สภาวะตัดชั่วฟ้า!
กลิ่นหอมหวานกระจายฟุ้งทั่วช่องปากไหลรินสู่ขั้วหัวใจ ไหมฟ้าพิรุณเทวะเกิดมาจากพลังปราณเทวะปริมาณข้นคลักที่ถักทอผสานกันจนกลายมาเป็นเส้นไหม กระแสพลังปราณเทวะที่ละลายออกมาไหลบ่าเข้าสู่แขนขาของเย่หยวน
ในที่สุดกระแสพลังปราณเทวะก็โคจรกลับมาบรรจบกันอีกครั้งในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน
เย่หยวนหลับตาลงและพยายามเพ็งพินิจวิเคราะห์ถึงคุณสมบัติที่แพร่กระจายออกมาจากไหมฟ้าพิรุณเทวะ
คำอธิบายที่เคยว่าไว้ของหวูเฉินแผดดังขึ้นในจิตใจทันที ยามนี้เย่หยวนยืนยันด้วยตัวเองได้แล้วว่า คุณสมบัติของมันเหมือนกับที่หวูเฉินกล่าวไปทุกประการ
ในไม่ช้า ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนก็กลับมาแห่งสนิทอย่างรวดเร็ว
“เป็นไง? อย่างที่ข้ากล่าวไม่มีผิด! การกระทำของเจ้าทำให้สิ้นเปลืองสมุนไพรโดยใช่เหตุ! หัดฟังผู้หลักผู้ใหญ่เสียบ้าง…”
ขณะที่หวูเฉินเปิดปากบ่นไม่หยุดปาก เย่หยวนยังคงขัดสมาธินิ่งไม่ไหวติงใดๆ
เห็นว่าเย่หยวนเข้าสู่สภาวะเข้าญาณและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
ยามนี้หวูเฉินได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์และปิดปากสนิท
สองวันต่อมา เย่หยวนได้หยินไหมฟ้าพิรุณเทวะกลืนเข้าปากไปโดยตรงอีกหนึ่งส่วนเต็ม
หวูเฉินยืนปวดเศียรนวดขมับเป็นการใหญ่ เขาได้แค่เอ่ยขู่ว่า การที่ทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับนั่งรอวันตายเลย
ทว่าเย่หยวนกลับหาได้ใส่ใจไม่ เขายังคงหลับตานิ่งคล้ายว่าตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ
เฉพาะยามนี้ หวูเฉินเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาหยิบไหมฟ้าพิรุณเทวะเข้าปากแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลย
“เจ้าเด็กนี่ คงมิใช่ว่า…”
สายตาของหวูเฉินที่จับจ้องเย่หยวนในขณะนี้กลับเปี่ยมล้นความแปลกใจ
ปิดปากสนิทไม่แพร่งวาจาอันใดอีก แต่สายตาคล้ายกับว่ากำลังมองตัวประหลาดก็ไม่ปาน
ประดุจว่าเย่หยวนลืมไปสนิทว่ายังมีหวูเฉินยืนอยู่ทั้งคน ณ ปัจจุบัน เย่หยวนเสมือนว่าเป็นหุ้มเชิดที่ต้องหยิบสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าปากทุกๆสองวัน
ปริมาณสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อมาตุนไว้เริ่มลดน้อยลงทีละนิด
แต่เย่หยวนกลับหาได้มีเจตนาหยุดมือหยิบเข้าปากไม่
เสี้ยวพริบตาต่อมา สามสิบวันได้ผ่านพ้นไป
ตอนนี้สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงสี่ชุดเท่านั้น
ระยะเวลาสามสิบวันเต็ม เย่หยวนได้กินสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปมากถึงหกส่วนเต็ม!
เมื่อเย่หยวนลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าหวูเฉินกำลังจ้องหน้าเขม็งคล้ายตกใจประหนึ่งเห็นผี
เย่หยวนเอ่ยถามทันควันด้วยความสงสัยว่า
“ท่านอาวุโส ไฉนจ้องข้าแบบนั้น? หรือมีดอกไม้ติดหน้าข้า?”
หวูเฉินสูดไอเย็นแช่มลึก ก่อนพยายามสงบความตื่นตะลึงลงภายในใจและกล่าวถามเย่หยวนว่า
“เจ้า…เจ้าคงไม่ได้เข้าใจทั้งหมดแล้ว?”
ได้ยินคำถามแบบนั้น เย่หยวนเริ่มกังวลว่าตนทำอะไรผิดพลาดไป
ที่เอ่ยปากถามออกมา อีกฝ่ายต้องการประชดประชันหรืออยากรู้จริงๆกัน?
เมื่อเพ็งสายตามองตรงหน้า เย่หยวนกลับยิ่งตื่นตูมหนัก สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ตุนไว้หายไปถึงหกส่วน!
แต่สิ่งที่แลกมาคือ ความรู้ความเข้าใจของเขาต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ที่สูงเกินเจ็ดถึงแปดจากสิบส่วนเต็ม!
ทันทีที่รู้ตัวเช่นนี้ เย่หยวนก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขารู้สึกราวกับฝันไป
ซึ่งในความฝัน ก็คล้ายกับว่าเขาได้เรียนรู้คุณสมบัติต่างๆของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องหาได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่
โดยไม่ทราบเลยสักนิดว่า วันเวลามันเลยผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่เขาก็เข้าใจเกือบทั้งหมดแล้วเช่นกัน
ทีแรกเขาคิดว่าตนผล็อยหลับไปและเก็บเรื่องราวไปฝันต่อ ทว่าหลังจากที่ได้สติตื่นขึ้น ปรากฏว่าเขาเข้าใจคุณสมบัติสมุนไพรทั้งห้าชนิดเกือบจะควบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ
รู้สึกเหมือนความฝันโดยแท้!
เย่หยวนกล่ามถามหวูเฉินด้วยท่าทางงุนงงว่า
“ท่านอาวุโส เรื่องคุณสมบัติของสมุนไพรเหล่านี้ ผู้เยาว์เข้าใจไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว แต่นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ทันทีทันใด มุมปากของหวูเฉินพลันกระตุกขึ้น เขาเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้ารู้สึกว่า ในระยะเวลาสามสิบวันมานี้คล้ายกับความฝันหรือไม่หรือ?”
เย่หยวนตัวแข็งทื่อในบัดดล โพล่งขึ้นกล่าวทันที
“สาม…สามสิบวัน?! นี่ผ่านไปแล้วสามสิบวัน?”
ดั่งแค่ฝันไป แต่ภายในฝันกลับรู้สึกยาวนานอย่างมาก
ทว่ายามที่เย่หยวนตื่นขึ้นประดุจเสี้ยวพริบตาปราด จนเผลอคิดว่าตนเผลองีบหลับไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม ความหมายในคำกล่าวของหวูเฉินค่อนข้างชัดเจน ตอนนี้ได้ผ่านไปแล้วสามสิบวัน!
ยิ่งพยายามคิดเท่าไหร่ เย่หยวนก็ยิ่งสับสนมึนงงและไม่ทราบเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เขาเข้าใจคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้แบบงงๆ!
“เจ้ารู้สึกดั่งว่าตนเองกำลังฝันอยู่?”
จู่ๆหวูเฉินก็ถามขึ้นมา
เย่หยวนพยักหน้าตอบ
“ในความฝันเสมือนยาวนาน แต่เมื่อตื่นมากลับรู้สึกแค่ชั่วขณะ?”
เย่หยวนพยักหน้เตอบอีกครั้ง
“แล้วในฝัน เจ้ากำลังศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของสมุนไพรชนิดต่างๆอย่างต่อเนื่อง หาได้รู้สึกเหนื่อยล้า?”
เย่หยวนพยักหน้ารัวๆเป็นไก่จิกข้าวเปลือก
หวูเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่สุดตื่นตะลึง ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเด็กนี่มันดวงดีแท้! ดียิ่งกว่าดีมากนัก! ภายใต้ความโชคร้ายที่รุกกดดันกลับทำให้เจ้าเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้จริงๆ!”
“สภาวะตัดชั่วฟ้า?”
เย่หยวนย้ำคำเอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อสภาวะอะไรเทือกนี้มาก่อนเลย
หวูเฉินกล่าวอธิบาย
“ถูกต้องแล้ว! สภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเรียกว่า สภาวะตัดชั่วฟ้า! เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จมลงสู่ห้วงจิตใต้สำนึกที่หยั่งลึกไปถึงอัตตา(ตัวตน) ภายใต้สภาวะนี้ไม่ว่าเจ้าจะเรียนรู้ในเรื่องใด ก็จะสามารถเข้าใจตระหนักได้อย่างรวดเร็วจนมิอาจพรรณนาได้! เจ้าเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าไปนานถึงสามสิบวันเต็ม ซึ่งการจะทำความเข้าใจต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ให้ก้าวล้ำไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนภายในเวลาสามสิบวัน คำนิยามเดียวที่ข้านึกออกคือคำว่า ปาฏิหาริย์! นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่สภาวะตัดชั่วฟ้าเท่านั้นที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้!”
เย่หยวนอุทานขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
“ยังมีสภาวะเช่นนี้อยู่ด้วย? นั้นก็หมายความว่า ในเวลาร้อยวันนี้ก็เกินพอสำหรับข้าที่ต้องการหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะแล้ว?”
“ไร้สาระ! เจ้านี่มันได้คืบจะเอาศอก! คิดหรือว่าสภาวะตัดชั่วฟ้าจะเข้าออกได้ง่ายดั่งประตูบานหนึ่ง? บังเอิญเข้าสู่สภาวะนี้ได้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าถูกรางวัลใหญ่แล้ว! ทุกสรรพชีวิตภายใต้อาณาจักรราชันย์พระเจ้า เหล่านักสู้นับแสนล้าน ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถเข่าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้! นั้นรวมไปถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า หรือกระทั่งเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดก็ตาม! นอกเหนือจากนี้ แม้จะมีบังเอิญเข้าสู่สภาวะนี้ได้แค่ครั้งเดียว นั้นก็นับว่าโชคดีที่สุดในชีวิตแล้ว โอกาสที่จะเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าอีกได้เป็นคำรบสอง ยิ่งน้อยเสียยิ่งกว่าครั้งแรกมาก!”
เย่หยวนแอบตะลึงยิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น ดูท่าเขาจะบังเอิญถูกรางวัลใหญ่เข้าจริงๆ
“ผู้อาวุโส สภาวะตัดชั่วฟ้าที่ว่า คล้ายกับขอบเขตจิตใจอะไรเทือกนั้นหรือไม่?”
“ถูกต้อง ในเมื่ออาณาจักรพลังยังมีสูงกว่าอาณาจักรพระเจ้า จึงย่อมมีขอบเขตจิตใจที่สูงกว่าอาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่งเช่นกัน! สภาวะตัดชั่วฟ้าหรือชื่อโดยทางการเรียกว่า อาณาจักรตัดชั่วฟ้า ก็คือขอบเขตจิตใจที่ถัดจากอาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง! คนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง…ฟ้าดินหลอมรวมคือตัวเรา ขณะที่ตัดชั่วฟ้า หนึ่งเดียวเหนือสรรพสิ่งคืออัตตา เหตุที่ยังเรียกแค่ว่า สภาวะตัดชั่วฟ้า เพราะการจะบรรลุขอบเขตจิตใจระดับนี้ได้โดยสมบูรณ์ จำต้องขึ้นกลายเป็นอาณาจักรราชันย์พระเจ้า และมีความสามารถในการสร้างโลกขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ยามนั้นความเข้าใจของเจ้าจะดิ่งลึกลงถึงอัตตา และบรรลุอาณาจักรตัดชั่วฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”
ความหมายในคำกล่าวของหวูเฉินประจักษ์ชัดเจน เย่หยวนโชคดีอย่างมากที่เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้านี้ได้
ความปรารถนาที่จะก้าวเข้าสู่สภาวะนี้อีกครั้ง กลับเป็นความคิดที่โง่เขลาอย่างแท้จริง
ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรปฐมพระเจ้าและอาณาจักรราชันย์พระเจ้า ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเกินพรรณนา
แต่เย่หยวนก็ยังหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เป็นอย่างงี้นี่เอง! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เรื่องสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นับว่าสำเร็จด้วยดี ท่านอาวุโส เรามาเริ่มเรื่องศาสตร์แห่งค่ายกลต่อเลยดีหรือไม่?”
หวูเฉินยังหาได้ยอมรับในตัวเย่หยวนเท่าไหร่ แค่สิ่งหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้คือ ปรากฏการณ์ก่อนหน้าทำให้เขาตกตะลึงจับใจไม่คลายอ่อน
เพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หวูเฉินมิได้กล่าวออกไปนั้นคือ ผู้ที่จะบังเอิญหลงเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ อย่างน้อยที่สุดจำต้องเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
แนวคิดความเข้าใจของเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าลุเข้าใกล้ความสามารถในการสร้างโลกมากที่สุด ดังนั้นจึงมีโอกาสตกเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ แต่ความเป็นไปได้ก็น้อยจนแทบเท่ากับศูนย์!
คนอย่างเย่หยวนที่สามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ ทั้งๆที่เพิ่งเลื่อนกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น ในมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ถือได้ว่ามีน้อยจนนับนิ้วได้!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุวใดเขาถึงประหลาดใจมากขนาดนี้!
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ตราบใดที่เย่หยวนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ เขานี่แหละคือตัวเต็งที่มีโอกาสก้าวขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าได้สูงมาก!
หลังจากก้าวขึ้นบนอาณาจักรพระเจ้า แต่ละระดับชั้นล้วนยากเย็นแสนเข็ญเกินพรรณนา และยังมีบางช่วง ที่มีช่องว่างระหว่างอาณาจักรพลังที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าฟ้าดิน ค่อยสกัดดาวรุ่งไว้
อาณาจักรราชันย์พระเจ้าคืออุปสรรคแรกสุด!