Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – ตอนที่ 74 คำขอของเฟลิเซีย

ลูเซียนมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังและเห็นว่ารถม้าจากบ้านของเฟลิเซียแล่นผ่านรั้วคฤหาสน์เข้าไปข้างใน และรอบกายทั้งสองก็ว่างเปล่าเงียบงัน เขาจึงส่งสัญญาณบอกให้ทั้งสองเข้าไปในสวนหน้าคฤหาสน์สามชั้นที่อยู่หลังรั้วนี้

“เฟลิเซีย ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง” สีหน้าลูเซียนนั้นทั้งจริงจังและเคร่งขรึม

เฟลิเซียย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “เรื่องอะไรงั้นหรือ แต่ข้าไม่ขอรับรองว่าจะช่วยเจ้าได้นะ บิดาข้าเป็นเพียงอาลักษณ์อยู่ในศาลาว่าการ และลุงกับแฮร์ริงตัน ลูกพี่ลูกน้องข้าก็ไม่เคยชอบครอบครัวเราเลย”

หากลูเซียนมาเอ่ยขอร้องก่อนวันแสดงคอนเสิร์ต เฟลิเซียคงจะปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด แต่หลังจากที่การเตรียมการและการแสดงคอนเสิร์ตประสบความสำเร็จอย่างมาก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงเปลี่ยนไปจากเพื่อนร่วมชั้นที่มักเย็นชาใส่กันเป็นสหาย นอกจากนี้แล้วความสามารถทางด้านดนตรีของลูเซียนก็เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคนแล้ว ความก้าวหน้าทางด้านดนตรีในอนาคตนั้นสามารถจินตนาการได้เลย ดังนั้นเฟลิเซียที่อยากจะเดินไปบนเส้นทางดนตรี จึงอยากจะรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรนี้กับลูเซียนต่อไปโดยไม่รู้ตัว

ในฐานะปุถุชนธรรมดาผู้หนึ่ง เฟลิเซียมิอาจปฏิเสธได้ว่านางแอบอิจฉาลูเซียนอยู่ในใจ แต่เพียงนางได้ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย ตัดสินแยกแยะข้อดีกับข้อด้อย และคิดถึงอนาคตของตนแล้ว เพราะนางได้รับการเลี้ยงดูมาแบบให้คิดวิเคราะห์ ประกอบกับที่บิดาของเฟลิเซียล้มเหลวในการครอบครองฐานันดรศักดิ์ ดังนั้นเฟลิเซียจึงไม่ถูกอำนาจมหาศาลและชีวิตหรูหราจอมปลอมกลืนกิน และไม่ทำตัวยโสโอหัง ดื้อรั้น และใจร้อนอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “ข้ามีเพื่อนสนิทชื่อจอห์น เขาเป็นอัศวินฝึกหัดในสังกัดของลอร์ดเวนน์ และตอนนี้ก็ได้เป็นอัศวินฝึกหัดระดับสูงที่สามารถกระตุ้นพรในสายเลือดได้แล้ว นับตั้งแต่ที่พระผู้เป็นเจ้าเรียกตัวบิดาข้าไป ข้าก็ได้รับการดูแลจากครอบครัวของเขามาตลอด เมื่อก่อน ตอนที่ข้าไม่มีความสามารถและเงิน ข้าทำได้เพียงสำนึกในบุญคุณ แต่ในเมื่อคอนเสิร์ตคืนก่อนประสบความสำเร็จ ทำให้ข้าได้รับเงินมาสามสิบสามธาเล มันเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ทำเอาเมื่อคืนข้าแทบนอนไม่หลับเลย หลังจากครุ่นคิดมานาน ข้าก็ตัดสินใจจะตอบแทนพวกเขา มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีหน้าไปพบพระเจ้าผู้เมตตาและตนเองได้”

เฟลิเซียเข้าใจถึงสิ่งที่ลูเซียนต้องการจะสื่อและไม่นึกสงสัยในเหตุผลของเขา “เจ้าอยากจะซื้อกุหลาบแสงจันทร์ผ่านทางข้าเพื่อช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการกระตุ้นพรในสายเลือดให้เพื่อนสนิทของเจ้าใช่หรือไม่”

เมื่อเห็นสีหน้าของเฟลิเซีย ลูเซียนจึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ใช่ นี่คือการตอบแทนที่ดีที่สุดที่ข้าจะทำได้”

“ลูเซียน นิสัยของเจ้าทำให้ข้าชื่นชมและนึกชอบจริงๆ คงเป็นเรื่องดีและไม่น่ากังวลที่ข้าจะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเจ้าเพื่อคอยเตือนไม่ให้ลืมคุณงามความดีของผู้อื่น” เห็นได้ชัดว่าเฟลิเซียชื่นชอบนิสัยที่ลูเซียนแสดงออกมาอย่างยิ่ง

นางคงไม่มีทางชื่นชมนิสัยของเขาถึงเพียงนี้หากได้รู้เพียงเรื่องนี้ แต่เมื่อรวมกับการที่ลูเซียนได้ช่วยเหลือวิกเตอร์ นางจึงมั่นใจว่านี่คือนิสัยที่แท้จริงของเขา

ทว่า หลังจากเอ่ยชื่นชม เฟลิเซียก็กล่าวต่อด้วยท่าทางจริงจัง “กุหลาบแสงจันทร์เป็นเพียงตัวช่วยในการปลุกพรในสายเลือด สิ่งสำคัญที่สุดแท้จริงแล้วคือความมุ่งมั่นและพลังของคนผู้นั้น เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าการจะปลุกพรในแต่ละครั้งต้องใช้ผงแสงจันทร์กับวัตถุดิบอื่นๆ ถึงห้าสิบกรัม และชนชั้นขุนนางที่ล้มเหลวสามครั้งนั้นเท่ากับอัศวินที่ล้มเหลวถึงสิบครั้งติดต่อกัน หากว่าเพื่อนสนิทของเจ้ามีความสามารถในการปลุกพรในสายเลือด ลอร์ดเวนน์ย่อมต้องมองเห็น และย่อมมอบผงกุหลาบแสงจันทร์ให้เขาจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เจ้าสามารถใช้เงินส่วนนี้ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ได้นะ ลูเซียน เจ้าอยากจะซื้อผงแสงจันทร์ให้กับเขาจริงๆ หรือ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ในใจนางก็พลันวูบโหวง เพราะนางก็เป็นหนึ่งในชนชั้นขุนนางที่ล้มเหลว

แม้ว่าเฟลิเซียจะถามเช่นนั้น แต่ลูเซียนก็ไม่ได้ยินน้ำเสียงที่แสดงถึงอาการคัดค้านไม่ช่วยซื้อผงกุหลาบแสงจันทร์ให้ จึงกล่าวตอบด้วยความซาบซึ้ง “ข้าได้หาข้อมูลมาบ้างแล้วว่าการปลุกพรจะต้องใช้ผงกุหลาบแสงจันทร์อย่างน้อยสิบกรัม แต่ข้าสามารถเตรียมเผื่อไว้ จอห์นดูท่าจะประสบความสำเร็จในการปลุกพลังที่หลับใหล ดังนั้นแม้ว่าจะหามาได้เพียงน้อยนิด แต่ข้าก็จะขอสู้สุดชีวิตเพื่อให้ได้มันมา”

เฟลิเซียหลุดหัวเราะ ลูเซียนคิดในใจว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่านางดูสดใสและงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ไม่แปลกเลย ลูเซียน ที่เจ้าสามารถประพันธ์ซิมโฟนีแห่งโชคชะตาที่แสดงถึงความไม่ยอมแพ้ได้ เอาล่ะ เจ้าต้องการจะซื้อกี่กรัมกันเล่า”

“ห้าสิบกรัม” ลูเซียนประเมินทุนทรัพย์ของตนมาแล้วจึงตอบออกไปอย่างไม่ลังเล เขาจำเป็นต้องทดลองสองสามครั้งก่อนจะมั่นใจว่าตนจะปรุง ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ ให้สำเร็จได้ เขาดีใจเหลือเกินที่เอ่ยปากขอร้องกับเฟลิเซีย และซาบซึ้งที่นางไม่คิดถามอะไรเลยสักนิด

ริมฝีปากอวบอิ่มของเฟลิเซียเผยอออก “มากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ด้วยสถานะของครอบครัวข้า ข้าสามารถหาซื้อได้เพียงสิบกรัมเท่านั้น!”

แม้ว่าครอบครัวของเฟลิเซียจะมีสายเลือดใกล้ชิดกับเอิร์ลเฮย์นที่สุด ความสัมพันธ์และฐานะระหว่างพวกเขากลับย่ำแย่ หากไม่ใช่ว่าเอิร์ลคนก่อนได้จัดแจงแบ่งมรดกไว้แล้ว บิดาของเฟลิเซียก็อาจสิ้นเนื้อประดาตัวไปแล้ว

“เฟลิเซีย เจ้าช่วยหาซื้อให้ได้มากที่สุดได้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่ากุหลาบแสงจันทร์สามารถพัฒนาทักษะการประสานงานของร่างกาย ทักษะการเล่นเปียโนของข้าจะได้พัฒนาขึ้นเร็วกว่านี้ ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ของเจ้าไว้แน่” ลูเซียนบอกอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาสร้างขึ้นเอง และพยายามแสดงแววตาจริงใจยิ่งขึ้น กุหลาบแสงจันทร์มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มพูนพลังขึ้นจริงๆ แต่ที่ว่าช่วยพัฒนาการประสานงานของร่างกายนั้นยังไม่มีผู้ใดแน่ใจ มีเพียงข่าวลือและคำกล่าวอ้างเป็นกรณีๆ ไป

เฟลิเซียประสานมือแล้วบิดไปมาอย่างที่เคยชิน พร้อมกับที่ความคิดมากมายแล่นวูบเข้ามาในใจ ในฐานะสหาย นางสามารถมอบผงกุหลาบแสงจันทร์สิบกรัมให้ได้ แต่ลูเซียนกลับต้องการมากกว่านั้น เช่นนั้นเฟลิเซียจึงต้องพิจารณาว่าเขาจะมีอนาคตอันรุ่งโรจน์และมีผลประโยชน์ที่จะนำมาให้มากเพียงใด เพราะการจะหาสิ่งนี้มาครอบครองนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายมหาศาล ก็เหมือนกับเวลาที่ขุนนางผู้หนึ่งสนับสนุนหรือลงทุนให้กับนักดนตรี นางจำเป็นต้องช่างน้ำหนักระหว่างผลได้และผลเสีย

ลูเซียนไม่ได้เร่งเร้าอะไร ปล่อยให้เฟลิเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นเฟลิเซียก็จ้องมองลูเซียนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสามารถขอร้องพ่อข้าให้ซื้อผงแสงจันทร์มาอีกสิบกรัม และขอให้อีเว็ตต์กับเมลิซซาจากตระกูลราฟาติช่วยซื้ออีกคนละสิบกรัม รวมกับของข้าเป็นสี่สิบกรัม ข้าหาได้เพียงเท่านี้ และลูเซียน เจ้าจะต้องตอบแทนข้าด้วย”

แม้ว่าเฟลิเซียจะไม่ได้เป็นอัศวินและครอบครัวของนางก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไร แต่ด้วยฐานะสมาชิกคนหนึ่งของวงสังคมชั้นสูงและเป็นสมาชิกของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ หากนางต้องการจริงๆ ก็สามารถใช้เส้นสายที่มีได้ นี่คือประโยชน์ของการอยู่ในวงสังคม!

“สี่สิบกรัม…อืม สี่สิบก็ได้ เฟลิเซีย เจ้าต้องการให้ข้าทำอันใดเช่นนั้นหรือ” ลูเซียนไม่คิดมาก เพราะนี่ก็ถือว่ามากกว่าที่เขาต้องใช้สามสิบกรัมแล้ว

เฟลิเซียแย้มยิ้มร่าเริง “คำขอของข้านั้นง่ายมาก โดยเฉพาะสำหรับเจ้าแล้ว พ่อนักดนตรีอัจฉริยะ อย่างแรกก็คือ เจ้าต้องจ่ายค่าผงแสงจันทร์ล่วงหน้า อย่างที่สองคือ ข้าหวังว่าเจ้าจะเล่นเพลงสักสองสามเพลงได้อย่างคล่องแคล่วเร็วๆ งานเลี้ยงวันเกิดข้าจะจัดขึ้นเดือนหน้า ข้าอยากจะเชิญอัจฉริยะทางด้านดนตรีเช่นเจ้ามาแสดงในงาน อย่างที่สามคือ ข้าอยากให้เจ้าสอนข้าเล่นเปียโน ประพันธ์บทเพลง แบ่งปันประสบการณ์ของเจ้า แบะหากว่าข้าสามารถประพันธ์บทเพลงดีๆ ได้ในอนาคต ข้าก็หวังว่ามันจะได้นำขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตของเจ้า หรือไม่เจ้าก็แนะนำบทเพลงของข้าให้กับเจ้าฟ้าหญิงกับนักดนตรีคนอื่นๆ และเขียนวิจารณ์เกี่ยวกับมันก็ได้”

เฟลิเซียเล่นฟลูตได้คล่องแคล่วแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินว่าเจ้าหญิงชื่นชอบเปียโน นางจึงพร้อมจะเรียนเครื่องดนตรีชิ้นใหม่ และจากคำขอทั้งหมดนี้ ข้อที่สามนั้นถือว่าสำคัญที่สุด เมื่อไหร่ก็ตามที่เครื่องดนตรีชิ้นใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นหรือมีกระแสใหม่เกี่ยวกับดนตรี มันมักจะเป็นช่วงเวลาที่นักดนตรีได้รับแรงบันดาลสูงสุด เฟลิเซียหวังว่าการชี้นำจากทั้งวิกเตอร์และลูเซียนจะช่วยให้นางพัฒนาได้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถในการเปลี่ยนแรงบันดาลใจนี้เป็นเสียงเพลง นี่ก็เพื่อฉวยโอกาสแสนหายากเอาไว้

ในเมื่อนางไม่มั่นใจว่าจะสามารถเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงของวิกเตอร์ได้ จึงหันหน้ามาพึ่งพิงลูเซียน เพื่อนร่วมชั้นผู้มีอัจฉริยภาพและเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าหญิง

“ได้ ขอข้าสาบานในนามของพระผู้เป็นเจ้า” เมื่อได้ยินคำขอเหล่านี้ ลูเซียนก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล เพราะการหาผงแสงจันทร์มาให้ได้นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ลอบคิดในใจว่า ‘ตราบใดที่ฉันยังไม่ไปจากเมืองอัลโต้ล่ะนะ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะจากไป ฉันก็จะทำอย่างอื่นเพื่อชดเชยอยู่ดี’

ด้วยมั่นใจในนิสัยของลูเซีย เฟลิเซียจึงพยักหน้า “ทั้งหมดคือสี่สิบนาร์ ขอเวลาข้าสองวัน”

“สองวัน…ได้สิ เช่นนั้น เฟลิเซีย ข้าขอให้เจ้าทำสำเร็จด้วยดีภายในสองวันนี้ และนี่สามสิบธาเล ที่เหลืออีกสิบข้าจะหามาคืนเจ้าภายในห้าเดือนนะ เจ้าก็รู้ว่าข้าได้งานเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าฟ้าหญิง” ลูเซียนรู้สึกอับอายเล็กน้อย

งานนี้เป็นงานที่ได้ผลตอบแทนดีมาก เฟลิเซียจึงเชื่อใจและปล่อยมือที่บิดกันไปมา “เช่นนั้นข้าจะใช้เงินเก็บของข้าช่วยเอง เจ้าอย่าปล่อยให้ข้าหมดตัวเล่า ลูเซียน”

ถุงเงินตุงๆ กลายเป็นลีบแบนในทันที ในนั้นเหลือเพียงสามธาเลและอีกไม่กี่นาร์กับเศษเฟลล์ แต่ลูเซียนกลับถอนหายใจยาว ไม่ใช่ด้วยรู้สึกเสียดาย แต่ตื่นเต้นมากกว่า

อย่างไรเสีย การหาซื้อผงกุหลาบแสงจันทร์มาได้ก็นับเป็นเรื่องดีที่สุด!

หากว่าลูเซียนไม่ได้เข้าสู่วงการดนตรีและได้พบเจอกับเฟลิเซียและคนอื่นๆ ที่ถือเป็นชายขอบชนชั้นสูง ก็เกรงว่าเขาคงต้องไปตลาดมืดหรือไปร่วมการชุมนุมลับของเหล่าผู้ฝึกใช้มนตราเพื่อพยายามหาซื้อมันมา และระดับความเสี่ยงก็สูงกว่าโข

หลังจากกล่าวลาเฟลิเซีย ลูเซียนก็แวะไปซื้อขนมปังดำคุณภาพดีมาสองชิ้นกับเนื้อวัวและหัวมัน ก่อนจะกลับไปที่กระท่อมของตน

การทำอาหารและกินทำให้ลูเซียนสงบจิตใจลง หลังจากข่มกลั้นความร้อนรนและความกระตือรือร้นได้ ลูเซียนก็ปิดหน้าต่างกับประตูไม้ คว้าซองกระดาษออกมาจากกล่อง แล้วเปิดจดหมายออก

“เจ้าไปหาเฟลิเซีย เพื่อนร่วมชั้นที่เขตขุนนางเพื่อเหตุใด อย่าคิดว่าเจ้าจะปิดบังสายตาของเราได้ เจ้าอยู่ในสวนนั้นถึงยี่สิบนาที อีวานส์ โปรดอย่าทำเรื่องโง่ๆ!”

หลังจากเปิดจดหมายออก ถ้อยคำก็ปรากฏขึ้นเป็นแนวแถวตามที่ลูเซียนคาดการณ์ไว้

ลูเซียนลอบยิ้มเยาะในใจ ‘ดูเหมือนว่าแทนที่จะใช้วิธีทางเวทมนตร์กับฉัน พวกมันกลับติดตามด้วยวิธีอื่น คงกลัวจะถูกวงแหวนเวทในพระราชวังราเตเชียตรวจพบแน่ๆ’

หากเป็นผู้อื่นคงคิดไม่ถึงแง่นี้ แต่ลูเซียนนั้นถือเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจในพลังเหนือธรรมชาติ

ลูเซียนตอบกลับไปอย่างซื่อตรง “ข้าไปขอให้เฟลิเซียช่วยซื้อผงกุหลาบแสงจันทร์ให้ ในเมื่อลุงโจเอลกับครอบครัวถูกพวกเจ้าลักพาตัวไป ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงจอห์นที่ข้าจะดูแลได้”

“ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากจะเพิ่มพลังให้กับจอห์นเพื่อมาต่อกรกับพวกข้าสินะ ฮ่าๆ หากพรในสายเลือดสามารถปลุกได้ง่ายๆ จำนวนอัศวินคงไม่น้อยนิดถึงเพียงนี้ อีวานส์ ความบุ่มบ่ามและความโง่เขลาของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจยิ่ง แม้ว่าผงกุหลาบแสงจันทร์จะไม่มีผลอะไรกับทางเรา แต่เพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าจะได้รับนิ้วของอะลิซ่าในวันพรุ่งนี้ด้วย”

นั่นคือประโยคที่ปรากฏขึ้นมาใหม่

ลูเซียนกล่าวในใจด้วยความเกลียดชังจนอยากฆ่าให้ตาย ‘ไอ้เลว!’

แน่นอนว่า อาจเพราะ ‘ความซื่อตรง’ ของลูเซียน ผลลัพธ์จึงไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่คิดไว้

ลูเซียนสบถขณะจับปากกาขนนกด้วยความนิ่งสงบ คัดลอกประโยคเหล่านี้ลงบนด้านหลังกระดาษโน้ตเก่าๆ ความเกลียดชังที่แผดเผาอยู่ในอกลูเซียนนั้นเป็นดั่งเปลวไฟ ในขณะที่สมองสั่งการอย่างเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง การผสมผสานระหว่างสองสิ่งที่แสนขัดแย้งนี้หล่อหลอมเป็นลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของเขา

ลูเซียนกำลังทดสอบว่าอีกฝ่ายสามารถ ‘มองเห็น’ สิ่งที่เขาทำอยู่หรือไม่!

หากไม่ทำการทดสอบนี้เสียก่อน ลูเซียนจะกล้าลงไปยังห้องทำลองเพื่อปรุง ‘น้ำยาวิญญาณครวญ’ ได้อย่างไร!

……………………………………….

Throne of Magical Arcana

Throne of Magical Arcana

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’ ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset