“ใช่ขอรับ ข้ามีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับเวทมนตร์พิเศษที่ข้าพัฒนาขึ้นเอง” ลูเซียนยิ้มและพยักหน้าอย่างสบายๆ “ข้าจึงอยากเอามาเขียนงานวิจัยน่ะขอรับ”
“เจ้ารู้จักอาร์คานางั้นหรือ?” อีริคถามตรงๆ เพราะเขาไม่อาจเชื่อว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งเริ่มเรียนอาร์คานาจะมีงานวิจัย ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีพรสวรรค์เพียงใด
ลูเซียนเข้าใจดีว่าทำไมอีริคถึงประหลาดใจเช่นนี้ เนื่องจากในโลกเดิมของเขานั้นไม่มีใครสรุปผลการวิจัยชิ้นสำคัญหลังจากศึกษาวิชานั้นๆ ไปได้แค่เดือนกว่า ลูเซียนจึงอธิบายอย่างนอบน้อม “ข้าไม่อาจถือว่าสิ่งที่ข้าคิดเป็นส่วนหนึ่งของอาร์คานา อันที่จริง ข้าแค่รู้สึกว่ากลไกที่ข้านำไปใช้พัฒนาเวทนี้น่าสนใจ แน่นอนว่า ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วหรือไม่”
ถึงแม้ลูเซียนจะรู้ว่าเขาจำเป็นต้องแสดงพลังและพรสวรรค์สักวันหนึ่งเพื่อให้ได้รับโอกาสมากขึ้นกับกลุ่มหรือองค์กร ในฐานะคนมาใหม่ซึ่งรู้เรื่องสภาน้อยนิด ลูเซียนต้องถ่อมตัวและรอบคอบไว้ก่อน
เมื่อเขาแสดงระดับความรู้เกี่ยวกับที่มีอยู่และความก้าวหน้าของงานวิจัยสาขาต่างๆ ลูเซียนก็ยังต้องการทดลองทางเวทมนตร์ด้วยตนเองเพื่อตรวจสอบว่าความรู้ที่ติดตัวมาจากโลกเดิมให้ผลแบบเดียวกับในโลกนี้ แต่หลังจากนั้น ก็เป็นเวลาที่ลูเซียนจะได้แสดงความสามารถที่แท้จริงของเขา
นอกจากนี้ แน่นอนว่าผลการวิจัยที่ลูเซียนกำลังจะตีพิมพ์ในวันข้างหน้านั้นจะต้องเป็นไปตามระบบวิทยาศาสตร์ มิฉะนั้นพวกนักเวทมากประสบการณ์อาจจะคิดว่าลูเซียนไม่ได้เป็นแค่อัจฉริยะ แต่จริงๆ แล้วคือตัวประหลาดและมนุษย์ต่างดาว! แล้วภัยใหญ่หลวงจะมาถึงตัวลูเซียนแน่นอน ก่อนที่เขาจะมีพลังมากพอไว้ปกป้องตัวเองเสียอีก
เมื่อได้ฟังลูเซียนอธิบาย สีหน้าของอีริคก็ผ่อนคลายเล็กน้อย “อย่างนั้นเอง… แต่สิ่งที่ข้าอยากเตือนเจ้าไว้ก็คือ ถ้าผลการวิจัยของเจ้ามีพื้นฐานจากความเชื่อเวทมนตร์โบราณ ผลจากคณะกรรมการอาจทำให้เจ้าผิดหวังเพราะความเชื่อโบราณเหล่านี้ได้ถูกอาร์คานาล้มล้างแล้ว”
“ลองดูก็ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะขอรับ?” ลูเซียนยิ้ม
“คงงั้น…” อีริคตอบด้วยความสงสัยยิ่งนัก “แล้วเจ้าอยากเสนองานวิจัยเมื่อไหร่ล่ะ?”
“วันนี้เลยก็ได้ขอรับ” ลูเซียนตอบจริงจัง
“อะไรนะ? เจ้ารู้ไหมว่าเราเลิกงานกันหกโมง? ตอนนี้เหลือเวลาแค่แปดสิบนาทีเท่านั้น” อีริครู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหาขอรับ ท่านอีริค” ลูเซียนมั่นใจมาก “ข้าได้เขียนร่างตามรูปแบบของอาร์คานาแล้ว แปดสิบนาทีน่ะพอขอรับ อ้อ ท่านอีริค ข้าขอถามอีกครั้งว่าข้าส่งงานวิจัยไปให้วารสารเองได้ไหม?”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของลูเซียน อีริคก็ยื่นม้วนกระดาษหนังให้เขาแล้วตอบว่า “ได้สิ เมื่อคณะกรรมการตรวจงานวิจัยผ่านแล้ว ผู้เขียนก็ต้องส่งให้วารสารเอง เจ้าต้องเลือกวารสารให้ดีนะ เพราะสภาไม่อนุญาตให้ส่งงานชิ้นเดียวกันไปยังวารสารหลายฉบับ ยิ่งทรงอิทธิพลมากเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น ยังไงก็ตาม เรามาคุยเรื่องนี้กันหลังงานวิจัยผ่านแล้วก็ได้” อีริคจบบทสนทนา “เจ้าเข้าไปในห้องนั้นเลย ข้ามีงานต้องสะสางอีก”
…..
ในห้องประชุมสีฟ้าซึ่งมีวงเวทสองสามวงอยู่รอบ ลูเซียนกำลังง่วนกับการสร้างงานวิจัยชิ้นแรกในโลกนี้
“การใช้คลื่นเสียงในการตรวจจับเวทมนตร์: การทดลองโดยศึกษาการบินของค้างคาว
“ค้างคาว การได้ยิน อวัยวะ คลื่นเสียง การตรวจจับ”
“ตามที่ท่านดักลาสเคยเสนอว่า ในโลกนี้มีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เราไม่ได้สนใจอะไร แต่อันที่จริงแล้ว มีความลับยิ่งใหญ่มากมายซุกซ่อนอยู่หลังปรากฏการณ์เหล่านั้น”
“ทุกคนรู้ว่าค้างคาวสามารถบินและล่าเหยื่อได้อย่างว่องไวในความมืด แต่มีไม่กี่คนที่พยายามค้นหาว่าทำไมพวกมันจึงสามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางยามกลางคืนได้ขณะบินอยู่”
ลูเซียนคุ้นเคยกับรูปแบบนี้ดี ตรงและชัดเจนนั่นคือสิ่งที่ลูเซียนอยากจะทำให้สำเร็จ
เหตุผลที่ลูเซียนตัดสินใจเสนองานวิจัยที่พัฒนาจากเวทระดับฝึกหัด ซึ่งก็คือ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ นั้น ก็เพราะทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของเวทนี้ไม่ต้องอาศัยความรู้อาร์คานาในปัจจุบัน และสามารถใช้แบบแผนของระบบเวทมนตร์โบราณ ซึ่งศึกษาโครงสร้างและพลังของสัตว์เวทหลายชนิดเพื่อสร้างเวทมนตร์ขึ้นมา แต่งานวิจัยของลูเซียนมีสิ่งที่ต่างออกไปเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ เขาศึกษาสัตว์ธรรมดาๆ
เมื่อเทียบกับการยื่นเสนอเวทมนตร์ ประโยชน์จากการเสนองานวิจัยนั้นมีมากกว่าแน่นอน
ถึงแม้ว่าลูเซียนจะไม่ได้ทำการทดลองนี้จริงๆ แต่จากความรู้ของเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสมมติระเบียบวิธีวิจัยและสถิติขึ้นมา
ในงานวิจัย ลูเซียนได้สร้างกลุ่มทดลองที่ต้องควบคุมตัวแปรหลายกลุ่มเพื่อหาคำตอบว่าค้างคาว “มองเห็น” ในที่มืดได้อย่างไร
หลังจากตัดคำตอบที่เป็นไปได้ออก ได้แก่ ตา ปีก และขนของค้างคาว จากการทดลองดังกล่าว ลูเซียนก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย
ในกลุ่มทดลองแบบควบคุมตัวแปรกลุ่มสุดท้ายนี้ ลูเซียนได้ทดลองโดยรบกวนหูและอวัยวะต่างๆ ในจมูกของและปากของค้างคาวที่เขาศึกษา จากการทดลองครั้งนี้ เขากล่าวว่าค้างคาวบินในที่มืดได้ไม่คล่องอีกต่อไป
ดังนั้น ลูเซียนจึงสรุปในตอนท้ายว่าค้างคาวใช้หูรับคลื่นเสียงซึ่งสร้างขึ้นจากอวัยวะในจมูกและปากเพื่อตรวจจับวัตถุเมื่อออกบินในเวลากลางคืน พวกมันไม่ได้ใช้ตาสำหรับมอง
จากการทดลองนี้ ลูเซียนรายงานวิธีที่เขาต่อยอด ‘เวทแกว่งกวัดของโฮมาน’ แล้วสร้างเวทระดับฝึกหัดขึ้นใหม่ คือ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ นั่นเอง
ในตอนท้าย ลูเซียนอธิบายว่าเนื่องจากโครงสร้างอวัยวะของค้างคาวมีความซับซ้อน เขาจึงต้องใช้เยื่อสมองของค้างคาวจริงๆ มาเป็นวัตถุสำหรับร่ายเวทมนตร์
หลังจากตรวจทานงานวิจัยอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ลูเซียนก็วิเคราะห์เวทมนตร์ระดับฝึกหัด คือ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ บนกระดาษหนังอีกแผ่นและอธิบายวิธีการใช้เวท โดยเวทมนตร์นี้เป็นเวทใหม่ที่เขาจะเสนอต่อสภา
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง ลูเซียนก็ลุกขึ้น เขาเหลือบมองนาฬิกาและพบว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขามั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่มีคนทำวิจัยมาก่อนเพราะตอนที่สอนอาร์คานาพื้นฐานให้แอนนิค ไฮดี้ และเลย์เรีย เขาก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบเดียวกันนี้เลย
เมื่อเปิดประตูห้องประชุม ลูเซียนก็เห็นลาร์ซาเดินไปเดินมาอยู่ที่โถงทางเดิน
ได้ยินเสียงประตูเปิด ลาร์ซาก็หันหลังขวับแล้วถามว่า “ท่านอีริคบอกว่าเจ้าเขียนงานวิจัยอยู่ไม่ใช่หรือ?!”
“ใช่ แต่ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่บอกวิธีที่ข้าพัฒนาเวทมนตร์ขึ้นมา” ลูเซียนบอกลาร์ซาอย่างสบายๆ “เมื่อเจ้าพัฒนา ‘เวทฝ่ามือเผาผลาญ’ เจ้าก็จะเขียนงานวิจัยด้วยใช่ไหม?”
“ใช่…” ลาร์ซาตอบลอยๆ “แต่งานวิจัยแบบนี้ แบบเอาสิ่งที่คนอื่นคิดมาพัฒนา มักจะไม่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการนะ ส่วนใหญ่ก็จะได้แค่คะแนนจากเวทมนตร์ใหม่ที่เสนอไปเท่านั้น”
“ข้ารู้ ข้าก็แค่ลองดูน่ะ” ลูเซียนยิ้มพลางยักไหล่
“อืม…” ลาร์ซาพยักหน้า “แต่เดี๋ยวก่อน… เจ้าเพิ่งเริ่มศึกษาอาร์คานานี่ เจ้าพัฒนาเวทมนตร์ได้แล้วหรือ? เป็นไปได้ยังไง?”
“เอาน่า… นักเวทโบราณเองก็ต้องพัฒนาเวทมนตร์ด้วยเหมือนกัน” ลูเซียนตอบ
ลาร์ซาทำเสียง “ฮืม” ยาว และพยักหน้าจริงจัง “งั้น อีวานส์ ข้าขอบอกว่าอย่าไปคาดหวังมากว่าจะได้คะแนนจากงานวิจัยนี้”
ลูเซียนพูดพลางเคาะประตูห้องทำงานของอีริค ลูเซียนกับลาร์ซาเดินเข้าไปในห้องด้วยกันแล้วส่งงานวิจัยให้อีริค
อีริคมองกระดาษหนังแผ่นยาวในมือแล้วพยักหน้า “เจ้าเตรียมตัวมาดีจริงๆ อีวานส์ ว่าแต่ ข้าขอถามได้ไหมว่าเวทมนตร์นี้อยู่ในสำนักไหนกัน?”
“คลื่นเสียงขอรับ” ลูเซียนตอบสั้นและชัดเจน
อีริคม้วนกระดาษหนังทั้งสองแผ่นแบ่งเป็นสองเอกสาร จากนั้นหยิบปากกาขนนกมาเขียนว่า ‘คลื่นเสียง’ บนด้านหนึ่งของม้วนกระดาษ
หลังจากนำม้วนกระดาษทั้งสองม้วนใส่ในกรง อีริคก็ลั่นระฆังอีกครั้ง
บังเกิดแสงสีขาวอาบกรงนั้น และเมื่อแสงจางหาย ม้วนกระดาษทั้งสองก็อันตรธานไป
“อีกประมาณสามสิบนาที เราจะรู้ผล” อีริคนั่งลงตามเดิม “แต่ข้าอยากบอกว่าเจ้าอย่าหวังมากไปนะ อีวานส์”
….
ณ สำนักงานอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง บนชั้นสิบห้าของหอคอย
ระฆังหลายใบส่งเสียงอยู่ในสำนักงานนี้ เมื่อวงเวทที่ซับซ้อนปรากฏขึ้น จู่ๆ ม้วนกระดาษหลายม้วนก็ปรากฏออกมา
ในสำนักงานนี้ไม่มีคนอยู่เลย มีแต่แขนคู่หนึ่งในอากาศกำลังหยิบม้วนกระดาษเหล่านั้น
“เวทธาตุ ส่งให้ท่านราเวนติ ท่านแกสตัน”
“ศาสตร์มืด ส่งให้…”
แขนคู่นั้นเอาเอกสารใส่กลับคืนไปในวงเวทตามเรื่องต่างๆ พลางพูดด้วยเสียงหุ่นกล
ตามกฎสภาเวทมนตร์ สมาชิกของสภาสูงสุดไม่สามารถเข้าร่วมเป็น ‘คณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา’ แต่ตอบรับคำเชิญเป็นที่ปรึกษาพิเศษหากงานวิจัยอยู่เหนือความรู้ของคณะกรรมการได้
สำหรับงานวิจัยทั่วไป โดยปกติจะมีกรรมการสองคนตรวจสอบและตัดสินแยกกัน และจะเขียนคะแนนเฉลี่ยลงไป ถ้ามีข้อขัดแย้ง ก็จะมีกรรมการคนที่สาม แต่ถ้าปัญหายังไม่จบ ก็จะมีการจัดประชุมเล็กๆ ขึ้น
“‘เวทคลื่นเสียง’… ส่งไปที่ ‘สำนักงานแลกเปลี่ยนเวทมนตร์’ ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือเวทมนตร์ใหม่จริงๆ แล้วค่อยส่งไปให้ท่านการ์ฟีลด์กับท่านเจฟฟรีย์”
“งานวิจัยจากเวทมนตร์อย่างเดียวกัน… งั้นส่งไปให้ท่านการ์ฟีลด์กับท่านเจฟฟรีย์เลยละกัน”
แล้วก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นในสำนักงานนั้น
……………………………………………