ตอนที่1248 เรื่องราวในอดีต
“ถูกต้องแล้ว! มิเช่นนั้นข้าจะใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกรที่หายสาปสูญไปแล้วได้อย่างไร?”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
อ้าวจุนพยายามสงบสติความตื่นตะลึงที่ก่อเกิดลงภายในใจ แต่กลับพบว่าเป็นเรื่องยากนัก
ในที่สุด นางก็เข้าใจเสียทีว่าสิ่งที่ท่านบรรพบุรุษได้กล่าวไปในคราแรกหมายความอย่างไร
เย่หยวนสามารถทำลายคำสาปได้จริงๆ!
แต่อ้าวจุนกลับไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ลูกชายของตนจะมีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง!
ครู่ใหญ่ต่อมา นางถอนหายใจเล็กน้อยและกล่วาว่า
“ถึงแม้จะมีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงก็เปล่าประโยชน์ เพราะในยุคสมัยปัจจุบัน ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว”
สีหน้าแววตาของเย่หยวนเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขากล่าวตอบทันทีว่า
“เพราะแบบนั้น ลูกคนนี้จึงเดินทางมายังหุบเขาเหวพระเจ้าเพื่อแสวงหาโอกาสบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า! หากเขากลายเป็นพระเจ้ามิได้ อย่างน้อยก็แค่ตาย!”
อ้าวจุนโพล่งกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า
“หยุนเอ๋อ ไฉนเจ้าถึงต้องแสวงหาพลังขนาดนี้?”
เย่หยวนมิได้คิดปกปิดใดๆและเล่ากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกภายนอกให้ฟังโดยสังเขป แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาเลือกที่จะไม่เล่าออกไป
อ้าวจุนในปัจจุบันเปรียบเสมือนตะเกียงไร้ไส้น้ำมัน นางไม่สามารถทนรับข่าวการตายของจี้เฉินหยังได้แน่นอน
หากมิใช่เพราะรัศมีเหมันต์นิรันดร์นี้ ด้วยสภาพเช่นนี้อ้าวจุนคงล่วงลับไปนานแล้ว
ส่วนรัศมีเหมันต์นิรันดร์นี้เป็นสิ่งที่จี้เฉินหยังใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อเสาะหามัน ในตอนที่เข้าสำรวจแดนเหนือสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ณ ปีนั้น
“แต่เขตพระเจ้าต้องห้ามมันอันตรายเกินไป! แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังยากที่จะรอดชีวิตออกมา แล้วเจ้าตัวคนเดียวยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่!”
อ้าวจุนกล่าวเตือนด้วยความกังวลใจ
ในท้ายที่สุดนี้ นางก็ได้พบหน้าลูกชายอีกครั้ง แน่นอนว่านางไม่ต้องการสูญเสียเขาไปแบบนี้เช่นกัน
เย่หยวนจับจ้องอ้าวจุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
“ลูกคนนี้มีเหตุจำเป็นที่ต้องไป และตอนนี้ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งเพิ่มเข้ามา! ท่านไม่อยากออกไปพบกับท่านพ่ออีกครั้งรึ?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ประดุจแสงแห่งความหวังสาดประกายขึ้นจากคู่ดวงตามังกรของอ้าวจุนทันที
เย่หยวนจำต้องพูดคำโกหกสีขาวเช่นนี้ออกไป เพียงเพราะไม่อยากให้ท่านแม่ต้องนั่งรอความตายอย่างสิ้นหวัง
เขาสูญเสียพ่อไปแล้วคนนึง และไม่ต้องการสูญเสียผู้เป็นแม่ไปอีกคน
ไม่ว่าความหวังจะริบหรี่เพียงใด แต่เย่หยวนก็จะช่วยท่านแม่ให้จงได้!
ต่อให้มองข้ามเรื่องนี้ไป ไม่ว่าอย่างไรเย่หยวนต้องบรรลุอาณาจักรพระเจ้าให้ได้ เพื่อกำจัดเผ่าปีศาจให้สิ้น พวกมันเหล่านั้นคือฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขา และเขาไม่มีวันอยู่ร่วมใต้แผ่นฟ้าเดียวกันได้!
หากเย่หยวนไม่สามารถสังหารข่านนั่วได้ กลับเป็นเขาเสียเองที่ต้องตาย!
แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ เย่หยวนมิได้หยิบมาเล่าให้อ้าวจุนฟัง
สำหรับอ้าวจุน เย่หยวนคือความชอบธรรมของเผ่ามนุษย์ไปโดยปริยายแล้ว
สุดท้ายนี้ เขาได้กลายเป็นผู้สืบทอดมรดกของเซียนเต๋าสวรรค์ และยังเป็นบุตรแห่งประกาศิตสวรรค์อีกด้วย
นี่จึงเป็นภาระที่เขาต้องแบกรับมันเอาไว้
เมื่อเห็นแววตาอันมุ่งมั่นของเย่หยวน อ้าวจุนก็ตระหนักทราบทันที ไม่ว่าจะพูดอย่างไรต่อนางก็มิอาจโน้มน้าวลูกชายคนนี้ได้ เช่นนั้นจึงถอนหายใจเสียวยาวพลางกล่าวว่า
“นี่เจ้าถอดแบบมาจากพ่อเจ้าไม่มีผิด หัวรั้นกันทั้งคู่!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มตอบ แต่มิได้กล่าวอันใดต่อ
มาถึงจุดนี้ ปมในใจของเย่หยวนล้วนถูกคลี่คลายขจัดโดยสิ้น และเขาเองก็ยอมรับในตัวอ้าวจุนในฐานะแม่ด้วยความเต็มใจ
แม้ยามพบหน้ากันครั้งแรกจะเต็มไปด้วยหลายหลากอารมณ์ที่พรั่งพรูโถมเข้าใส่
ทว่าทั้งสองก็กลับมาสมานเชื่อมกันดังเดิม สายเลือดมิอาจตัดขาดกันได้ในท้ายที่สุด
ทั้งสองที่มิได้เคยพบหน้ากันตลอดมา ยามนี้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันและการสนทนาระหว่างทั้งสองกินเวลายาวนานถึงห้าวันห้าคืนเต็ม!
ในระยะเวลาห้าวันมานี้ เย่หยวนก็กระจ่างชัดกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต
ปรากฏว่า หลังจากที่อ้าวจุนหนีออกจากดินแดนเนรเทศนี้ได้สำเร็จ นางก็วิ่งไปชนเข้ากับจี้เฉินหยังและพรรคพวกในเขตพระเจ้าต้องห้ามโดยบังเอิญ
แต่เนื่องจากการเดินสำรวจภายในหุบเขาเหวพระเจ้าโดยลำพังเป็นเรื่องที่อันตรายเสี่ยงตายมาก ดังนั้นจี้เฉินหยังจึงเชื้อเชิญอ้าวจุนให้เข้าร่วมกลุ่มเดินทางไปกับพวกเขา
ต่อมา หลังการผจญภัยสุดทรหดในหุบเขาเหวพระเจ้าได้สิ้นสุดลง จี้เฉินหยังและอ้าวจุนก็มีความรู้สึกดีๆให้กัน อ้าวจุนจึงติดสอยห้อยตามจี้เฉินหยังกลับไปยังหอราชันย์โอสถ
แต่เพียงไม่นานก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น!
จี้เฉินหยังพบว่า อ้าวจุนแก่เร็วเกินไป!
ทั้งสองอยู่ร่วมกันเพียงสองร้อยปี ทว่าอ้าวจุนกลับดูแก่ลงเกือบหนึ่งหมื่นปี!
หลังจากที่จี้เฉินหยังพยายามตื้อถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ้าวจุนก็ยอมปริปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
สิ่งเดียวที่อ้าวจุนคาดหวังในเวลานั้นคือ นางไม่ต้องการแยกจากจี้เฉินหยังไป แต่นั้นกลับเป็นเรื่องที่ต้องทำใจในท้ายที่สุด
จี้เฉินหยังพยายามเสาะหาวิธีต่างๆเพื่อชะลอความแก่ชราของอ้าวจึนอย่างสุดความสามารถที่มี
เขารักอ้าวจุนนางนี้เป็นอย่างที่สุด และพยายามที่จะไม่มีบุตร
นั้นเป็นเพราะหากคลอดบุตรออกมา อ้าวจุนจะยิ่งแก่ชราเร็วขึ้นเป็นเท่าทวี!
ทว่ากลับเป็นอ้าวจุนเองที่เลือกจากไปโดยไม่คิดกล่าวคำอำลาใด เนื่องจากทราบว่าตนกำลังตั้งครรภ์เย่หยวนและไม่ต้องการให้จี้เฉินหยังเป็นกังวลหนักไปกว่านี้
ดังนั้นนางจึงเดินทางกลับไปยังดินแดนเนรเทศ!
ในช่วงเวลานั้นเอง จี้เฉินหยังพลันได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องรัศมีเหมันต์นิรันดร์เข้า เขาจึงออกเดินทางไปยังทางเหนือสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหารัศมีเหมันต์นิรันดร์
ต่อมาเขาตรงปรี่เข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าและพยายามเดินทางกลับไปยังสถานที่ที่พบกับอ้าวจุนครั้งแรก ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับถูกป่าดอกท้อกั้นขวางไว้อยู่
เขาละทิ้งความหวาดกลัวไปโดยสิ้นและพุ่งเข้าสู่ค่ายกลป่าดอกท้อโดยมิได้ลังเล แต่จี้เฉินหยังเกือบจะถูกฆ่าทิ้งโดยค่ายกลเหล่านี้
ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะอ้าวจุนอ้อนวอนต่อท่านบรรพบุรุษมิให้ลงมือกับจี้เฉินหยัง ส่งผลให้เขารอดตายออกมาอย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้น จี้เฉินหยังก็ดึงดันปรารถนาที่จะอยู่ในดินแดนเนรเทศแห่งนี้กับอ้าวจุนให้ได้ ทว่าอย่างไร ท่านบรรพบุรุษกลับปฏิเสธแบบหัวชนฝา!
จี้เฉินหยังจึงต้องจำใจละทิ้งนางไว้เบื้องหลัง ก่อนจากไป เขาได้มอบรัศมีเหมันต์นิรันดร์ให้แก่อ้าวจุน และนำตัวเย่หยวนที่ยังเป็นทารกกลับออกไปด้วยกัน
ภายในดินแดนเนรเทศแห่งนี้ ทำให้ความแก่ชราของอ้าวจุนชะลอตัวลงอย่างมาก ผนวกกับรัศมีเหมันต์นิรันดร์ของจี้เฉินหยัง นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอ้าวจุนถึงยังมีชีวิตยืนยาวจวบจนปัจจุบัน
เว้นเสียแต่ อ้าวจุนในยามนี้คล้ายคนตายที่ยังมีลมหายใจ นางไม่สามารถออกจากสระน้ำเหมันต์เย็นแห่งนี้ได้เลย
นางพยายามตัดทุกอารมณ์ทิ้งไป หวังเพื่อเบี่ยงความสนใจอยู่กับการยื้อชีวิตไปในแต่ละวัน
เมื่อเย่หยวนได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมด เขาก็ได้แต่ถอนหายใจไม่รู้จบ
ช่างเป็นชะตากรรมที่น่าขมขื่นใจโดยแท้!
เย่หยวนในตอนนี้ตระหนักได้ทันทีว่า เหตุใดท่านพ่อของเขาถึงต้องเดินทางไปยังหุบเขาเหวพระเจ้าเป็นประจำทุกหนึ่งถึงสองปี
ในตอนนั้นเขาคิดเสมอว่า ท่านพ่อคงต้องการเสาะแสวงหาโอกาสเพื่อขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า หรือสมบัติที่บรรพชนรุ่นหลังทิ้งเอาไว้ให้ แต่ไม่คิดเลยว่า ยังมีเหตุผลนี้ซ่อนแฝงอยู่
แม้จะถูกแยกจากกันโดยป่าดอกท้อ ทว่านั้นกลับไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของทั้งคู่ลงได้เลย
ช่างเป็นเรื่องแย่นักที่ทั้งสองถูกพรากจากกันตลอดกาล
ถึงตอนนี้ คนที่จี้เฉินหยังเฝ้ารออยู่เสมอมาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้วก็ตาม ทว่าเจ้าตัวกลับไม่อยู่เสียแล้ว
……………………..
ห้าวันต่อมา…
เย่หยวนก้าวแช่มออกจากภายในถ้ำ สายตาของเขาเลื่อนมองไปยังท่านบรรพบุรุษพร้อมจับจ้องด้วยอารมณ์ที่หลายหลาก
“หุหุ หากเจ้าต้องการแก้แค้นข้าในตอนนั้น ก็เชิญเข้ามาเถอะ”
ท่านบรรพบุรุษคลี่ยิ้มด้วยความเข้าใจ
เย่หยวนจับจจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนสายตาออกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“ช่างมันเถอะ ข้าเองก็เข้าใจท่าน ท่านแม่คล้ายคนป่วยติดเตียงไร้ซึ่งความหวัง ท่านคงไม่ต้องการให้ท่านพ่อกับข้าอาศัยอยู่ในคุกยักษ์แห่งนี้ ถึงพวกเราจะสามารถออกไปได้ แต่ท่านก็ทราบดี พวกเราคงไม่ยอมออกไปโดยทิ้งท่านแม่ไว้เช่นกัน นั้นคงไม่ต่างอะไรจากคุกในใจ นั้นจึงเป็นเหตุให้ท่านไล่ข้ากับท่านพ่อไปตั้งแต่ตอนนั้น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
รอยยิ้มบางของท่านบรรพบุรุษจางหายไปทันที ก่อนขยับขยายสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
เขาคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา
“ฮ่าฮ่า จุนเอ๋อ,เจ้าให้กำเนิดบุตรชายที่ดีจริงๆ!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพลางหัวเราะออกมาโดยพลัน
“แต่เพียงว่า ท่านมีสิ่งใดมารับประกันได้บ้างว่า ข้าจะปลอดภัยดีหลังจากที่กลับออกไปสู่โลกภายนอก? หากการสันนิฐานของข้าถูกต้อง เป็นเพราะฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงในกายข้า?”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวตอยพร้อมรอยยิ้มว่า
“เพราะเจ้าเป็นมนุษย์! คำสาปในดินแดนแห่งนี้จะมีผลก็เฉพาะกับเผ่าอสูรเท่านั้น! ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่ไม่เกินครึ่งปีย่อมกลับออกไปได้ปลอดภัยหายห่วง แต่หากคนภายนอกที่หลงเข้ามาที่นี่อยู่นานเกินกว่านั้นจะโดนคำสาปกลืนกินด้วยเช่นกัน! แต่ไม่มีใครทราบว่า คำสาปนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าหรือความจริง อีกหนึ่งเหตุผลที่ข้าไล่พวกเจ้าออกไปก็เพราะเรื่องนี้เช่นกัน”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! ท่านบรรพบุรุษ,ข้ายังมีอีกหนึ่งข้อสงสัยต้องการไถ่ถาม”
ท่านบรรพบุรุษพยักหน้าและกล่าวว่า
“กล่าวมาเถอะ”
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าสัประยุทธกับสี่ผู้อาวุโสสูงสุด พวกเขาได้สำแดงใช้กระบวนโจมตีผสวนบางอย่าง จนก่อกำเนิดเป็นอนุภาพทำลายล้างที่ทรงพลังยิ่ง ข้าสงสัยว่านั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น หรือทั้งสี่ได้ซุ่มฝึกเคล็ดวิชาลับร่วมกัน?”
เย่หยวนกล่าวถามด้วยทีท่าอยากรู้อยากเห็นยิ่ง
ท่านบรรพบุรุษลูบเครายาวไปพลาง ก่อนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“สิ่งที่เจ้ากล่าวคงหมายถึง ต้นกำเนิดแห่งอัตลักษณ์สี่สัตว์เทวะ?”