เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่หงายหน้าออกมาเช่นนี้ เหลียงเฟิงค่อนข้างมึนงงชั่วขณะ
นี่เป็นเรื่องไม่คาดฝันอย่างแท้จริงทำให้เขารู้สึกดั่งว่ากำลังฝันไป
ห้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าทั้งหมดล้วนถูกฆ่าตายสิ้น ทันทีที่เป็นเช่นนี้สถานการณ์ความได้เปรียบกลับพลิกตลบจากหน้ามือเป็นหลังเท้าในทันที เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆ หัวหน้า พวกเรายังไม่ตายจริงๆ!”
“สงสัยยิ่งว่ายอดฝีมือท่านใดลอบเร้นช่วยเหลือเรา ทั้งยังลงมือสังหารหัวหน้าทั้งห้าตนของพวกมันอีก”
“เมื่อครู่ข้าหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด คิดไม่ถึงจริงๆว่า พวกนั้นจะถูกลบล้างออกไปทั้งหมดในคราวเดียว สุดยอดจริงๆ!”
…
เหล่าทหารต่างตื่นเต้นดีใจจนอดกลั้นมิได้ ความรู้สึกที่รอดชีวิตจากหายนะครั้งใหญ่ ช่างเป็นอะไรที่น่าตราตรึงใจนัก
พวกเขาชินชากับความเป็นตายมานานแล้วก็จริง แต่ก็มิได้หมายความว่าพวกเขาเต็มใจที่จะตายเสียหน่อย
สีหน้าของเหลียงเฟิงยังเผยให้เห็นความปีติสุข ขณะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“จ้าวปิง หวังหลง พวกเจ้าทุกคน เราไม่ควรอยู่ในสถานที่แห่งนี้นานเกินไป รีบไปกันเถอะ”
“รับทราบ!”
ทหารเหล่านั้นเอ่ยเสียงตอบรับทันทีอย่างพร้อมเพรียงและเร่งเก็บของมีค่า เตรียมตัวเดินทางต่อ
เหลียงเฟิงหันมาทางเย่หยวนและยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าหนุ่ม ทักษะความสามารถของเจ้าไม่เลวเลย ข้าจ้องขอโทษจริงๆที่ดูถูกเจ้าก่อนหน้านี้”
ขณะเอ่ยกล่าวเหลียงเฟิงพลางตบไหล่เย่หยวนดั่งมิตรสหายของเขาคนหนึ่ง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“หัวหน้าเหลียงเองก็น่าเกรงขามจริงๆ ความสามัคคีของพวกท่านน่าชื่นชมนัก!”
เย่หยวนคิดไม่ถึงเช่นกันว่า เหลียงเฟิงคนนี้จะเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อรู้ว่าตนคิดผิดจึงเอ่ยปากขอโทษขอโพยเขาทันที
เหลียงเฟิงยิ้มพลางโบกมือปัด
“ทั้งหมดนี้ข้าเก็บเกี่ยวมาจากประสบการณ์ในสมรภูมิรบทั้งนั้น เจ้ามีรากฐานความแข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าข้านัก ในอนาคตเมื่อเจ้าเติบใหญ่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากขึ้น ข้าที่แหละอาจตามหลังเจ้า! โอ้ใช่แล้ว เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่ว่า ใครกันที่สังหารหัวหน้าปีศาจทั้งห้าไป?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบ
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ขณะที่กำลังสู้กับมู่เฟยอยู่ จู่ๆมันก็ตัวระเบิดตายคาที่”
คู่ดวงตาของเหลียงเฟิงฉายแววผิดหวังเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือของฝ่ายมนุษย์ ท่านผู้นี้คงออกมาปลีกวิเวกเก็บตัวและบังเอิญเห็นพวกเขาโดยรุมกระมัง จึงทนมิได้ยื่นมือเข้าช่วย แต่ข้าเห็นคลื่นพลังโจมตีนั้น แค่หนึ่งกระบวนก็สามารถสังหารหัวหน้าปีศาจทั้งห้าได้! เกรงว่าท่านผู้นั้นคงเป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขึ้นไปเป็นแน่!”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและกล่าวว่า
“มันควรจะเป็นจะเป็นเช่นนั้น”
ศึกสัประยุทธ์ก่อนหน้า เป้าหมายของพวกเผ่าปีศาจล้วนมุ่งสนใจไปทางเหลียงเฟิงและคนที่เหลือ และแทบไม่มีใครสนใจเย่หยวนเลย
มู่เฟิงไร้ซึ่งพลังใดๆในการตอบโต้เย่หยวนได้เลย และตายทันทีในชั่วอึดใจต่อมา
คล้อยหลังเย่หยวนจึงปลดปล่อยสยบดาราออกมาสี่กระบวนติดเป็นคลื่นทับซ้อนด้วยความเร็วสูงสุด เพื่อสังหารหัวหน้าปีศาจอีกสี่ตนที่เหลือ
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนเองก็หาได้คิดที่จะสำแดงความแกร่งกล้าของตนต่อหน้าเหลียงเฟิงและที่เหลือ เนื่องจากในสมรภูมิรบแห่งนี้มียอดฝีมือมากมายเกินไป คงเป็นการดีกว่าหากทำตัวไม้โดดเด่น
ในสงครามระหว่างสองเมืองจักรพรรดิ เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยเท่านั้น แม้แต่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ายังเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยย่อยเช่นกัน
ความเหี้ยมโหดและอันตรายในสมรภูมิรบเช่นนี้ สามารถสัมผัสได้ในทันที
เย่หยวนแกร่งกล้ากว่าทุกคนในบรรดาระดับชั้นเดียวกัน เมื่อเข้าเผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด หรือต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น เขาเองก็สามารถเอาชนะได้เช่นกัน
แต่…ยิ่งมีชื่อเสียงในสมรภูมิรบเพียงใด กลับยิ่งตายเร็วมากขึ้นเท่านั้น
“เก็บกวาดของมาครบแล้ว ผลกำไรจากศึกนี้ไม่น้อยเลย!”
หลังจากที่ทุกคนเก็บรวบรวมสิ่งของมีค่าจากพวกปีศาจมาได้ สีหน้าการแสดงออกของทุกคนก็ดูดีขึ้นอย่างมาก
ไม่เพียงสิ่งของมีค่าเท่าไหร่ แต่เมื่อนำเหรียญตราของพวกปีศาจที่ตายกลับไป ทางค่ายทหารจะให้รางวัลพิเศษแก่พวกเขาเพิ่มเติม
ยิ่งในครั้งนี้สามารถกวาดล้างหัวหน้าปีศาจได้รวดเดียวถึงห้าตน นี่นับเป็นความสำเร็จที่ไม่น้อยเลย
แต่ละกองทัพของเผ่ามนุษย์มีกฎเหล็กเข้มงวด โดยห้ามิให้บ่มเพาะพลังด้วยวรยุทธของเผ่าปีศาจเด็ดขาด รวมไปถึงโอสถต้องห้ามบางชนิด มิเช่นนั้นฆ่าทิ้งไร้ปรานี!
นอกเหนือจากนั้นแล้ว เหล่าทหารมักเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากแหวนเก็บของพวกมันไปใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรหรือโอสถช่วยบ่มเพาะพลังบางชนิด ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมแกร่งให้ตนเอง
เหลียวเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า
“เช่นนั้นรีบกลับกันเถอะ! เมื่อครู่หัวหน้าเผ่าปีศาจบอกว่า ยังมีกองกำลังกำลังเดินทัพเข้าสนับสนุน รีบกลับไปยังเขตเมืองกระแสพิรุณและรายงานข่าวนี้ก่อนเถอะ น้องชาย เจ้าอยากเข้าร่วมกองกำลังเดียวกับพวกเราใช่ไหม? เช่นนั้นตามมาเถิด”
เมื่อความแกร่งกล้าของเย่หยวนเป็นประจักษ์ต่อสายตาเหลียงเฟิงแล้ว ไม่เพียงจะได้การยอมรับ แต่เขายังปฏิบัติตัวกับเย่หยวนสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น
แต่เย่หยวนกลับเงียบงันไปชั่วครู่ หาได้เอ่ยตอบทันที
เหลียงเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถามว่า
“น้องชายกังวลเรื่องใดกัน?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“มิใช่เช่นนั้นหัวหน้าเหลียง แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า พวกเราควรแยกออกเป็นสองกลุ่ม”
ทันทีที่เหลียงเฟิงได้ยินเช่นนั้น พลันนึกสนใจมิได้จึงเอ่ยถามว่า
“โอ้? เจ้ามีความคิดอันใดงั้นรึ?”
เย่หยวนกล่าวอธิบายว่า
“ไม่ว่าสิ่งที่หัวหน้าปีศาจนั้นกล่าวไปเป็นความจริงหรือไม่ แต่ยังไงคงต้องไปดูเพื่อยืนยันอีกที นอกจากนี้ พวกมันใช้วิธีการใดจึงสามารถข้ามธารน้ำบริเวณหุบเขาอัญเชิญปีศาจ ยังมิทราบ เช่นนั้นพวกเราควรตรวจสอบให้ชัดเจนเพื่อคิดแผนแก้ทาง ดังนั้นเพียงความปลอดภัย ควรแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกกลับไปรายงานเพื่อขอกำลังสนับสนุน ระหว่างนั้นเองอีกกลุ่มก็เข้าสำรวจเดินหน้าไปต่อ เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา เดินทางสู่ส่วนลึกของหุบเขาอัญเชิญปีศาจ และตรวจสอบข้อเท็จจริง”
เย่หยวนกล่าวรายละเอียดพร้อมเหตุผลให้ทุกคนฟังอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที ยามนี้ทุกคนต่างจับจ้องเขาเป็นตาเดียว
“เอ่อ…มองข้าเช่นนั้นทำไมหรือ? หรือมีดอกไม้ติดหน้าข้ากัน?”
เย่หยวนยกมือขึ้นถูไถจมูกไปมาพลางกล่าวขึ้นอย่างไร้เดียงสา
เหลียงเฟิงจับจ้องไปทางเย่หยวน พร้อมสายตาที่มองอีกฝ่ายดั่งสัตว์ประหลาดชำนาญศึกตนหนึ่ง ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความชื่นชมและกล่าวว่า
“น้องชายมีความคิดวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล นี่คือคุณสมบัติสำคัญของผู้นำอย่างแท้จริง ข้ายังไม่ทันนึกถึงเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับบรรยายจนเห็นภาพ! กล่าวถูกต้องแล้ว พวกเรายังคงยืนยันสถานการณ์มิได้ในตอนนี้ เช่นนั้นแยกเป็นสองกลุ่มคงเหมาะสมที่สุด จ้าวปิง เจ้าและบางส่วนเดินทางกลับไปเมืองก่อน และนำเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปรายงาน ส่วนพวกจ้าจะเดินทางสำรวจหุบเขาอัญเชิญปีศาจต่อ!”
คนอื่นๆต่างมองเย่หยวนฉายแววประหลาดใจเช่นกัน พวกเขาพึ่งค้นพบว่า ตนประเมินชายหนุ่มคนนี้ต่ำเกินไป
ในขณะที่ความเป็นจริงวิสัยทัศน์ของเย่หยวนกว้างไกลมาก สามารถมองสถานการณ์ออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้แม้แต่พวกเขาเองยังคาดไม่ถึง
แต่ขณะที่จ้าวปิงกำลังจะจากไป เย่หยวนกลับเอ่ยขึ้นแทรกว่า
“หัวหน้าเหลียง ให้ทั้งหมดเดินทางกลับไปจะดีกว่า ส่วนเรื่องสำรวจหุบเขาอัญเชิญปีศาจ พวกเราควรลอบเร้นไปกันสองคน!”
“หื้ม?”
“เรากำลังจะไปตรวจสอบเก็บข้อมูลหาใช่คู่ต่อสู้ ยิ่งคนน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเคลื่อนไหวดำเนิการสะดวกขึ้น หากพวกมันพบเราเข้าจริงๆ แค่สองคนย่อมหลบหนีออกมาง่ายกว่ามาก”
เย่หยวนกล่าวอธิบายทันที
เหลียงเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
“ก็จริงอย่างที่น้องชายกล่าว แต่ข้าไปคนเดียวจะดีกว่า น้องชายควรกลับไปพร้อมกับพวกเขาเถอะ ตอนนี้เจ้ายังไม่ถือเป็นมหารของกองทัพ เช่นนั้นไม่ควรรับความเสี่ยงเช่นนี้ มันมากเกินไปสำหรับเยวชนคนหนึ่ง”
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อเย่คนนี้เข้าปะกับทุกคนและต้องการเข้าร่วมกลุ่มกับพวกท่านอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ขอแสดงความจงรักภักดีให้เป็นที่ประจักษ์ วรยุทธเคลื่อนไหวลอบเร้นของข้าเองก็ไม่เป็นสองรองใคร ข้าไม่เป็นตัวถ่วงหัวหน้าเหลียงแน่นอน”
เหลียงเฟิงรำพึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว ในเมื่อน้องชายต้องการเช่นนั้น ก็เดินทางไปพร้อมกับข้าเถอะ ส่วนจ้าวปิง เจ้าพาคนอื่นๆกลับไปรายงานข่าวนี้”
แต่จ้าวปิงและคนอื่นๆกลับเผยท่าทีไม่พอใจเล็กน้อยและกล่าวว่า
“หัวหน้า วรยุทธการเคลื่อนไหวของข้าเองก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน เช่นนั้นให้ข้าไปกับท่านด้วย!”
“หัวหน้าข้าไปด้วย!”
“ข้าเองก็เช่นกัน!”
…
พลางได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเหลียงเฟิงพลันมืดขรึมลงเล็กน้อย และกล่าวว่า
“หุบปากเดี๋ยวนี้! นี่คือคำสั่ง เร่งรุดกลับไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดซะ!”
เมื่อเห็นเหลียงเฟิงเดือดดาลหัวร้อนลุกเป็นไฟ พวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีกต่อไป และแยกจากออกไป
“ไอ้พวกนี้ ถ้าไม่ดุสักวันคงนอนไม่หลับ!”
เหลียงเฟิงเอ่ยดุพลางคลี่ยิ้มเล็กน้อย
เย่หยวนยิ้มพลางกล่าวว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาเป็นห่วงท่าน นับเป็นพี่น้องที่ดี”
เหลียงเฟิงหัวเราะเล็กน้อยกล่าวว่า
“ไฉนข้าจะไม่รู้ แต่สิ่งที่เจ้ากล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว ยิ่งไปกันเยอะสักแต่จะเป็นภาระ พวกเราไปกันเถอะ!”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและติดตามเขาไป
…………………………………………….