ขณะที่ลูเซียนคัดลอกด้วยท่าทางเยือกเย็น จู่ๆ ตัวหนังสือสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นกระดาษสีขาว ราวกับหยาดโลหิตที่ไหลริน ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว
“หยุดทำสิ่งที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นท่านจะได้รับศพแทน!”
ลูเซียนสะดุ้งโหยงจนทำปากกาขนนกตกบนโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ข้าเพียง ข้าเพียงอยากจะจดคำขอของเจ้าเพื่อจะได้ไม่ลืม”
“ข้ออ้างของเจ้าช่างน่าขัน อีวานส์ จงหยุดการกระทำโง่เขลานี้เสีย นี่คือโอกาสสุดท้าย หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีก ก็รอรับศพของโจเอลได้เลย และแน่นอนว่าพรุ่งนี้ท่านจะได้รับอีกหนึ่งนิ้วของเขาเป็นการเตือน!”
ลูเซียนรู้สึกเจ็บใจและโทษตัวเอง แต่เขาไม่ยอมให้ความรู้สึกเหล่านี้ส่งผลใดๆ ต่อตัวเอง นับแต่ที่ตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือกับพวกลัทธินอกรีตแล้วมองหาโอกาสในการช่วยเหลือตัวประกัน ลูเซียนก็เตรียมใจถึงอันตรายที่โจเอล อะลิซ่า และไอเวินอาจต้องเผชิญมาแล้ว การไปช่วยพวกเขาจากผู้ที่ลักพาตัวไปไม่ใช่การเชื้อเชิญแขกมาร่วมกินมื้อค่ำ ไม่ใช่เพื่อมาร่วมงานสังสรรค์ ไม่ใช่เพื่อมาค้างคืน หากไม่จำใส่ใจเอาไว้ว่ามันมีค่าตอบแทน เขาก็จะทำไม่สำเร็จอย่างแน่นอน
“ก็ได้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ ข้าจะทำตัวดี” ลูเซียนฉีกกระดาษที่คัดลอกถ้อยคำจากจดหมายออกเป็นชิ้นๆ
‘มันมองเห็นฉัน เป็นเพราะจดหมายเวทมนตร์ฉบับนี้ หรือว่ามีเครื่องมืออื่นกันนะ คงต้องลองทดสอบในครั้งหน้า แต่ฉันจะต้องไม่รีบร้อน อีกฝ่ายจะได้ไม่เห็นว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่’
เมื่อเห็นว่าจดหมายไม่มีข้อความใดปรากฏขึ้นมาอีก ลูเซียนจึงเก็บมันไว้ไกลๆ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าทางลนลานหวาดกลัว พลางเก็บงำพลังจิตเอาไว้ แล้วใช้เพียงสัมผัสเลือนรางของตนตรวจสอบดูว่ามีเบาะแสอะไรที่บ่งชี้ถึงพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ ในกระท่อมหรือไม่
ณ เวลานี้ เขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์เพื่อตรวจสอบได้ เพราะมันคงจบเห่หากถูกอีกฝ่ายจับได้
ลูเซียนรู้ดีว่าที่เขาสามารถตรวจจับถึงบางอย่างได้จนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเฉลียวฉลาดกว่าพวกลัทธินอกรีต แต่เป็นเพราะพวกมันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขา ข้อได้เปรียบนี้จะสูญเปล่าหากว่าเขาทำเรื่องโง่เขลาเพราะความรีบร้อน
นอกจากจดหมายที่เก็บไว้ในลังไม้แล้ว ก็ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติหรือตัวบ่งชี้ใดๆ อีกในกระท่อม
…
ช่วงเที่ยงวันที่ดูสงบเงียบ ลูเซียนนำถุงเงินที่ลีบแบนติดตัวไปยังเขตเกซูเพื่อหาบ้านหมายเลข 116
ที่ตั้งของตัวบ้านดูดีกว่าที่ลูเซียนคิดไว้มาก มันอยู่ติดกับกำแพง ห่างไกลจากประตูเมือง และตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากชุมชน มีเพียงบ้านสองชั้นไม่กี่หลังที่ดูไร้การซ่อมแซมตั้งเรียงรายไปตามถนนและซ่อนตัวอยู่หลังร่มเงาของต้นไม้ข้างถนน
ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาราวกับร่มนี้มีขื่อว่าต้นราวา เป็นต้นไม้เนื้อหนาสูงใหญ่ออกใบหนาแน่น มันตั้งล้อมรอบบ้านสองชั้นหลังนี้ ใบสีเหลืองทองของมันเต้นระบำไปกับสายลม ดูงดงามราวกับบทกวี ทั้งยังทำให้ตัวบ้านดูสันโดษและเงียบสงบ
ลูเซียนที่พอใจกับสภาพแวดล้อมนี้อย่างยิ่ง เดินตรงไปทางรั้วเหล็กแล้วเคาะอย่างแรง เจ้าหน้าที่จากสมาคมที่ดูแลเรื่องเช่าบ้านควรจะมาถึงแล้วตามที่นัดกันไว้เมื่อเช้านี้
และเป็นเช่นนั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะรั้ว ชายในวัยสามสิบกว่าๆ ก็ออกมาจากบ้านสองชั้นสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยเถาไม้ หนวดเคราของเขาตัดเล็มมาอย่างประณีตและสวมชุดสูทสีน้ำตาล ท่าทางดูฉลาดหลักแหลม
“สวัสดีขอรับ ท่านอีวานส์ ข้าชื่อไบรอัน ข้าจะพาท่านชมรอบๆ บ้านเองขอรับ” ลูเซียนที่มีภาพวาดสีน้ำมันอยู่บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ ‘ดนตรีวิพากษ์’ และ ข่าวสาร‘ซิมโฟนี’ ในวันนี้กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในสมาคม ดังนั้น ไบรอันที่เคยไปห้องสมุดเพื่อยืมหนังสือจึงจำลูเซียนได้ในทันที
เมื่อเขาเปิดประตูรั้วเหล็กและเห็นว่าลูเซียนยื่นมือขวาออกมา เขาก็รีบทักทายตอบด้วยการจับมือขวาของลูเซียนแล้วเขย่าเบาๆ ด้วยท่าทางเคารพนับถืออย่างยิ่ง
ในฐานะสามัญชนที่สามารถทำงานในส่วนการจัดการเช่าบ้านให้กับ ‘กองงานภายใน’ ของสมาคมนักดนตรีที่ได้รับผลตอบแทนสูงและเอื้อประโยชน์ส่วนตนอย่างยิ่ง ไบรอันจึงได้พึ่งพาความฉลาดหลักแหลมและความใส่ใจของตนมาโดยตลอด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักดนตรีที่ดูจะมีอนาคตไกลอย่างลูเซียน เขาจะโง่เขลาถึงขั้นแสดงท่าทางหยิ่งยโสออกมาได้อย่างไร อย่างไรเสียทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน
ภายใต้การนำทางของไบรอัน ลูเซียนเดินไปรอบๆ บ้านและพบว่าสวนด้านหน้ากับด้านหลังที่เป็นแบบนอกชายบ้านสำหรับรวมตัวกันสังสรรค์นั้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่การตกแต่งภายในบ้านกลับดูสะอาดสะอ้าน ประณีตและงดงามเหนือความคาดหมาย เพาะแทนที่จะประดับตกแต่งตามแบบ ‘พระราชวังเทรีย’ ที่เน้นความหรูหรา งดงาม และความซับซ้อนที่คล้ายกับสไตล์บารอกซึ่งเป็นกระแสหลักมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา บ้านหลังนี้กลับตกแต่งด้วยสไตล์ที่ดูสง่างามเป็นเอกลักษณ์ ห้องโถงกว้าง เครื่องประดับตกแต่งและรูปปั้นดูเรียบง่ายให้ความรู้สึกสดชื่น
ข้อเสียของบ้านหลังนี้คือ กำแพงเมืองกับต้นราวาที่สูงใหญ่เกินไป เพราะมันทำให้บ้านทั้งหลังแทบไม่มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามา ทำให้การตกแต่งสไตล์สดใสชวนสดชื่นดูทึบทึม โดยเฉพาะเถาวัลย์ไม้ที่เกาะเกี่ยวนอกตัวบ้าน
“ท่านอีวานส์ขอรับ รอบๆ บ้านหลังนี้เงียบสงบมาก และไม่ค่อยมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาให้แสบตา เป็นที่ที่เหมาะแก่การประพันธ์บทเพลงอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าท่านพอใจหรือไม่ขอรับ” ไบรอันพยายามพูดให้ข้อด้อยเหล่านี้ให้เป็นข้อดี นั่นก็เพราะแสงสว่างที่มีน้อยนิดทำให้นักดนตรีหลายท่านไม่คิดอยากเช่าบ้านหลังนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนนับแต่ที่เจ้าของมอบให้ทางสมาคมดูแล
ลูเซียนไม่เดือดร้อนเรื่องความมืด เพราะมันหมายความว่ายามราตรีจะยิ่งมืดมิดกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านนำสัญญาเช่ามาให้ข้าได้เลยขอรับ”
ไบรอันพยายามกลั้นยิ้ม พลางหยิบสัญญาเช่าออกมาจากกระเป๋าถือทำจากหนังสัตว์แล้วยื่นให้ลูเซียน ทันทีที่บ้านหลังนี้ปล่อยเช่าได้สำเร็จ นอกจากค่านายหน้าที่จะได้รับแล้ว ส่วนต่างจากค่าใช้จ่ายสำหรับสาวใช้ที่เขาเป็นผู้จัดหามาทำความสะอาดและทำให้บ้านหลังนี้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจะเป็นของเขาด้วยเช่นกัน
ลูเซียนกวาดสายตาอ่านสัญญาเช่าแล้วไม่พบอะไรผิดปกติก็หยิบปากกาขนนกของไบรอันออกมาลงชื่อ ก่อนจะหยิบเหรียญทองออกมาหนึ่งธาเลเพื่อมอบให้อีกฝ่าย โชคดีที่สถานะนักดนตรีอนาคตไกลทำให้เขาไม่ต้องจ่ายเงินมัดจำหรือต้องจ่ายล่วงหน้าสามเดือนเพื่อเช่าบ้านในเขตเกซู
ไบรอันเขียนใบเสร็จอย่างรวดเร็ว เก็บสัญญากลับไป จากนั้นจึงถามพร้อมแย้มยิ้มกว้าง “ท่านอีวานส์ขอรับ บ้านหลังนี้ค่อนข้างใหญ่จึงจำเป็นต้องมีพ่อบ้านหนึ่งคน คนรับใช้สักสี่ แม่ครัว คนสวน และรถม้าสักคันพร้อมกับคนขับ ข้าช่วยท่านหาคนจากสมาคมที่เกี่ยวข้องได้นะขอรับ”
“ข้าอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านพาพวกเขามาที่นี่ในสัปดาห์หน้าเพื่อให้ข้าเลือกก็แล้วกัน” ลูเซียนคิดถึงเรื่องนี้แล้วยอมรับข้อเสนอของไบรอัน แต่เลื่อนเวลาออกไปหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการช่วยตัวประกัน เขาจำเป็นต้องไม่วอกแวกหรือเสียสมาธิ
หลังจากมอบกุญแจให้กับลูเซียน ไบรอันก็จากไปทันที ในขณะที่ลูเซียนยืนเงียบอยู่กลางห้องโถงยามเที่ยงวัน เฝ้ามองบันไดที่พาขึ้นไปยังชั้นสอง
บนชั้นสองมีห้องนอนทั้งหมดสี่ห้อง ห้องทำงาน ห้องดนตรี และระเบียงเล็กๆ ส่วนชั้นหนึ่งมีห้องโถง ห้องอาหารและสี่ห้องสำหรับคนรับใช้ ห้องเก็บของ และห้องใต้ดิน ส่วนห้องครัวนั้นแยกออกไปเป็นกระท่อมด้านนอก สามารถออกไปที่นั่นผ่านทางประตูเล็กๆ ด้านซ้ายของตัวบ้าน และที่นี่ยังมีท่อน้ำเสียที่สร้างมาอย่างดี เชื่อมต่อกับระบบท่อน้ำเสียของนครอัลโต้อีกด้วย
การได้มาอยู่ในเขตใหญ่ๆ และบ้านที่ประดับตกแต่งงดงามถึงเพียงนี้ควรจะนำความตื่นเต้นมาให้ลูเซียนผู้ดิ้นรนที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทว่าตอนนี้ลูเซียนกลับมองสิ่งเหล่านี้แล้วทำได้เพียงสะกดกลั้นโทสะและความฉุนเฉียวเอาไว้ภายใน
หลังจากยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ ลูเซียนก็รีบกลับไปที่กระท่อมในเขตอาเดรอน จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าบางส่วนกลับไปยังบ้านหลังใหม่
เมื่อวางเสื้อผ้าไว้ในห้องนอนหลักบนชั้นสองแล้ว ลูเซียนก็เดินไปยังห้องดนตรีที่เงียบที่สุดในบ้าน ผนังห้องเป็นผนังแบบเดียวกับห้องดนตรีของวิกเตอร์ที่สร้างขึ้นด้วยหินชนิดพิเศษและสามารถกันเสียงออกไปจากห้องและจะสะท้อนเสียงภายในห้องอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่รบกวนผู้อื่น
หลังปิดประตูห้องดนตรี ภายในห้องก็บังเกิดความเงียบงันและสงบนิ่งอย่างที่มิอาจอธิบายได้ นอกเหนือจากเสียงฝีเท้าของลูเซียนแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เขาดึงผ้าม่านปิดด้วยเช่นนั้น จากนั้นลูเซียนก็นั่งลงบนเก้าอี้โยกในห้องดนตรี ค่อยๆ โยกมันท่ามกลางความมืด พลางเพ่งสมาธิไปยังพลังจิตของตนแล้วสำรวจรอบกายโดยไม่แสดงท่าทางผิดแผกอันใด
ที่นี่ไม่มีจดหมายที่สร้างด้วยเวทมนตร์อยู่!
‘พวกมันจะสังเกตการณ์ฉันอย่างไรกันนะ’
ท่ามกลางความเงียบสงัด ลูเซียนคล้ายกับคนที่ผล็อยหลับไป ทว่าพลังจิตของเขากลับแผ่ไปทั่วทั้งห้อง
ทันใดนั้น พลังเหนือธรรมชาติที่ผันผวนเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้น
ลูเซียนไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงเงี่ยหูฟังเสียงหึ่งๆ แผ่วเบานั้น
‘พวกมันจับตามองผ่าน “ยุงลายเสืออัลโต้” งั้นหรือ มันเป็นเวทมนตร์สอดแนมชนิดหนึ่งหรือเปล่านะ’ ลูเซียนครุ่นคิดอยู่ในใจขณะแสดงท่าทางเหมือนกำลังหลับ แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าพวกลัทธินอกรีตใช้วิธีใด เป้าหมายของการทดสอบนี้ก็สำเร็จลุล่วงแล้ว กระดาษจดหมายนั้นคือสิ่งที่ฝ่ายลัทธินอกรีตใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารและสิ่งที่ใช้จับตามองเขา แต่หากเขาอยู่ห่างไกลจากจดหมาย ฝ่ายนั้นก็จะต้องใช้วิธีอื่นในการสังเกตการณ์และติดตามเขา
เมื่อไม่มีความต่างระหว่างพลัง ลูเซียนที่เตรียมตัวมาดีจึงค้นพบแหล่งพลังเหนือธรรมชาติที่ผันผวนได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าอีกฝ่ายไม่เคยคิดว่าลูเซียนจะเป็นผู้ฝึกใช้มนตรา
ลูเซียนไม่ได้เปิดเผยวิธีการของอีกฝ่าย เพราะการรับมือกับสิ่งที่รู้จักและคุ้นเคยดีถือเป็นเรื่องง่ายที่สุด เหตุใดเขาจึงจะต้องทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนวิธีไปกันเล่า
…
ตอนกลางคืน อาจเพราะเขาแสร้งทำเป็นดิ้นรนและเหนื่อยอ่อนในตอนบ่าย จดหมายจึงไม่ได้กล่าวอะไรถึงช่วงกลางวัน เพียงบอกลูเซียนว่าหากเขาจะย้ายที่อยู่ เขาจะต้องไม่ลืมนำจดหมายติดตัวไปด้วย
‘ยังมีบางอย่างที่ต้องทดสอบเสียก่อน’ ลูเซียนทบทวนกระบวนการปรุง ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ ในหัว ขณะเฝ้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดารา
…
เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากที่ลูเซียนตื่นและกินมื้อเช้าเสร็จ เขาก็เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก แต่ทันใดนั้นเขากลับพบซองกระดาษสีขาวอยู่ใต้ประตู
หัวใจเขาพลันบีบรัด ลูเซียนหยิบซองกระดาษนั้นขึ้นมาอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆ เปิดออก
นิ้วมือโชกเลือดสามนิ้วปรากฏขึ้นตรงหน้าลูเซียน สองนิ้วเป็นนิ้วยาวๆ ที่มีรอยเนื้อด้าน ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นนิ้วอวบหนา และทั้งหมดเป็นนิ้วก้อย กระดูกขาวๆ ที่แตกหักต้องสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าเล็กน้อย
ลูเซียนหลับตาลง ปิดบังแววตาเกลียดชัง โทสะ และหยาดน้ำตา จากนั้นจึงลืมตาขึ้นมองไปยังอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในซองกระดาษสีขาว มันคือบอลสีดำที่เต็มไปด้วยควันทึบทึม
“อีวานส์ นี่คือของขวัญของเจ้า”
บนซองกระดาษสีขาวนั้นมีตัวหนังสือสีแดงสดอยู่ด้วย
……………………………………….