The Great Geneticist in Apocalypse
ตอนที่60 ไม่สปอยล์ดีกว่า
“ไม่ได้มันอันตรายเกินไป” เบลซส่ายหน้าปฏิเสธ
“นายก็เหมือนกันนั้นแหละไปคนเดียวได้ยังไง!? ให้ฉันไปด้วยเลยนะ” เอลลีพูดเชิงบังคับแบบน่ารักๆ
“ไม่ได้เธออ่อนแอเกินไปตอนกลางคืนมันอันตราย” เบลซปฏิเสธอีกครั้งพลางส่ายหัว
“งั้น นายก็ทําให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นซะสิ ถ้าฉันมีสองธาตุหละก็ไปกับนายได้แน่” เอลลี่พูดแล้วเข้าเกาะแขนเบลซ
“ยังไงก็ไม่ได้”
“อีกไม่ได้จริงๆหรอ?” เอลลี่ทําท่าน้อยใจเหมือนจะร้องไห้
“นี้เธอกลายเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เบลซคิดแล้วเลยตอบแบบหยวนๆ
“งั้นก็ได้แต่เธอต้องดูดซับพวกนี้ให้ครบก่อนนะ” เบลซเอาคริสตัลสองธาตุ
“วูซ วูซ” แล้วเธอก็ดูดซับคริสตัลธาตุลมที่เหลืออีกสองชิ้น
“เป็นยังไงบ้าง” เบลซถาม
“ก็ดี” เอลลี่พูดแล้วเรียกระบบออกมาให้เบลซดู
ชื่อ เอลลี่ ชาล็อตเต้ เหรียญชีวิต85เหรียญ
ระดับ12
สิ่งมีชีวิตระดับ ขาว(18/100) พลังธาตุ ลม น้ําแข็ง
อาชีพ นักดาบฝึกหัด
อาชีพเสริม ไม่มี
ฉายา ไม่มี
Strength(แรงกาย) : 13
Agility(ความว่องไว) : 18
Vitality(พละกําลัง) : 12
Stamina(ความทรหด) : 13
Spirituality(จิตวิญญาณ) : 12
ทักษะ
ปลดปล่อยคมไอเย็นนับร้อยโจมตีใส่ศัตรูใช้spiritualityครั้งละ 10แต้ม (พลังโจมตีธาตุน้ําแข็ง+100%)
ร้อยคมเหมันต์เป็นทักษะที่ดีก็จริงแต่ว่ามันเป็นทักษะระดับเขียวอ่อน เอลลี่ที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตสีขาวยังใช่มันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะเธอยังมีพลังจิตวิญญาณน้อยเกินไป การใช่แค่ครั้งเดียวสามารถทําให้เธอปวดหัวอย่างหนักถึงหมดสติได้เลย
“เอาหละงั้นไปกันวันนี้เราจะไปแค่รอบๆนอกบาเรียพอ”
“อือ” เอลลี่พยักหน้ารับ
แล้วเบลซกับเอลลี่ก็เดินออกไปภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยควงดาวระยิบระยับ
“จะ- จับมือด้วย เดี๋ยวก็หลงหรอก” เอลลี่คว้ามือของเบลซขึ้นมาจับก่อนจะทําหน้าอายๆ
“อิ่ม
ทั้งคู่เดินอยู่รอบๆไม่เจอสัตว์อสูรอยู่บริเวณขอบรอบๆบาเรียเลยซักตัว ถึงจะได้ยินเสียงอยู่ไม่ไกลมากก็เถอะ
“จะว่าไปนายหาอะไรหรอถึงต้องมาหาตอนกลางคืน?”
“มาหากุหลาบชําระล้างหนะมันเป็นกุหลาบสีขาวที่จะเรืองแสงตอนกลางคืน” เบลซพูดแล้วก็เล่าถึงลักษณะ คุณสมบัติและความสําคัญของกุหลาบชําระล้าง
“อื้องั้นเรามาช่วยหากันเถอะ” เอลลี่พูดด้วยรอบยิ้มก่อนจะหาต่อไป
“เอ่ออ ไม่เจอซักทีแล้วเมื่อไหร่ฉันจะเดินระบบประปาฐานเสร็จหละเนี่ย” เบลซถอนหายใจ
หลังจากเดินรอบๆแล้วก็หาไม่เจอเอลลี่เลยเสนอว่า
“นายไม่ลองหาตามริมแม่น้ําดูหละไม่แน่ว่าอาจจะเจอก็ได้นะ?”
“อืม งั้นไปก็ได้” เบลซไม่ได้หวังอะไรมากแต่ก็ไปเพราะมันแปปเดียวแล้วก็จะได้ซึมซับช่วงเวลาดีๆนี้อีกหน่อย
เอลลี่จูงมือเบลซเดินไปที่ริมแม่น้ําด้วยรอยยิ้มสดใสหลังจากเดินเลาะไปตามริมแม่น้ําซักหนึ่งร้อยเมตร เอลลี่ได้กระตุกมือบอกเบลซ “ตรงนั้นมีอะไรกระพริบๆด้วยหละ”
“หึมม” เบลซหันไปมองตรงที่เอลลี่บอกถึงจุดนั้นห่างออกไปราวๆ50เมตร แม้ว่าตรงนั้นจะถูกเถาวัลย์และพุ่มไม้บดบัง แต่เบลซก็ยังเห็นแสงสีขาวที่ลอดออกมาตามช่องว่างได้อย่างชัดเจน
“มีความเป็นไปได้สูง เธอนี้มันตัวนําโชคจริงๆ” เบลซพูดด้วยความดีใจ
“ใช่ม่ะๆ” เอลลี่ยิ้มหน้าบานประมาณว่า “นี้คือความชอบของฉัน!” แล้วถามต่อว่า “แล้วนายจะให้อะไรฉันเป็นรางวัล”
“แล้วเธออยากได้อะไรหละ” เบลซพูดแบบที่เล่นที่จริง
“หะ หอมแก้มฉันซะ” เอลลี่พูดด้วยความเหนียมอาย
“นี้ยังไม่ใช่เวลา อย่างลืมสิว่าอยู่นอกเขตบาเรีย ต้องระวังตัวมากกว่านี้ เข้าใจมั้ย?” เบลซเคาะหัวเอลลี่ทีนึงแล้วพูดเบาๆด้วยความเป็นห่วง
“เข้าใจแล้ว ขอโทษจ๊ะ” เอลลี่พูด ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้บอกความรู้สึกของกันและกัน แต่ก็ยอมรับในความสัมพันลึกซึ้งที่คลุมเครือ แต่ในอนาคตเธอก็จะทําให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น
“งั้นเราไปกันเถอะเงียบๆหละ” เอลลี่กระซิบลมหายใจอุ่นๆกระทบที่ใบหูเบลซเบาๆ
“อืม” เบลซพยักหน้าเบาๆก่อนจะค่อยๆย่องไปดูแสงสีขาวว่ามันใช่ต้นกุหลาบชําระล้างที่เค้ากําลังหาอยู่รึปล่าว
“แซด แซด แซด”
เบลซกับเอลลี่ค่อยๆย่องไปในความมืดเลาะไปตามต้นไม้และพุ่มไม้จนเห็นจุดที่เรื่องแสงสีขาวชัดๆ
“ใช่จริงๆด้วย” เบลซมองไปที่แหล่งกําเนิดแสงมันเป็นต้นกุหลาบที่ทั้งความสูงและขนาดของดอกมันก็ดูปกติแต่ว่ามันกลับเรืองแสงสีขาว
“ไปเก็บมันเลยดีมั้ย?” เอลลี่กระซิบ
“เดี๋ยวก่อน” เบลซพูด
“แซด แซด แซด”
“สังเกตไหมว่ารอบๆนี้แทนที่จะเป็นพื้นดินแต่กลับเป็นพื้นทราย” เบลซกวาดมือไปที่พื้นแล้วกําขึ้นมาดูพื้นรอบๆนี้เต็มไปด้วยทรายหนาราวๆหนึ่งเซนติเมตร แต่ว่ายิ่งเค้าเข้าใกล้เค้าก็ยิ่งสังเกตว่าเท้าของเขาจมลงไปเยอะขึ้นขนเกือบจะถึงตาตุ่มแล้ว ส่วนสาเหตุที่เห็นยากก็เพราะว่ามันเป็นทรายสีน้ําเงินคราม พอตอนกลางคืนมืดๆแล้วก็เลยไม่ได้สังเกต
“จริงด้วย” เอลลี่พูดเสียงเบาๆด้วยความประหลาดใจ
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังตัวหนะ” เบลซดุ
“ขอโทษ ขอโทษ ครั้งหน้าจะระวังมากขึ้น” เอลลี่ตอบกลับมาด้วยท่าทางจริงจัง
“แซด แซด” มีเสียงเสียดสีกับทรายเบาๆเกิดขึ้นถ้าเป็นคนทั่วๆไปหละก็คงจะตอบสนองไม่ทัน และคิดว่าเป็นเพียงแค่ลมพัดไปกับทราย แต่เบลซที่มีวิวัฒนาการเป็นสีเขียวอ่อนแล้วปฏิกิริยาไวจนสามารถมองทันแน่นอน เค้าสังเกตเห็นมันที่มีอะไรบางอย่างนูนๆและซ้อนอยู่ใต้ทราย
“ประเมิน” เบลซมองไปที่จุดที่มันหยุดเคลื่อนที่และคิดในใจ
“เป้าหมายถูกปกปิด”
“มีตัวอะไรจริงๆด้วย” เบลซคิดถึงแม้จะไม่ได้ข้อมูล แต่ว่าจากคําตอบของทักษะหมายความว่ามีเป้าหมายแสดงว่าต้องเป็นสัตว์อสูรแน่ๆ แต่ว่าเป็นตัวอะไรหละ?
“มันมีกี่ตัวหละเนี่ย แถมนี้ก็เป็นตอนกลางคืนด้วย” ที่เบลซสังเกตได้ตอนนี้ มันยังมีแค่ตัวเดียวแต่ว่ารอบๆนี้มีพื้นทรายค่อนข้างกว้าง ไม่แน่ว่าจะมีมากกว่านี้ แถมยังมีเอลลี่อยู่ด้วย ถ้ามันเป็นแค่สัตว์อสูรระดับขาวก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่เค้าคงไม่สามารถผละออกมาปกป้องเธอได้ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น
“เอลลี่เธอถอยไปก่อนนะ” เบลซกระซิบ
“ทําไมหละ?” เอลลี่ตามแต่เบลซก็ทําสัญลักษณ์ให้เธอเงียบก่อนจะชี้ไปที่เนินทรายที่ดูนุนๆนึดนึงใช่นั้นคือตําแหน่งที่มีสัตว์อสูรปริศนาอยู่
เอลลี่ที่เห็นก็รู้ได้ทันที่เธอมองไปที่เบลซก่อนจะพูดว่า “ระวังด้วยหละ” แล้วเดินออกไปห่างๆเพื่อไม่ให้เกะกะ แต่ในใจจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเธอจะเข้าไปช่วยเขาแน่นอน
The Great Geneticist in Apocalypse – ตอนที่ 60 ไม่สปอยล์ดีกว่า
Posted by ? Views, Released on February 8, 2022
, The Great Geneticist in Apocalypse
The Great Geneticist in Apocalypse
เบลซ แร็คน่าร์ (Blaze Ragnar) เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ฉลาดมากในโลกยุคปี3xxx เขาเป็นคนที่หลงใหลในโลกยุคโบราณตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยันยุคเหล็ก ในชีวิตของเขามีความฝันอยากจะไปสัมผัสยุคเหล่านั้นด้วยตเอง แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบันและด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกเขารู้ได้ในทันทีว่าต่อให้เขารวบรวมอัจฉริยะระดับโลกมาทั้งหมดก็ไม่สามารถคิดค้นวิธีการย้อนเวลากลับไปหรือหามิติอื่นที่ยังอยู่ในยุคโบราณได้ก่อนที่เขาจะตาย แต่ด้วยความฝันของเขา อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะลองที่จะขี่ไดโนเสาร์ เสือเขียวดาบ และก็ แมมมอธดูซักครั้ง เขาเลยตั้งหน้าตั้งตา เป็นนักบรรพชีวิตวิทยาเพื่อสร้างไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งด้วยสมองระดับเขามันคงเป็นไปได้ใน 5-10 ปีแต่ในขณะที่เขากำลังหาตัวอย่างยีนในหน้าผาแห่งหนึ่งแต่เขากลับเผลอหยิบชิพประหลาดขึ้นมาหนะสิ
แต่ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆรึปล่าวนะ? และแล้วการเข้าสู่ยุคมืดก็เริ่มขึ้น
“พวกมนุษย์ปุถุชนตัวเล็กๆทั้งหลาย ข้าคือ อิกดราซิล! บัดนี้โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งพลังธาตุและวิวัฒนาการแล้ว จงต่อสู้! การต่อสู้ที่ ยากลำบากจะกลายเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเจ้า จงเอาตัวรอดและวิวัฒนาการตัวเอง มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะสามารถนำพาชีวิตพวกเจ้าให้อยู่รอด หากไม่แข็งแกร่งพอพวกเจ้าก็จงเป็นเหยื่อ ให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ซะเถอะ!”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment