the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 239 แผนการของเริ่นเสี่ยวซู่

ระหว่างที่ขับลงจากเขากันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็พบว่าเฉินอู๋ตี๋ดูหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง ที่จริงก่อนหน้านี้เวลาถูกคนหักหลังทีไร โลกภายในของเฉินอู๋ตี๋ก็ได้รับผลกระทบไปถึงแก่น

เขาเป็นดั่งเด็กใสซื่อบริสุทธิ์จิตใจดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทว่าเขากลับค่อยๆ รับรู้ว่าความเมตตาที่เขามีต่อโลกนั้นเป็นดั่งสามเหลี่ยมในหัวใจ ทุกครั้งที่สามเหลี่ยวนั้นหมุน มันก็กรีดบาดหัวใจเขาจนเจ็บปวด

และก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยจนมุมสามเหลี่ยมนั้นกลมมน

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะสั่งสอนเฉินอู๋ตี๋อีกรอบ เขาต้องรับรู้ถึงมารในใจของตัวเองด้วยตนเอง จากนั้นไตร่ตรองจนผ่านพ้นจากสภาวะนั้นได้ด้วยตัวเอง

หลังจากถึงตีนเขา รถบรรทุกทหารไม่ได้พุ่งตรงไปยังเมืองน้อยเลย ระยะทางไปถึงเมืองน้อยใช้ระยะเวลาแค่สามชั่วโมง หรือถ้าเร่งหน่อยก็สองชั่วโมงครึ่ง พวกเขายังมีเวลาอีกราวๆ สองชั่วโมงให้ใช้

เริ่นเสี่ยวซู่พาพวกเขาไปยังถนนอีกเส้น ทำเอาหลี่ชิงเจิ้งสงสัย “พวกเรากำลังจะทำอะไรกันเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่ทำหน้าทำตา “เดี๋ยวไปถึงก็รู้”

เริ่นเสี่ยวซู่ให้หลี่ชิงเจิ้งซุ่มอยู่ที่ริมถนน เขายังสั่งให้หลี่ชิงเจิ้งเปลี่ยนมาใส่เครื่องแบบทหารของสมาคมตระกูลหลี่และเตรียมใบแสดงตนกองสืบสวนพิเศษด้วย

ตอนนั้นเอง รถบรรทุกทหารคันหนึ่งก็ขับให้เห็นแต่ไกล เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปบังทางกลางถนน

พอพวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ในเครื่องแบบทหารสมาคมตระกูลหลี่ พวกเขาก็หยุดรถ รถคันนี้มีทหารครบหน่วยจากอีกป้อมสังเกตการณ์หนึ่ง หัวหน้าหน่วยกระโดดลงมาแล้วฉีกยิ้มประจบ “มีอะไรเหรอครับท่าน”

เริ่นเสี่ยวซู่ยื่นใบแสดงตน “กองสืบสวนพิเศษขอทำการตรวจค้น ฉันสงสัยว่ารถบรรทุกนายซ่อนสายลับไว้ เรียกทุกคนออกมา”

หัวหน้าหน่วยตื่นตระหนก เขารีบอ้างตัวว่าบริสุทธิ์ ร้องลั่นว่า “ท่านเข้าใจผิดแล้วมั้งครับ พวกเราเป็นแค่ทหารในกองกำลังส่วนตัว”

“อย่ามาโกหกกับฉัน!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเย็น “หรือว่านายคือสายลับ”

หัวหน้าหน่วยหุบปากทันที กวักมือเรียกให้ทหารนายอื่นๆ ลงจากรถบรรทุก “รีบลงจากรถมาเร็ว รับการตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่ท่านนี้”

หลังจากพวกเขาลงจากรถมาหมด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถาม “ใครมีครอบครัวในเมืองน้อย”

ชายผู้หนึ่งยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง “ผมมีครอบครัวที่เมืองน้อยครับท่าน”

เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหัวหน้าหน่วย “เป็นเขานั่นแหละ ตามฉันมา!”

หลี่ชิงเจิ้งพากลุ่มทหารไปมัดตัวชายผู้นั้น จากนั้นก็พาขึ้นรถบรรทุกของตัวเอง

พอหลี่ชิงเจิ้งเห็นว่าแผนของเริ่นเสี่ยวซู่คือการลักพาตัวคนจากหน่วยอื่นก็ตะลึงพรึงเพริด!

ที่จริงสมาคมตระกูลหลี่เพียงกลัวทหารหนีทัพ ตราบใดที่มาครบหน่วยสามสิบนาย พวกเขาย่อมไม่พูดอะไร แต่หลี่ชิงเจิ้งไม่นึกเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะคิดแผนการอะไรอย่างนี้ออกมาได้!

อำมหิตเกินไปแล้ว!

เป็นแกดีกว่าเป็นฉัน! อย่างกับพวกหลี่ชิงเจิ้งจะสนใจความเป็นตายของทหารหน่วยอื่นอย่างนั้นแหละ ในยุคสมัยแบบนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ต้องเอาตัวให้รอดเป็นยอดดี!

พอหัวหน้าหน่วยเห็นเครื่องแบบของทหารคนอื่นข้างๆ หลี่ชิงเจิ้ง ก็พบว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทำไมบางคนใส่ชุดไปรเวท บางคนใส่เครื่องแบบทหารกองกำลังส่วนตัวล่ะ

หัวหน้าหน่วยถามอย่างผิดสังเกต “ท่านครับ คนของท่านมาจากกองกำลังส่วนตัวเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปครู่ “ใช่แล้ว ฉันแฝงตัวอยู่ในกองกำลังส่วนตัวมานานเพื่อหาสายลับ!”

หัวหน้าหน่วยไม่กล้าพูดอะไรอีก อย่างไรกองสืบสวนพิเศษก็มีชื่อไม่น้อย ถ้าไม่ได้มีสายเลือดตระกูลหลี่ ก็ไม่มีใครกล้าแหยมกับกองสืบสวนพิเศษหรอก

เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองเขา ก่อนจะพูดกับหลี่ชิงเจิ้งว่า “ออกเดินทาง!”

พูดจบ รถบรรทุกทหารก็หันหัวมุ่งไปทางเมืองน้อย เริ่นเสี่ยวซู่มองชายที่ถูกมัดผู้นั้น จากนั้นกล่าวกับเฉินอู๋ตี๋ว่า “แก้มัดเขา”

เขาหวาดผวาจนแทบร้องไห้แล้ว “ท่านครับ ผมไม่ได้เป็นสายลับ”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “จากวันนี้เป็นต้นไป นายเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยนี้แล้ว”

เขาตะลึงลาน “แต่ท่านครับ ผมไม่ใช่คนจากหน่วยของท่าน”

ทหารกองกำลังส่วนตัวคนอื่นๆ หันปืนชี้ใส่เขา เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “นายเป็นแล้ว!”

ตอนนี้เองหัวหน้าหน่วยที่กำลังเหม่ออยู่ก็หลุดจากภวังค์ “เชี่ย พวกแม่*มาขโมยคนนี่หว่า! กองสืบสวนพิเศษห่าอะไรล่ะ ไอ้ฉิบหาย!”

ทหารนายอื่นๆ ตระหนกอยู่บ้าง “หัวหน้าหน่วย เอาไงดีครับ”

หัวหน้าหน่วยกัดฟันกรอด “ไม่รู้จะไล่ตามทันหรือเปล่า แถมไม่แน่ใจด้วยว่าตัวตนคนจากกองสืบสวนพิเศษนั่นจริงหรือเท็จ งั้น…ไปขโมยคนจากหน่วยอื่นกัน!”

แถวนี้มีป้อมสังเกตการณ์อยู่หลายสิบ หมายความว่ามีทหารอีกหลายหน่วยเช่นกัน

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าตนจุดประกายอะไรไป ทหารทุกหน่วยต่างดิ้นรนแย่งชิงทหารจากหน่วยอื่นมาเติมหน่วยตัวเอง

ทหารบางหน่วยยังมีคนครบ จึงไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ว่ายังอีกหลายหน่วยที่มีคนหายไปอย่างที่หน่วยของเริ่นเสี่ยวซู่เป็น พวกเขาล้วนกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่มาทำเช่นนี้แล้ว ก็ดั่งว่าพวกเขาเห็นโลกใหม่เปิดออก…

หลังจากหน่วยทหารจากป้อมสังเกตการณ์อื่นลงจากเขาและมุ่งไปทางเมืองน้อย มันก็มีถนนแค่สองสามเส้นให้ขับผ่าน ด้วยเหตฉะนี้ เหตุการณ์ที่เกิดจึงดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้กล้ากำชัยบนทางแคบ’

ตอนที่กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่เร่งเครื่องไปยังเมืองน้อย ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่เห็นรถบรรทุกทหารของสมาคมตระกูลหลี่หลายคันกำลังมุ่งสวนทางไปยังทางที่พวกเขาเพิ่งมากัน

พอรถพวกนั้นเห็นกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ก็หยุด คนขับของรถคันหนึ่งเลื่อนกระจกลงแล้วตะโกน “พวกนายคือทหารกองกำลังส่วนตัวที่ลงมาจากป้อมสังเกตการณ์ใช่ไหม”

หลี่ชิงเจิ้งผงะ “ใช่ครับ”

“ระหว่างทางมาเห็นคนต่อสู้กันหรือเปล่า” คนขับถาม

“ไม่เห็นนะ พอดีพวกเราลงมาแต่เนิ่นๆ น่ะครับ” หลี่ชิงเจิ้งพูดเสียงนิ่ง

คนขับรถสบถ เลื่อนกระจกกลับขึ้นไป “แม่*เอ้ย ได้ยินว่าที่นั่นเกิดจลาจลขึ้น! พวกเราต้องลำบากถ่อไปดู เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!”

เริ่นเสี่ยวซู่และหลี่ชิงเจิ้นนั่งปิดปากเงียบอยู่หน้ารถ แต่พวกเขาก็พอเดาออกมาเกิดอะไรขึ้น

หลี่ชิงเจิ้งพูดเสียงค่อย “คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกร้อนตัวอยู่หน่อยๆ “คิดว่าคงไม่เป็นปัญหาอะไรมากหรอก…”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่งพวกเหยียนลิ่วหยวนกลับเมืองน้อยก่อน หลังจากสั่งให้ระวังตัวให้ดีแล้วก็มุ่งไปรายงานตัวที่จุดรวมพล

ช่วงเช้าของวัน หูชัวเพิ่งประชุมเล็กที่กองสืบสวนพิเศษเสร็จก็ได้รับสายโทรศัพท์ดาวเทียมมาจากรองผู้บัญชาการของเขา “พลโทครับ ผู้บัญชาการจากกองกำลังส่วนตัวกำลังถามหาตัวท่าน”

หูชัวผงะไปครู่หนึ่ง “เขาหาฉันทำไม”

หูชัวรับสาย “หูชัวพูดสาย”

จากนั้นเขาก็โดนคำบ่นร้องเรียนเป็นชุดๆ จากอีกฝ่าย ถึงกองกำลังส่วนตัวจะมีแต่ผู้อพยพ แต่ว่านายทหารที่เป็นผู้บัญชาการยังเป็นคนในตระกูลหลี่อยู่ คนปลายสายบ่นเยอะจัดจนหูชัวหัวร้อน “ฉันจะสนใจเรื่องในกองกำลังส่วนตัวทำไมล่ะโว้ย ต่อให้นายเอากองกำลังโหล่ยโท่ยแบบนั้นให้ฉันฟรีๆ ฉันยังไม่เอาเลย เลิกกล่าวหาฉันได้แล้ว!” จากนั้นหูชัวก็วางสาย

ว่าแล้วก็ปวดหัวแปลบ พอมั่นใจได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นเริ่นเสี่ยวซู่สร้างปัญหาให้เขาอีกแล้วแน่ๆ!

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset