน
[2] คำสาบานในสวนท้อ (桃园三结义) หมายถึงเหตุการณ์ในวรรณสามก๊กที่ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยกล่าวสัตย์สาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานในสวนท้อ