หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่สั่งให้เฉินอู๋ตี๋กลับไปเก็บข้าวของแล้ว เขาก็เข้าไปในบ้านที่ไม่มีผู้อาศัยหลังหนึ่ง เขาคิดจะแยกนาโนแมชชีนออกมาจากอาวุธของพวกทหารนาโนแมชชีนก่อน
ตั้งแต่ไปไล่ล่าทหารนาโนแมชชีนกับฝูงหมาป่า จำนวนนาโนแมชชีนที่เริ่นเสี่ยวซู่มีก็เพิ่มมาหลายเท่า ที่จริงตอนนี้เขาสามารถให้นาโนแมชชีนคลุมเป็นเกราะคลุมทั้งสองแขนได้แล้ว เขาคิดอยู่ตลอดว่าควรจะแยกส่วนอาวุธเพื่อเอานาโนแมชชีนเพิ่มดีไหม
หลักการทำงานของอาวุธพวกนี้น่าจะเป็นการโปรแกรมให้นาโนแมชชีนสร้างการตัดด้วยการสั่นสะเทือนความถี่สูง ถึงมันจะดูซับซ้อนยากเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วหลักการทำงานก็คล้ายกับการตัดด้วยพลังน้ำแรงดันสูง
ปกติแล้วการตัดด้วยการสั่นสะเทือนความถี่สูงมักจะใช้โดยเครื่องจักรตัดหนัก เนื่องจากว่า ‘ใบมีด’ นั้นมีสภาพเป็นพลาสติก[1]ไม่เพียงพอ ใบมีดพวกนั้นไม่อาจตีขึ้นรูปเป็นดาบได้
แต่นาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่ได้ชนะปัญหาข้อนี้ไปแล้ว พวกเขาถึงกับสามารถสร้างอาวุธระยะประชิดที่มีความคมมากกว่าเดิม
แน่นอนว่าอาวุธพวกนี้ไม่ได้คมไปกว่าดาบทมิฬของเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ถ้าในอนาคตพวกนักเรียนมีชุดเกราะนาโนไว้ใช้ล่ะก็ มันน่าจะมีประโยชน์ต่อพวกเขามากแน่ๆ
แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่มีปัญญา ไม่คิดเรื่องถึงอนาคตขนาดนั้น นาโนแมชชีนที่กำลังแยกออกมาอยู่นี้เขากะไม่ได้จะใช้เอง เขาจะเอาไปให้เหยียนลิ่วหยวน!
หลังจากรีเซ็ตนาโนแมชชีนแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็เรียกเหยียนลิ่วหยวนมาที่บ้าน หลังจากปิดประตูแล้ว เหยียนลิ่วหยวนก็ถามอย่างสนอกสนใจว่า “มีอะไรเหรอพี่”
“ยื่นมือออกมา” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
เหยียนลิ่วหยวนยื่นมืออกไป มองเริ่นเสี่ยวซู่จับแขนเขาแน่น จากนั้นของเหลวสีเงินก็ไหลออกมาจากผิวของเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นก็แผ่ขยายไปหาเหยียนลิ่วหยวน
“เจ้าพวกนี้คือนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่ นายตัวเล็กกว่า นาโนแมชชีนแค่นี้น่าจะพอทำเป็นชั้นเกราะบางๆ รอบตัวได้ นอกจากนี้ การมีมันอยู่ในร่างยังช่วยเพิ่มพละกำลังของกล้ามเนื้อและโครงกระดูกด้วย ที่ให้ไปก็เพื่อใช้ปกป้องชีวิตตัวเอง ในสถานการณ์ปกติห้ามเปิดเผยให้ใครรู้เด็ดขาด” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถ้าตกอยู่ในอันตราย ก็จะใช้ฆ่าศัตรูได้ด้วย”
เหยียนลิ่วหยวนเหม่อมองเริ่นเสี่ยวซู่ “พี่เอานาโนแมชชีนให้ผมหมดแบบนี้แล้วพี่จะเอาที่ไหนใช้ล่ะ” เขาอยากจะชักมือกลับเพื่อหยุดกระบวนการถ่ายโอนนาโนแมชชีน แต่เขาแรงน้อยกว่ามากเริ่นเสี่ยวซู่มาก จึงไม่อาจชักมือกลับได้
เริ่นเสี่ยวซู่จับมือของเหยียนลิ่วหยวนแน่น ออกแรงจนแขนเขาปวดร้าว จากนั้นก็ออกเสียงทีละพยางค์ต่อเหยียนลิ่วหยวนว่า“ถึงเวลาจำเป็น ก็ใช้นาโนแมชชีนปกป้องทุกคนนะ”
ไม่ต้องพูดกล่าวเป็นห่วงเป็นใยให้มากความ ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เพียงพูดถึงสิ่งที่ใช้งานได้จริงที่สุด
ก็อย่างที่เหยียนลิ่วหยวนพร้อมจะสละชีพอธิษฐานขอพรให้เริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่เองก็พร้อมจะให้นาโนแมชชีนที่หามาอย่างยากลำบากให้เหยียนลิ่วหยวนจนหมดสิ้นเช่นกัน ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะในอดีตพวกเขาผ่านความยากลำบากกันมามาก
อย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พึ่งพานาโนแมชชีนเป็นกิจจะ แค่ตัวเขาเองก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังเชื่อด้วยว่าบนสนามรบข้างหน้าจะมีนาโนแมชชีนแบบเหลือเฟือรอเขาอยู่ พูดเรื่องนี้แล้วสมาคมตระกูลหลี่ใจกว้างไม่เลว หลังจากกลับมาจากแนวหน้าแล้ว เขาคงรวบรวมนาโนแมชชีนพอจะแจกให้นักเรียนทั้งแปดคนเลยก็ได้
เริ่นเสี่ยวซู่พูดในห้วงจิต “พระราชวัง จับคู่นาโนแมชชีนอีกรอบ”
พระราชวังตอบ [มีค่าธรรมเนียมสองหมื่นหยวน]
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีสองหมื่นหยวนพอดีเลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพระราชวังถึงคิดเงินค่าจับคู่นาโนแมชชีนใหม่ด้วยล่ะเนี่ย!
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนความเสียหายนี้ “รีบจับคู่เลย จะเอาเงินไปตอนไหนก็เอาไป”
หลังจากพูดจบ เงินสองหมื่นหยวนที่เก็บไว้ในช่องเก็บของก็หายวับ ขณะเดียวกันนาโนแมชชีนที่เดิมทีเชื่อมตัวกับระบบประสาทของเขาก็ตัดขาดการเชื่อมต่อไป เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวนแล้วว่า “อนุญาตให้นาโนแมชชีนเชื่อมกับนาย จากนั้นลองดูว่าควบคุมมันได้หรือเปล่า”
ตอนที่นาโนแมชชีนหลอมรวมกับร่างของเหยียนลิ่วหยวนโดยสมบูรณ์ เส้นเลือดตลอดทั่วร่างเขาก็กลายเป็นสีเงิน เหยียนลิ่วหยวนเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก “ควบคุมง่ายมาก ดูฟังคำสั่งดี ไม่ต่างไปจากควบคุมนิ้วมือตัวเองเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากลัวว่าอัตราซิงโครไนซ์ของเหยียนลิ่วหยวนจะต่ำเกินไปจนใช้งานนาโนแมชชีนดีๆ ไม่ได้
แต่ดูไปแล้ว อัตราซิงโครไนซ์ของเหยียนลิ่วหยวนคงสูงมาก
“อย่าใช้ในสถานการณ์ปกตินะ” เริ่นเสี่ยวซู่ “ถ้าใช้ไม่บันยะบันยัง ต้องดึงดูดความสนใจสมาคมตระกูลหลี่แน่”
“อืม” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้ารับ
ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกดังมาจากข้างนอก “หลิวเจาเจียงหายไปไหน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ผลักประตู เดินออกไปข้างนอก “เกิดอะไรขึ้น”
หลี่ชิงเจิ้งมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยใบหน้าหวาดผวา พูดอย่างยากลำบากว่า “หลิวเจาเจียงขโมยเกลือกับเนื้อหมักเกลือแล้วหายตัวไป เขายังหยิบปืนไรเฟิลกับกระสุนครึ่งหนึ่งที่เรามีไปด้วย”
“เขาหายตัวไป?” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ ป้อมสังเกตการณ์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขา มีถนนเส้นเดียวให้ลงเขาไป ถ้าหลิวเจาเจียงหายตัวไปแบบนี้ แสดงว่าเขาเข้าไปในเขาแล้ว
เดิมทีหลิวเจาเจียงเป็นผู้อพยพที่หนีจากป้อมปราการ 109 มาพร้อมพวกเริ่นเสี่ยวซู่ เพราะเขาไม่มีญาติพี่น้องที่นี่ หลังจากรู้ว่าตนเองจะถูกส่งไปเป็นตัวรับกระสุนบนสนามรบ ก็เกิดความคิดจะหลบหนี
หลิวเจาเจียงหนีไปไม่พอ ยังจะเอาเสบียงไปส่วนหนึ่งสำหรับการเอาชีวิตรอดด้วย
ใบหน้าหลี่ชิงเจิ้งซีดขาว “เขากล้าหนีไปได้ยังไง! ถ้าเขาหนี จะเกิดอะไรกับพวกเราล่ะ!”
หลี่ชิงเจิ้งยังคงอยู่ที่นี่เพราะเห็นว่าทหารที่ป้อมสังเกตการณ์เป็นดั่งพี่น้องของตน แต่สุดท้ายกลับโดนพี่น้องคนหนึ่งทรยศหักหลังเสียได้
เฉินอู๋ตี๋มองเริ่นเสี่ยวซู่ “ท่านอาจารย์ ไฉนโลกนี้จึงมีคนเช่นนี้อยู่”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “พวกเขาก็คือความมืดที่พยายามกลืนกินแสงสว่างอย่างนายไง”
“พวกเราเอาไงต่อดี” หลี่ชิงเจิ้งพึมพำ “หายไปคนหนึ่ง พวกเราโดนลงโทษกันหมดแน่”
มีคนโพล่งออกมา “พวกเราหนีด้วยดีไหม ยังไงถ้าไปสนามรบก็ตายอยู่ดี”
แต่มีคนเริ่มอ้อนวอนคนอื่นว่า “ภรรยากับลูกสาวฉันยังอยู่ในเมืองน้อยอยู่เลย ฉันขอร้องล่ะ พวกเราอย่าหนีเลยนะ ใครจะรู้ หายไปคนเดียวเอง พวกเราอาจจะไม่โดนลงโทษก็ได้”
ชายอีกคนก็ขอร้องว่า “ทุกคน ฉันขอล่ะ พวกเราหนีไม่ได้ ถ้าพวกนายหนีไป ครอบครัวพวกเราที่เหลือจะทำยังไงล่ะ”
หลี่ชิงเจิ้งมองเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นทุกคนก็กวาดตาตามมาที่เขา ที่จริงทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าผู้ตัดสินใจที่แท้จริงของหน่วยคือเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่ใช่หลี่ชิงเจิ้ง
เริ่นเสี่ยวซู่สบตากับพวกเขา คิดอยู่สองสามวิ แล้วตอบว่า “ไปจุดรวมพลกัน ฉันมีแผน”
“จริงเหรอ” มีคนถาม “หัวหน้าหน่วยไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ทำให้หลี่ชิงเจิ้งสบายใจขึ้นมา
“มีครั้งไหนหัวหน้าหน่วยเสี่ยวซู่ไม่จริงจังด้วยเหรอ เชื่อฟังเขาไม่มีอะไรผิดพลาด!”
ในที่สุด เริ่นเสี่ยวซู่ก็กลายมาเป็นหัวหน้าในใจของทุกคนแล้ว
[1] สภาพพลาสติก (Plasticity) คือคุณสมบัติที่วัตถุเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปอย่างถาวรเมื่อได้รับแรงกระทำที่เพียงพอ โดยที่พื้นผิวภายนอกไม่แตกหักหรือฉีกขาด