The King of War – ตอนที่ 64 เพื่อนเก่าที่หน้าตาดี

สามีภรรยาทั้งสองคนหนึ่งนอนอยู่ด้านซ้ายของเสี้ยวเสี้ยว ส่วนอีกคนก็นอนอยู่ด้านขวาของเสี้ยวเสี้ยว

หยางเฉินพยายามนอนขยับไปนอนอยู่ที่ขอบเตียงเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดของฉินซี

บรรยากาศในห้องนอนเงียบมาก เหลือเพียงเสียงหายใจที่แผ่วเบาเท่านั้น

แต่หยางเฉินไม่สามารถนอนหลับได้ เพราะในห้องมีกลิ่นหอมจางๆ ซึ่งเหมือนกับกลิ่นที่อยู่บนร่างกายของฉินซี และมันก็ทำให้หยางเฉินผู้มีเลือดอันเร่าร้อนยากที่จะนอนอยู่เฉยๆ ได้

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฉินซีก็นอนไม่หลับเช่นกัน ตั้งแต่เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และนอกจากค่ำคืนที่ผ่านลมผ่านฝนกับหยางเฉินเมื่อห้าปีก่อน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอนอนกับผู้ชายบนเตียงเดียวกัน

ตีห้าของวันรุ่งขึ้น หยางเฉินตื่นนอนอย่างตรงเวลา หลายปีแห่งการรับราชการทหารกลายเป็นนิสัยและความเคยชินของเขาไปแล้ว

เขาลืมตาและเตรียมตัวที่จะตื่นไปออกกำลังกายตอนเช้า แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกดทับร่างกายเขาไว้

แสงสลัวส่องเข้ามาในห้องผ่านหน้าต่างกระจก หยางเฉินก้มศีรษะลงและได้เห็นใบหน้าอันงดงามพร้อมกับเส้นผมยาวปลิวไสวอยู่ด้านหลังศีรษะของเธอ

ฉินซีกำลังนอนอยู่บนแขนของหยางเฉิน โดยที่แขนข้างหนึ่งของเธอโอบรอบคอของหยางเฉินไว้เหมือนตัวโคอาล่าที่เกาะอยู่บนแขนของเขา

จากนั้นเขามองไปที่เสี้ยวเสี้ยว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเด็กน้อยนอนกลิ้งไปอยู่ใต้เท้าของพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

หยางเฉินก็ถือว่าเป็นชายหนุ่มไฟแรงที่มีอายุ 27 เท่านั้น เมื่อสาวสวยอย่างฉินซีมาเกาะอยู่บนร่างกายของเขา แถมยังเป็นช่วงเวลาตอนเช้าตรู่ที่มีพละกำลังมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งภาพอันงดงามนี้มันช่างเป็นภาพที่ทรมานหยางเฉินอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ

หยางเฉินพยายามสงบสติอารมณ์และดูให้ชัดเจนอย่างซ้ำไปซ้ำมาว่าเขายังนอนอยู่ที่เดิม จากนั้นเขาถึงจะรู้สึกโล่งใจ

ฉินซียังคงนอนหลับอย่างสบายและไม่ได้ว่าเธอจะตื่นมาเมื่อไหร่ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่หยางเฉินงดออกกำลังกายตอนเช้าในตลอดห้าปีที่ผ่านมา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าฉินซีจะตื่นขึ้นมา เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงสิบเซนติเมตร ไม่เพียงแค่นั้นยังมีลมหายใจเฮือกใหญ่ของผู้ชายกระทบเข้ากับใบหน้าของเธออย่างอบอุ่นอีกด้วย

นอกจากนี้เธอยังรู้สึกถึงความอบอุ่นของทั้งแขนและขาของเธอที่สัมผัสกับร่างกายของเขาคนนั้น จากนั้นเธอตกใจและผลักหยางเฉินออกไปทันที

“ไอ้บ้า คุณคิดจะทำอะไรฉัน?” ฉินซีพูดด้วยความเขินอาย

หยางเฉินผู้ซึ่งแกล้งหลับมาตั้งนานก็ไม่สามารถแกล้งได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงลืมตาขึ้น

“เสี่ยวซี คุณพูดอะไรเหรอ?” หยางเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาขยี้ตาที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นราวกับว่าเขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

ฉินซีแสดงปฏิกิริยาที่ชัดเจนทันที เมื่อเห็นท่าทีที่งงงันของหยางเฉิน ความโกรธในใจของเธอก็ค่อยๆ ลดลง จากนั้นเธอเหลือบมองเห็นลูกสาวที่นอนอยู่ใต้เท้าของเธอ และมองกลับมาที่หยางเฉินที่ยังคงนอนอยู่บนขอบเตียงอีกครั้ง

ความรู้สึกของเธอเหมือนเพิ่งลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่หยางเฉินที่ฉวยโอกาสทำอะไรเธอ แต่เป็นเธอเองต่างหากที่เข้าไปซบอยู่ในอ้อมแขนของหยางเฉิน เมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้วฉินซีก็รู้สึกเขินอายและหน้าแดงขึ้นมาทันที

“เสี่ยวซี คุณฝันร้ายเหรอ?” หยางเฉินแสร้งทำเป็นกังวล

ฉินซีจ้องไปที่หยางเฉินอย่างดุเดือดและกัดฟันพูด “ใช่! ฉันฝันว่าไอ้คนบ้าอย่างคุณคิดจะอนาจารฉัน!”

หลังจากฉินซีทิ้งท้ายด้วยคำนี้เธอก็ตื่นไปล้างหน้าแปรงฟันทันที

หยางเฉินได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เขาแกล้งหลับ ไม่อย่างนั้นคงอธิบายยากแน่นอน

จากนั้นครอบครัวทั้งสามก็ลงมาที่ชั้นล่างและได้เห็นโจวยู่ชุ่ยกำลังนั่งดูทีวีอยู่ ฉินซีเดินเข้าไปในห้องครัวและพบว่าอาหารถูกกินจนหมดแล้ว เหลือเพียงชามเปล่าที่ใช้แล้ววางไว้ในอ่างล้างจานเท่านั้น

เดิมทีในบ้านมีแม่บ้านคนหนึ่งที่คอยทำอาหารเช้าให้ แต่แม่บ้านทนนิสัยของโจวยู่ชุ่ยไม่ได้จึงขอลาออกไป

หลังจากนั้นโจวยู่ชุ่ยก็รับหน้าที่ทำอาหารในทุกเช้า เมื่อฉินซีเห็นชามเปล่าที่ใช้แล้วเธอก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เห็นได้ชัดว่าในห้องครัวมีร่องรอยการทำอาหารเช้า แต่มันกลับไม่มีอาหารเหลือไว้เลย ซึ่งก็มั่นใจได้ว่าโจวยู่ชุ่ยทำในส่วนของเธอคนเดียวอย่างแน่นอน

“พี่สาว พี่เขย อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” ในขณะนี้ฉินยีก็ลงมาจากชั้นบน เมื่อรู้ตัวว่าการกระทำของเธอเมื่อคืนไม่ค่อยดูดีนัก เธอจึงรีบทักทายพวกเขาก่อนด้วยรอยยิ้ม

“แม่คะ ทำไมไม่มีอาหารเช้าเลย” ฉินซีถามทันที

“กินหมดแล้ว!”

โจวยู่ชุ่ยิยิ้มตอบอย่างเฉยเมย

“แม่ มันหมายความว่าไง?” ฉินซีพูดด้วยความโกรธ

“ยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอ? เมื่อคืนพวกเธอเก่งนักไม่ใช่? ปีกกล้าขาแข็งนักไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมฉันต้องทำอาหารให้พวกเธอกินด้วย?” โจวยู่ชุ่ยพูดอย่างฉุนเฉียว

“พวกเราต้องทำงานนะ! อีกอย่างเราเอาเงินเดือนส่วนหนึ่งของเราให้แม่ทุกเดือน แม่ก็ว่างอยู่บ้านทั้งวัน ขอแค่แม่ช่วยเตรียมอาหารเช้าก็ทำไม่ได้เหรอ?” ฉินซีดวงตาแดงก่ำและพูดด้วยความเศร้า

“ฉันเลี้ยงพวกเธอมาโตขนาดนี้ แล้วเอาเงินส่วนหนึ่งจากพวกเธอแล้วมันผิดอะไรด้วย?” โจวยู่ชุ่ยพูดอย่างไร้ยางอาย

ฉินซีกับฉินยีถึงกับน้ำตาซึม ในใจของทั้งสองเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความคับข้องใจ

“แม่คิดผิดไปแล้ว!” ฉินยีพูดโพล่งออกมาอย่างโกรธเคือง “นอกจากที่แม่เป็นผู้ให้ชีวิตหนูกับพี่สาวแล้วแม่เคยทำอะไรให้พวกเราบ้าง?”

“ตั้งแต่หนูจำความได้ แม่ไม่เคยเป็นแม่ที่มีคุณวุฒิเลย แม่แค่อยู่เฉยๆ ทั้งวันไม่ทำอะไร ในตอนที่คุณย่ายังอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่าสงสารหนูกับพี่สาวแล้วมาช่วยเหลือครอบครัวเราตลอด หนูว่าหนูกับพี่สาวคงอดตายไปนานแล้ว!”

“แล้วแม่ล่ะ? สนใจแค่ชีวิตตัวเองว่าจะอยู่ดีหรือไม่ แม่ไม่เคยสนใจสารทุกข์สุกดิบของพวกหนูเลย”

“เราจะจ้างแม่บ้าน แต่แม่บอกไม่ต้องจ้าง ให้เราเอาเงินแม่บ้านมาให้แม่ แล้วแม่จะเป็นคนทำอาหารให้”

“แล้วไหนเป็นแบบนี้ล่ะ? เงินที่เราให้แม่มันจ้างแม่บ้านได้สองคนต่อเดือนเลยนะ แต่แล้วทำไมถึงไม่มีแม้แต่อาหารเช้าให้เรากินเลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราก็คงไม่จำเป็นต้องให้เงินแม่แล้วล่ะ”

หลังจากพูดจบฉินยีก็เดินจากไปด้วยความโกรธทันที

โจวยู่ชุ่ยที่ยังคงโกรธอยู่ เมื่อเห็นฉินยีบอกว่าจะไม่ให้เงินเธออีก เธอจึงกังวลและรีบไล่ตามไป “เสี่ยวยี อย่าโกรธแม่สิ! แม่ก็แค่เจ็บใจเรื่องเมื่อวาน แม่ก็เลยไม่ได้ทำอาหารเช้าให้พวกเธอไง แต่นับจากวันพรุ่งนี้ แม่สัญญาว่าแม่จะทำอาหารให้พวกเธอทุกมื้อนะ”

แต่ฉินยีจะมีอารมณ์มาฟังได้ยังไง? เธอได้แต่เดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามอง

“เราไปกินข้างนอกกัน!” ฉินซีมองไปที่หยางเฉินแล้วจุงมือเสี้ยวเสี้ยวเดินออกจากไป

“เสี่ยวซี อย่าเพิ่งไปสิ ยังมีเวลาอยู่นะ เดี๋ยวแม่ไปทำอาหารเช้าให้ตอนนี้เลย ไม่นานหรอก อาหารข้างนอกไม่สะอาด เธออย่าเพิ่งไปสิ!” เมื่อเห็นฉินซีพาเสี้ยวเสี้ยวออกไปด้วย โจวยู่ชุ่ยก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น

ทุกวันนี้ฉินต้าหย่งไม่กลับบ้านทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้ว่าเขาไปถึงไหนแล้ว ถ้าลูกสาวสองคนนี้ไม่เอาเงินให้เธอ เธอคงจะไม่เหลืออะไรแล้ว

แต่เธอได้ทำร้ายจิตใจของลูกสาวทั้งสองไปแล้ว แล้วจะเปลี่ยนใจพวกเธอง่ายๆ ได้อย่างไร?

เมื่อเห็นครอบครัวทั้งสามของฉินซีจากไป สีหน้าของโจวยู่ชุ่ยได้แต่หมดหมอง “ทำไงดี? ถ้าพวกเขาไม่เอาเงินให้เราอีก แล้วเราจะอยู่ยังไง?”

อันที่จริงเธอยังมีเงินมากมายในตู้นิรภัยเล็กๆ ของเธอ ซึ่งเป็นเงินที่เพียงพอสำหรับชีวิตที่เหลือของเธอแล้ว แต่เธอไม่ได้คิดจะใช้เงินก้อนนั้นด้วยซ้ำ เธอแค่ตั้งใจจะไถเงินของลูกสาวทั้งสองคนนี้

ครอบครัวทั้งสามออกไปกินอาหารเช้ากันข้างนอก จากนั้นก็ส่งลูกสาวไปโรงเรียนอนุบาลก่อน แล้วหยางเฉินก็ส่งฉินซีไปที่บริษัท

ทันทีที่ฉินซีไปถึงบริษัท เลขาของเธอก็เข้ามารายงาน “ประธานฉินคะ ข้างนอกมีคนมาขอพบค่ะ เห็นบอกว่ารู้จักท่านด้วยนะคะ เขามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือในวันนี้ตามนัดค่ะ”

ฉินซีไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยสัญญาจะคุยเรื่องความร่วมมือกับใคร เธอได้แต่ขมวดคิ้วถาม “เขาได้บอกไหมว่าเป็นใครมาจากไหน?”

“หนูถามแล้วค่ะ แต่เขาบอกแค่ว่าเป็นเพื่อนเก่าของท่านประธานค่ะ”

เลขาพูดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดต่อ “แต่ดูแล้วเขายังหนุ่มอยู่นะคะ น่าจะอายุประมาณสามสิบต้นๆ ค่ะ อีกอย่างเขาดูเป็นคนหน้าตาดีด้วยนะคะ”

The King of War

The King of War

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset