ตอนที่1354 ไร้มโนธรรมที่สุด!
เม็ดเหงื่อแตกท่วมไหลรินผ่ากลางหน้าผากหยดลงติ๋ง หวังซวนเฟยสั่นกลัวหนัก ยามนี้หาไม่สงสัยในคำพูดของเย่หยวนอีกต่อไป
แต่เดิมพวกเขาต่างคิดว่า เย่หยวนเป็นเพียงนักหลอมโอสถมากฝีมือคนหนึ่ง หาไก้มีพิษมีภัยต่อคนอื่น
ทว่าตอนนี้ ลักษณ์อันแสนอ่อนโยนเหล่านั้นของเย่หยวนกลับพังทลายลงมาไม่เหลือดังโครม รอยยิ้มฉีกแสยะกว้างของเขาในปัจจุบันดุจฆาตกรโรคจิตมิปาน
ทุกคนล้วนตระหนักชัดแจ้งถึง ความน่ากลัวของตระกูลซูสาขาหลักในเมืองหมิงหยางเป็นอย่างดี แต่เย่หยวนกลับเลือกที่จะฆ่าหวังซูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ชายหนุ่มคนนี้มันบ้าไปแล้ว!
“ขะ-ข้า…ข้าพูดแล้ว! ข้ายอมพูดแล้ว!”
หวังซวนเฟยมิอาจทนต่อแรงข่มขู่ของเย่หยวนได้ในที่สุด จนต้องคลายความจริงออกมา
เย่หยวนยิ้มตายี๋กว้างพร้อมกล่าวว่า
“อย่าลืมสาบานต่อหน้าสรวงสวรรค์ด้วย”
หวังซวนเฟยยามนี้หวาดกลัวจัด เขาเร่งกล่าวคำสาบานและเปิดปากเล่าความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตำหนักเจ้าเมืองให้ทุกคนฟังโดยละเอียด
ความเป็นจริงกลับตรงข้ามกับสิ่งที่หวังซูกล่าวไปโดยสิ้นเชิง!
ปรากฏว่า ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองกับเป็นพันธมิตรกับสามตระกูลใหญ่มาตั้งแต่แรก พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อบีบให้หอมหาสมบัติยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ ในขณะที่พวกเขาเพียงนั่งเฉยๆรอเก็บเกี่ยวผบกำไร
เพียงแต่ว่า พวกเขาทั้งหมดกลับคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะทรงพลังได้ขนาดนี้และมิได้เกรงกลัวในอำนาจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย!
เฉพาะเวลานี้ ในที่สุดเหล่าฝูงชนก็ทราบเสียที ไฉนเย่หยวนถึงยังสงบเสงียมได้ขนาดนี้!
หากไม่เคยทำเรื่องขัดต่อมโนธรรม ย่อมหาได้เกรงกลัวต่อผีเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้านไม่!
ตระกูลหวังหาเรื่องตายเอง แล้วนี่จะไปโทษใครได้?
นอกจากนี้ ตระกูลหวังก็เคยส่งสามผู้อาวุโสใหญ่ไปตามล่าเย่หยวนในสุสานสายลมหยิน มิตรหรือศัตรูกลับถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แต่เมื่อหวังเพียนหลานได้ฟังสิ่งเหล่านี้ นางกลับดึงดันหัวรั้นไม่เชื่อ
นางไม่กล้าทำใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินเลยสักนิด นี่ไม่น่าจะใช่ความจริงเลย!
หากมองข้ามเรื่องอื่นไปก่อน เพียงแค่หวังซูที่ร่วมมือกับเฉินหย่งหนานสังหารท่านพ่อและพี่ชายของนางซึ่งเป็นคนในตระกูลเดียวกัน แค่นี้ก็ไร้มโนธรรมเกินพอแล้ว แต่นี่ยังโยนความผิดทั้งหมดให้แก่หอมหาสมบัติ และยุยงให้สมาชิกตระกูลหวังคนอื่นๆและนางเข้าใจผิดอีก!
บนใบหน้าเย่หยวนก็คงยิ้มแย้มไม่คลายอ่อน เขากล่าวกับหวังซวนเฟยขึ้นว่า
“นี่คือทั้งหมดแล้ว? แน่ใจรึ? คงมิได้ยุยงให้สุกรอ้วนหวังเพียนหลานมาพ้นน้ำลายใส่พวกข้าพร้ำเพรื่อกระมัง?”
ทั่วทั้งร่างของหวังซวนเฟยสั่นสะท้านฉับพลันดั่งถูกสายฟ้าฟาด เขาจงใจไม่กล่าวส่วนนี้ออกไป เพราะกลัวว่าจะไปก่อความโกรธแค้นต่อฝูงชนและตระกูลหวังได้
ส่วนคำสาบานที่หวังซวนเฟยเคยให้ไว้กับเฉินหย่งหนานในตำหนักเจ้าเมือง เขาก็ค่อนข้างฉลาดในการเลือกใช้คำ เนื้อความสาบานก็คือ เขาจะไม่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน‘วันนั้น’
สำหรับเรื่องแผนการที่หวังซูวางเอาไว้ เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เย่หยวนจะมองผ่านอ่านกลยุทธ์ออกได้อย่างเฉียบขาดขนาดนี้ เด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลมเกินไป
“มะ-ไม่มีแล้ว!”
หวังซวนเฟยกล่าวปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก ซึ่งนี่กลับไปดึงดูดความสนใจของทุกคนอีกครั้ง
เย่หยวนยังคงกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“ไม่มีแล้วจริงๆ? ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้าก็หมดประโยชน์แล้วล่ะ ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเก่าเดี๋ยวนี้!”
เย่หยวนค่อยๆระดมพลังปราณเทวะก่อขึ้นบนฝ่ามืออย่างพิรี้พิไรมากพิธี คู่สายตาของเขายังคงจับจ้องที่หวังซวนเฟยมิคลายอ่อนแม้แต่น้อย
สองคู่สายตาประกบจ้อง เย่หยวนจ้องเขม็งไปยังหวังซวนเฟยมองตาไม่กระพริบ คล้ายแรงกดดันสุดน่าสะพรึงดุจคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเข้าใส่ก็ไม่ปาน
หวังซวนเฟยมิอาจทนต่อแรงกดดันนี้ได้อีกต่อไป เขาเร่งกล่าวแทบลิ้นจุกปากว่า
“ยะ-ยัง…ยังไม่หมด! ยังมีอีก! หวังซูกับเฉินหย่งหนานตกลงกันว่า หลังจากที่เป่าหูหวังเพียนหลานให้ไปหาเรื่องหอมหาสมบัติเสร็จสิ้น ในคืนนั้นเขาจะส่งนักฆ่าไปลอบสังหารตระกูลหวังทั้งหมดในชั่วข้ามคืน และโยนความผิดทั้งหมดให้แก่เย่หยวน! หากแผนนี้เป็นไปได้ด้วยดี หวังซูจะได้มีข้ออ้างเพื่อให้ตระกูลหวังสาขาหลักส่งยอดฝีมือมาจัดการเย่หยวนในภายหลัง!”
วาจาแต่ละคำที่หลุดออกจากปากของหวังซวนเฟย กลับเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าสายลมหยินที่ปลดปล่อยออกจากร่างของกุ้ยหยุนเสียอีก แผนการนี้หาไม่เลือดเย็นคงคิดไม่ได้
หวังซูผู้นี้ไร้ซึง่มโนธรรมอย่างแท้จริง กระทั่งตระกูลร่วมสายเลือดเดียวกันยังฆ่าล้างกันลง!
เดรัจฉานประเภทนี้ ต่อให้ตายเกิดนับร้อยครั้งก็ยังไม่พอ!
ตอนที่เย่หยวนตบฝ่ามือระเบิดศีรษะของหวังซูเป็นจุณ ผู้คนรอบข้างต่างมองว่าเย่หยวนโหดร้ายสิ้นดี
แต่ตอนนี้ ทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกัน…เย่หยวนทำได้ดีมาก!
สาแก่ใจยิ่ง!
หวังเพียนหลานยืนสั่นสะท้านแทบทรงตัวไม่อยู่ แต่นอกจากความกลัวคือความโกรธสุดพรรณนา
หวังซูตัวนี้ไม่เพียงปั่นหัวหลอกใช้พวกนางให้เป็นประโยชน์ แต่ยังต้องการกำจัดฆ่าทุกคนทิ้ง!
เมื่อได้ทราบถึงการกระทำของหวังซู ทำให้หวังเพียนหลานรู้สึกราวกับตกอยู่ท่ามกลางคุกน้ำแข็ง
เลือดเย็นเกินมนุษย์!
“ข้า…ข้าบอกทั้งหมดที่รู้ไปแล้ว เช่นนั้น…เจ้าปล่อยข้าได้รึยัง?”
หวังซวนเฟยเอ่ยถามพร้อมเศษเสี้ยวแห่งความหวัง
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆว่า
“ในเมื่อเจ้าเต็มใจแถลงไขความจริง ข้าย่อมรักษาสัตย์ปล่อยเจ้าไปเช่นกัน”
หวังซวนเฟยลอบถอนหายใจเสียงยาวด้วยความโล่งอก เสมือนว่าเขาได้รับการนิรโทษกรรมอย่างหวุดหวิด แต่ในขณะที่เขากำลังลุกขึ้นและเดินจากไป กลับถูกเหล่าสมาชิกของตระกูลหวังที่เหลือปิดล้อมเอาไว้
พวกเขาคือสมาชิกตระกูลหวังในชุดไว้ทุกข์สีขาว ทั้งหมดเข้ารุมล้อมพร้อมจับจ้องหวังซวนเฟยด้วยความอาฆาตแค้น
ตั้งแต่ได้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย เหล่ามาชิกตระกูลหวังก็ถูกเพลิงแห่งโทสะคลอกจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ความรู้สึกที่ถูกหลอกใช้และต้อยต่ำยิ่งกว่ามดปลวกนี้ ทำให้พวกเขาสูญเสียเหตุผลไปโดยสิ้น
ช่างน่าเสียดายนัก ณ ปัจจุบันทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของหวังซวนเฟยก็ยังถูกปิดผนึกไว้อยู่ จึงทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังปราณเทวะได้เลย
หวังซวนเฟยหน้าถอดสีในทันใด คู่เท้าพลางถอยกลับไปหลายก้าวโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็พบว่า ตอนนี้เขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังโดยสมบูรณ์แล้ว
“พวกเจ้า…พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ความอยุติธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากฝีมือของหวังซูทั้งสิ้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลย! หากปล่อยข้ากลับไปยังตระกูลหลัก ข้าจะส่งพวกเขาให้มาช่วยเหลือพวกเจ้าเอง!”
หวังซวนเฟยเอ่ยปากกล่าวขึ้น แต่ท่าทางการแสดงออกดูหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“หึ! ให้เจ้าออกไปแล้วนำคนของตระกูลหลักให้กำจัดเราสิไม่ว่า!”
“แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นฝีมือของหวังซู แต่เจ้าเองก็เป็นคนวงใน! เมื่อทราบว่าเขาจะทำแบบนี้ ไฉนถึงไม่หยุด! เมินเฉยปล่อยไปแบบนี้มีค่าเท่ากับเห็นชอบเช่นกัน!”
“เจ้าเองก็เป็นสมาชิกตระกูลหวังแท้ๆ แต่กลับดูคนในตระกูลฆ่ากันเองได้ลงคอ! ไร้มโนธรรมที่สุด! วิปลาสอย่างเจ้าควรถูกโยนให้สุนัขกัดกิน!”
………………….
เหล่าสมาชิกตระกูลหวังต่างโกรธเกรี้ยวอาฆาต จนปานจะกลืนกินหวังซวนเฟยได้แทบทั้งตัว
หวังซวนเฟยในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะรอถูกเชือดเลย เขาเร่งตะโกนเรียกหาเย่หยวนอย่างสิ้นหวังขึ้นว่า
“เย่หยวน! ข้าพูดทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้ว! ไหนว่าสัญญาจะปล่อยข้าไป?!”
เย่หยวนยักไหล่ตอบพร้อมกล่าวว่า
“ข้าก็ปล่อยเจ้าไปแล้วนี่ไง เพียงว่าตอนนี้ตระกูลหวังกลับไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเอง เรื่องนี้ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน!”
ความหวังทั้งหมดแตกสลายกองตรงหน้า หวังซวนเฟยคำรามลั่นคล้ายคนเสียสติ
“เย่หยวน! แก…แกมันน่ารังเกียจสิ้นดี!!”
เย่หยวนกล่าวโต้สวนกลับไปว่า
“หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเจ้ากระทำลงไป ความน่ารังเกียจของข้ากลับกลายเป็นของเล่นไปเลย เหอะยังหน้าด้านว่าคนอื่น ช่างน่าขัน! เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราแยกย้ายกันได้แล้ว ละครฉากใหญ่ในวันนี้ได้จบลงแล้ว!”
อย่างที่เหล่าสมาชิกของตระกูลหวังกล่าวไปจริงๆ หวังซวนเฟยมิได้มีส่วนร่วมในการวางแผนก็ใช่ แต่เขาก็รู้เห็นและเลือกที่จะปล่อยไปโดยปราศจากการห้ามปราม
คนไร้จิตสำนึกแบบนี้ เย่หยวนไม่คิดปล่อยไปให้เป็นภัยทีหลังแน่นอน
เหล่าสมาชิกของตระกูลหวังนำตัวหวังซวนเฟยจากไปทันที ทั้งนี้ก็มิได้ลืมที่จะนำศพของหวังซูไปด้วยเช่นกัน
สำหรับที่ว่าจะนำหวังซวนเฟยไปต้นยำทำแกงอย่างไร สุดแท้แล้วแต่พวกตระกูลหวังจะจัดการกันเอง
แต่เย่หยวนการันตีได้เลยว่า หวังซวนเฟยจบไม่สวยแน่นอน
เป็นเวลาทั้งราตรี เสียงกรีดร้องสุดน่าสังเวทดังระงมลั่นไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งคืน จากภายในตำหนักตระกูลหวัง ก่อนรุ่งสางที่ทุกอย่างจะสงบลงอีกครั้ง
ในวันที่สองนี้ มีผู้คนจำนวนมากมายเดินวนไปเวียนมาอยู่ผ่านหน้าตำหนักตระกูลหวังอยู่หลายรอบ แต่ก็ต้องพบว่า ประตูหน้าตำหนักตระกูลหวังกลับเปิดอ้าซ่า สอดส่องสายตามองไปยังภายในกลับเปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คนอยู่แล้ว
บางคนหน้าด้านเดินตรงเข้าไปสำรวจภายในตำหนัก แต่ถึงกับอาเจียนออกมาทันทีในเวลาต่อมา
ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าหวังซวนเฟยตายหรือไม่ตาย แม้แต่ศพของหวังซูที่ถูกระเบิดหัวเละก่อนหน้า ยามนี้ยังถูกสับไม่เหลือเค้าโครงมนุษย์!
ความอาฆาตแค้นที่ฝังลึกอยู่ภายในใจของเหล่าสมาชิกตระกูลหวัง กลับไม่สามารถจินตนาการได้เลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดคือ ราวกับว่าสมาชิกตระกูลหวังทุกคนหายไปในชั่วข้ามคืน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดหายไปจากเมืองกุยฉางอย่างไร้ร่องรอย
……………….
“เย่หยวนเจ้าทำเกินไป! เจ้าฆ่าทั้งหวังซูทั้งหวังซวนเฟย เรื่องร้ายแรงขนาดนี้พวกตระกูลหวังในเมืองหมิงหยางไม่ปล่อยไว้แน่! พวกมันได้ส่งกำลังคนมาจัดการเสร็จสรรพแน่นอน! นอกจากนี้ข้าก็ได้ยินมาว่า หวังซ่งหาใช่บุคคลที่ควรยั่วยุด้วยเป็นที่สุด!”
หยางรุยกล่าวเสียงขรึมกับเย่หยวน
แต่เย่หยวนกล่าวเอ่ยตอบอย่างคร้านจะใส่ใจว่า
“ความบาดหมางในครั้งนี้ถูกหว่านมานานแล้ว! ท่านเองก็เห็นเช่นกัน แม้ข้าจะไม่ลงมือสังหารพวกมันก่อน ในอนาคตกลับเป็นพวกมันที่อาจสังหารข้าแทน! เมตตากับเดรัจฉานพวกนี้กลับไม่มีวันรู้คุณ!”
หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“มันก็จริง แต่ครั้งนี้ทำให้ตระกูลหวังจำต้องล้มสลายไปจริงๆ! กระทั่งข้าเองยังคิดไม่ถึง พวกนั้นจะใจกล้าระดมสมาชิกทั้งหมดอพยพออกจากเมืองกุยฉางในชั่วข้ามคืนจริงๆ เพียงว่าข้ายังมีข้อสงสัยอยู่จุดหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ออก ในเมื่อเหล่าเสาหลักของตระกูลหวังตายหมดแล้ว แล้วใครกันที่ตั้งตนเป็นผู้นำการอพยพในครั้งนี้ไป? สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ การอพยกครั้งนี้แม้แต่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองก็เพิ่งมาทราบทีหลัง!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบทันทีว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด คงเป็นฝีมือของสุกรอ้วนนางนั้น!”
หยางรุยอุทานตอบด้วยความประหลาดใจ
“หวังเพียนหลาน? แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
“หุหุ ทุกคนย่อมเติบโต! สุกรนางนั้นมิได้โง่ นางตระหนักทราบเสมอว่า ในอดีตที่ผ่านมา นางมีทั้งหวังอวีเซียงและหวังหลินโปคอยปกป้อง จึงทำให้นางทำอะไรตามอำเภอใจได้ ทว่าเมื่อวาน ขณะที่นางเดินจากประตูหอมหาสมบัติไป ข้าเห็นอย่างชัดเจน สายตาของนางเปลี่ยนไปแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม